บทที่ 59 ประณีต Ink Stone_Romance
“จินเกอร์ เจ้าจะวิ่งทำไมกัน” ชุนหลานตะโกนเรียก
หนุ่มน้อยวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวก็หยุดลง เขายืนมองดูสาวน้อยที่รีบร้อนเข้ามาจากเรือนหน้า
“ท่านพี่ ทำไมกลับมาแล้วล่ะ” เขาเอ่ยถาม
“คราวก่อนกว่าข้าจะขอท่านชายสี่ให้เจ้าไปให้อาหารม้าได้ ทำไมเจ้าถึงไม่ไป” ชุนหลานกล่าวอย่างร้อนรน
จินเกอร์ใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำมูก
“ข้าไม่ไปหรอก ข้ายุ่งอยู่น่ะ” เขาตอบ
ชุนหลานโมโห นางมีน้องชายเพียงคนเดียว แต่ก่อนนั้นนางไม่เคยได้เหลียวแลน้องผู้นี้ ทว่าตอนนี้นางได้เป็นคนโปรดของท่านชายสี่ จึงใช้โอกาสนี้ของานให้เขา คิดไม่ถึงเลยว่าผ่านมาได้เพียงไม่กี่วัน พอนางเอ่ยปากถามผู้อื่นจึงได้รู้ว่าน้องชายไม่ได้ไปเลยแม้แต่ครั้งเดียว
“เจ้าโตเพียงนี้แล้ว ยังวิ่งเล่นไปเรื่อยอีก” นางตะโกนแล้วจับแขนน้องชายไว้ “ท่านพ่อท่านแม่จะวางใจได้อย่างไร”
“ข้าหาเงินอยู่นะ” จินเกอร์เถียง “ดีกว่าปรนนิบัติสัตว์เดรัจฉานพวกนั้นเสียอีก”
“เจ้าไปหาเงินที่ไหน” ชุนหลานไม่เชื่อ “ถูกคนหลอกเข้าแล้วสิ”
“พี่ชิงเหมยนางจะซ่อมเรือน ข้าเป็นคนงาน วันหนึ่งได้เงินตั้งหนึ่งเหวิน” จินเกอร์ยิ้มกล่าวอย่างได้ใจ
ชิงเหมยหรือ
ใครกัน
ชุนหลานอึ้งไปสักพักจึงนึกขึ้นได้
“สาวใช้ที่รับใช้นายหญิงสติไม่สมประกอบนั่นน่ะหรือ” นางกล่าว วัดเสวียนเมี่ยวน้อยกำลังบูรณะซ่อมแซมอยู่นั้นนางก็พอรู้ “นั่นเป็นเรื่องของเจ้าอาวาสวัดเสวียนเมี่ยวใหญ่ไม่ใช่หรือ นางมีสิทธิ์เอ่ยปากด้วยหรือ”
“ข้าก็ไม่รู้ แต่อย่างไรพี่ชิงเหมยก็ให้ข้าไป คนพวกนั้นข้าก็เป็นคนหามา ตอนซ่อมเรือนครั้งที่แล้วก็เป็นข้าที่จัดหา ครั้งนี้ก็ให้ข้าหาคน หัวหน้าคนงานนั่นยังขอบคุณข้าให้ค่าตอบแทนข้าด้วย” จินเกอร์กล่าว ก่อนจะใช้ปากชี้เข้าไปในห้อง “ไม่เชื่อ พี่ก็ไปถามท่านแม่ดู”
แม่ของชุนหลานเดินออกมาจากในห้อง พอได้ยินดังนั้นก็ตกใจ
“ทำไมล่ะ ไม่ใช่เจ้าหรือที่คุยกับท่านชายสี่เอาไว้ ว่าให้จินเกอร์เป็นคนไป” นางเอ่ยถาม
“ที่ข้าคุยกับท่านชายสี่ไว้คือเรื่องให้เงินสาวใช้นั่น ให้นางดูแลคนบ้านั่นได้เต็มที่ ตอบแทนปั้นฉินนั่น” ชุนหลานกล่าว นางรู้สึกมึนงงไปหมด “แล้วมาเกี่ยวกับจินเกอร์ได้อย่างไรกัน”
“เป็นเพราะเจ้าอาวาสซุนเองก็เห็นแก่หน้าของท่านชายสี่เหมือนกันกระมัง” แม่ชุนหลานคาดเดา
คนในบ้านต่างรู้กันว่า เพราะเจ้าอาวาสวัดเสวียนเมี่ยวใหญ่อาสารับนายหญิงสติไม่สมประกอบนั่นไว้ดูแล จึงเป็นที่ถูกใจของเหล่านายท่านและฮูหยินในบ้านนัก ทำให้นางได้งานที่ดีเช่นนี้มา แถมยังได้ยินมาอีกว่านายท่านให้เงินเจ้าอาวาสนั้นแปดสิบตำลึงในครั้งเดียว
ซ่อมแซมเรือนจะต้องใช้เงินสักเท่าไรกันเชียว ที่เหลือคงเอาไปแบ่งกันกินจนปากมันแผล็บแน่นอน
คนมากมายคงตั้งใจมาตักตวงจากงานนี้ แต่สำหรับเจ้าอาวาสซุนนั้นทุกคนต่างไม่คุ้น ยังไม่ทันได้ส่งสัญญาณ ตกลงผลประโยชน์กัน ทางนั้นก็หาคนมาเริ่มทำแล้วเสียแล้ว
คนมีหน้ามีตาเหล่านั้นยังตักตวงไม่ได้ บ้านชุนหลานยิ่งไม่ต้องคิด นึกไม่ถึงเลยว่าเรื่องดีเช่นนี้จะตกมาอยู่ที่พวกนางด้วยส่วนหนึ่ง
แม่ของชุนหลานนึกมาตลอดว่าเป็นเพราะเห็นแก่หน้าของลูกสาวตนที่รับใช้ท่านชายสี่ ไม่คิดว่าลูกสาวกลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย
“ไม่หรอก ท่านชายสี่ให้ความสำคัญกับการอ่านหนังสือ ไม่มาสนใจเรื่องชาวบ้านพวกนี้หรอก อีกอย่างฮูหยินยังโกรธข้าอยู่ หากท่านชายสี่ไปพูดล่ะก็ ไม่ได้งานยังไม่เท่าไหร่ ข้าอาจจะโดนดุด่าด้วยซ้ำไป” ชุนหลานส่ายหน้าปฏิเสธ
“บอกแล้วว่าพี่ชิงเหมยให้ข้าไป พวกท่านก็ไม่เชื่อ” จินเกอร์เอ่ยอย่างรำคาญ “ข้าไปแล้ว งานยังยุ่งอยู่เลย แต่ก็ใกล้จะเสร็จแล้วล่ะ”
เขาพูดจบก็วิ่งออกไป ชุนหลานเรียกเขาจากด้านหลังก็รั้งไว้ไม่อยู่
“ชิงเหมยหรือ” ชุนหลานแสยะยิ้มออกมา “นางเป็นใครกัน ดูแลคนบ้าจนหน้าใหญ่เพียงนี้เชียวหรือ”
เมื่อจินเกอเร์มาถึงเขาเสวียนเมี่ยว ก็เห็นว่าเจ้าอาวาสซุนก็อยู่หน้าวัดเสวียนเมี่ยวน้อยเช่นกัน นอกจากนี้แล้ว ยังมีผู้เฒ่าผู้หนึ่งและบ่าวชรา พวกเขากำลังดูช่างสองคนลอกลายตัวหนังสือสองตัวไว้บนคานประตู
พี่ชิงเหมยก็อยู่ที่นั่น เจ้าอาวาสซุนเผยรอยยิ้มน่าเคารพและเปี่ยมไปด้วยเมตตาให้กับนางพอดี
ดูสิ ก็บอกว่าเห็นแก่หน้าพี่ชิงเหมย พวกนางยังไม่เชื่ออีก
จินเกอร์ลอบเข้ามาจากประตูด้านข้าง
“แม่นางปั้นฉิน อีกสามวันห้าวันก็พอจะเก็บกวาดเสร็จแล้ว ท่านกับนายหญิงก็ย้ายกลับมาได้แล้ว” เจ้าอาวาสซุนกล่าว “เครื่องเรือนของประดับบ้านก็มาแล้ว ท่านลองดูว่ามีอะไรที่ต้องการอีก”
สาวใช้อมยิ้มพลางพยักหน้า
“ดูแล้วเจ้าค่ะ เจ้าอาวาสจัดแจงได้ดีเลยเจ้าค่ะ” นางกล่าว
บนใบหน้าของเจ้าอาวาสซุนผ่อนคลายลง ในเมื่อสาวใช้ผู้นี้บอกว่าดี ก็คงจะหมายความว่านายหญิงผู้นั้นบอกว่าดี นายหญิงว่าดีก็เพียงพอแล้ว
ผู้เฒ่าที่ยืนอยู่ข้างๆ ประหลาดใจเล็กน้อย
“ข้าขอเขาไปดูสักหน่อยได้หรือไม่” เขาเอ่ยถาม
บ่าวหนุ่มและบ่าวชราแทบไม่เชื่อหูตัวเอง วัดเต๋าที่หญิงสาวคนหนึ่งอาศัยอยู่มีอะไรน่าดูกัน ยิ่งไปกว่านั้นคือชื่อเสียงก่อนหน้านี้ของวัดเต๋าแห่งนี้ยังไม่ดีอีก
นายท่านนี่ช่าง…
เจ้าอาวาสซุนรีบมองไปทางสาวใช้ สาวใช้อมยิ้มพยักหน้า
“เชิญ เชิญ” เจ้าอาวาสซุนจึงขานตอบพร้อมทำท่าทางเชื้อเชิญ
ผู้เฒ่ายกเท้าเดินเข้าไป
ด้านหน้ามีเพียงวิหารหลังเดียว ไม่ได้มีอะไรแปลกตา เมื่อมาถึงเรือนหลัง ในเรือนนั้นยังมีคนงานยุ่งง่วนอยู่
ข้าวของกองอยู่บนพื้น รกยุ่งเหยิง แต่ผู้เฒ่ากลับมองเข้าไปข้างแล้วเผยสีหน้าประหลาดใจแกมชื่นชม
ที่แท้วัดเสวียนเมี่ยวน้อยนี้ประณีตสวยงามเพียงนี้เชียวหรือ แม้จะไม่ใหญ่โตแต่ดูสง่างาม เรือนหนึ่งหลังแยกออกเป็นสองปีก หนึ่งเรือนหนึ่งศาลา รายล้อมไปด้วยไผ่เขียวและทางเดินปูด้วยหิน นอกจากนี้แล้วไม่มีสิ่งอื่นใดตั้งอยู่อีก
แลดูโล่งโปร่งสบายตา
เมื่อเดินผ่านเขาหินแล้วมองเข้าไปให้โถงหลักของเรือนนั้น ประตูกระดาษสีดำเรียบถูกเปิดไว้อยู่ครึ่งหนึ่ง หญิงสาวในหมู่บ้านสองคนกำลังเช็ดถูพื้นประตูหน้าต่าง พอมองเข้าไปก็เห็นฉากกั้นลายสาวงามถึงหกบาน พนักพิงยาว เบาะพรมสีขาว และเตาถ่านที่ก่อขึ้นใหม่เอี่ยม
นี่สาวใช้ผู้นี้เป็นคนจัดแจงหรือ มิเช่นนั้นเจ้าอาวาสคงไม่ถามเช่นนี้
ดูได้เพียงไม่นาน เพราะอย่างไรเสียที่นี่ก็เป็นบ้านของหญิงสาว หากอยู่นานกว่านี้เกรงว่าจะไม่ดี ผู้เฒ่าเดินออกมาแล้วเหลียวหลังมองประตูเขาอีก
คำว่าวัดเสวียนเมี่ยวสามคำนี้ถูกลบออก ตัวหนังสือสองตัวที่ลอกลายใหม่ยังไม่ได้แกะสลักใส่สี
“ไท่ผิง” ผู้เฒ่าอ่านออกเสียง
สองคำนี้ แม้ตั้งใจจะให้สงบ แม้จะเขียนว่าสงบ แต่ทำไมเขาจึงรู้สึกไม่ถึงความสันติสุขเสียที
สองคำนี้ดูแล้วไม่ถือว่าประณีตงดงามนัก หรือจะบอกว่าเหมือนเด็กน้อยที่เพิ่งหัดเขียนหนังสือเลยก็ว่าได้ ทว่าแต่ละขีดนั้นมีความลึกซึ้งน่าพิศวงอยู่
เหมือนว่าจะไม่ใช่แบบอักษรใดๆ ที่ตนคุ้นเคยเลย
“ไท่ผิง ท่านเซียนหญิงตั้งชื่อได้ลึกซึ้งนัก” ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว แล้วมองดูเจ้าอาวาสซุน
เจ้าอาวาสซุนนิ่งอึ้งไป แล้วก็เข้าใจทันทีว่าท่านผู้เฒ่าคงจะนึกถึงคัมภีร์แห่งศานติ เป็นแน่
“มิใช่ข้าตั้งหรอก” นางรีบยิ้มตอบ “คัมภีร์แห่งศานติข้าอ่านเป็นประจำก็จริง แต่เรื่องตั้งชื่อนั้นข้ามิกล้าหรอก”
นางเอ่ยพลางมองดูสาวใช้ ผู้เฒ่ารู้สึกคาดไม่ถึงแต่ก็เข้าใจได้
ภายในเรือนเมื่อครู่ก็เห็นชัดว่าสาวใช้ผู้นั้นเป็นคนจัดวาง แน่นอนว่าชื่อก็ต้องตั้งเองอยู่แล้ว
สาวใช้หัวเราะ
“ที่แท้ก็มีคัมภีร์ที่ชื่อไท่ผิงด้วยหรือ” นางยิ้มกล่าว “เช่นนั้นคำว่า ‘ไท่ผิง’ ก็มาจากคัมภีร์ใช่หรือไม่เจ้าคะ”
ดูท่าทางแล้วคงคิดเพียงแค่ว่าตั้งชื่อที่มีความหมายดีให้มีความสงบสุขเท่านั้น ไม่มีความหมายอื่น
ผู้เฒ่ายิ้มพลางพยักหน้า
“เต๋าไร้ญาติพี่น้อง มีเพียงความเมตตา นั่นคือความหมายของสงบสันติ (ไท่ผิง)” เขายิ้มกล่าว “คัมภีร์ก็มาจากชีวิตมนุษย์ เนื่องจากเกินสิ่งหนึ่ง จึงเกิดอีกสิ่งหนึ่งขึ้นมา”
สาวใช้ฟังไม่เข้าใจสักประโยค
“หมั่นโถวที่นายหญิงข้าชอบกินก็ชื่อหมั่นโถวไท่ผิง ช่างบังเอิญเสียจริง” นางยิ้มกล่าว
คนในที่นั้นสีหน้านิ่งอึ้ง มองดูสาวใช้ผู้นี้อย่างตกใจ
หมายความว่าอย่างไรกัน
หรือว่าชื่อไท่ผิงนี้มาจากหมั่นโถวไท่ผิงที่ชอบกินอย่างนั้นหรือ
นี่มัน…มักง่ายเกินไปหน่อยแล้วกระมัง
ใกล้ถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้ว บ้านตระกูลเฉิงก็คงเตรียมตัวต้อนรับเทศกาลเช่นกัน แต่ทางด้านสามีภรรยาเรือนนายรองเฉิงบรรยากาศกลับไม่คึกคักนัก
สำรับอาหารเย็นถูกตั้งเสร็จสรรพ สองสามีภรรยาที่นั่งหันหน้าเข้าหากันกลับไม่มีอารมณ์อยากจะกินข้าวสักนิด
……………………………………………………………………