บทที่ 60 อธิบาย Ink Stone_Romance

หลังจากที่นายรองเฉิงดำรงตำแหน่งครบวาระจากเมืองปิ้งโจว ตามหลักแล้วควรได้เลื่อนตำแหน่งเลยทันที แต่ทว่ากลับไม่มีข่าวส่งมาจากกรมขุนนางสักที แม้ว่าจะไหว้วานให้ผู้อื่นถามไถ่ให้แล้ว ทุกคนล้วนต่างบอกให้วางใจว่าครั้งนี้ต้องได้เลื่อนขั้นอย่างแน่นอน แต่ก็ยังไม่เห็นสาส์นจากทางการจึงไม่อาจแน่ใจได้ ในที่สุดข่าวก็มาถึงเมื่อไม่นานมานี้ เขาได้รับตำแหน่งเป็นผู้ว่าราชการเมืองไหลหยางโจว

 แม้ว่าทั้งสองตำแหน่งจะเป็นผู้ว่าราชการเหมือนกัน แต่ปิ้งโจวเป็นเมืองระดับล่าง ส่วนไหลหยางโจวเป็นเมืองระดับกลาง ซึ่งหมายความว่าได้เลื่อนขั้นจากขุนนางระดับสี่ชั้นเอกต้นเป็นระดับสี่ชั้นเอก อีกทั้งเมืองไหลหยางโจวนั้นร่ำรวยผู้คนอยู่ดีกินดีกว่าเมืองปิ้งโจวมากโข

ในขณะเดียวกัน ข่าวร้ายก็คือมีบางคนก็อยากได้ตำแหน่งนี้ด้วยเช่นกัน

“อย่างกับว่าเราไม่รู้จักใครในราชสำนักอย่างนั้นแหละ” ฮูหยินเฉิงรองกล่าว “ท่านอาจารย์จางฉุนของเจ้าอยู่ในสำนักบัณฑิตมิใช่หรือ ขอให้ท่านช่วยออกหน้าเสนอชื่อสิ”

จานฉุนไม่ได้เป็นขุนนาง หากแต่เป็นปรัชญาเมธีผู้ยิ่งใหญ่ ก่อตั้งโรงเรียน มีลูกศิษย์มากมายถึงสามพันคน

และเป็นที่นับหน้าถือตาอย่างมาก

“ข้าก็ตั้งใจอย่างนั้นเช่นกัน เลยเขียนจดหมายส่งให้อาจารย์ท่านไปแล้ว คงจะได้ข่าวเร็วๆ นี้” นายรองเฉิงกล่าว

“พ่อของอาจารย์ท่านพักอยู่ที่นี่พอดี แล้วบังเอิญตรงกับช่วงก่อนถึงเทศกาลด้วย เจ้าไปพบท่านสิ” ฮูหยินรองเฉิงเสนอ

นายรองเฉิงพยักหน้า

“นั่นเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องไปอยู่แล้ว แต่ท่านผู้เฒ่ายังคงไม่ยอมรับแขก” เขาขมวดคิ้วกล่าว “น่าเศร้าใจยิ่งนัก”

“หากเป็นเช่นนั้น ก็ไปอีกหลายๆ หน คงอนุญาตให้เข้าพบสักครั้งเป็นแน่” ฮูหยินรองเฉิงกล่าว

“เอาเถอะ กินข้าวดีกว่า ” นายรองเฉิงตอบ ขณะที่นั่งคุกเข่าพร้อมกับหยิบตะเกียบขึ้น

ฮูหยินรองเฉิงนั่งนิ่ง

“เหตุใดถึงยังไม่กินเล่า” นายรองเฉิงเอ่ยถาม

ฮูหยินรองเฉิงมองไปที่อาหารบนโต๊ะ พร้อมกับยิ้มเยาะ

“มีคนไม่เต็มใจให้ข้ากิน ข้าจะกินไปทำไม” นางกล่าว

“เกิดอะไรขึ้นอีก” นายรองเฉิงรู้สึกมึนงง

คนบ้าที่สร้างแต่เรื่องก็ถูกส่งไปแล้ว เหตุใดบ้านถึงยังไม่สงบสุขอีก

ณ วัดเสวียนเมี่ยว สาวใช้พับเสื้อผ้าที่ซักเสร็จแล้ว

“นายหญิง ท่านผู้เฒ่าไม่ได้ส่งอาหารมา นายหญิงอยากทานอะไรหรือเจ้าคะ เดี๋ยวข้าจะเข้าเมืองเจ้าค่ะ

เพราะท่านผู้เฒ่าบอกว่าอยากทานหมั่นโถวไท่ผิง ข้าทำเสร็จแล้วจะเอาไปส่งให้ แล้วจะซื้อผักกับเนื้อสัตว์กลับมาเจ้าค่ะ” นางถาม

เฉิงเจียวเหนียงเงยหน้าขึ้น

“สองสามวันมานี้ ไม่ได้มาเลยหรือ” นางกล่าว “น่าเสียดาย ผักและผลไม้ที่เขาเลือก ไม่เลวเลย”

นางลังเลชั่วครู่

“ไม่มีผู้อื่นส่งมาเลยหรือ” นางถาม

สาวใช้รู้ดีว่านางคิดช้าเลยทำให้พูดช้าไปด้วย จึงต้องรอชั่วครู่แต่ไม่คิดว่าประโยคที่รอฟังจะทำให้รู้สึกตลกเช่นนี้

นายหญิงแทบจะไม่หัวเราะ แต่บางครั้งคำพูดที่พูดออกมาก็ทำให้คนรอบข้างรู้สึกอยากหัวเราะออกมา ทั้งที่นางพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ไม่หัวเราะ ราวกับว่าเป็นเรื่องจริง

 “ข้าหมายความอย่างนั้นจริงๆ ” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว

หญิงสาวปิดปากยิ้ม

“เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ ข้าไม่หัวเราะแล้วเจ้าค่ะ” นางพูดทั้งที่ปิดปากไว้สนิท

เฉิงเจียวเหนียงไม่เข้าใจว่าตลกเรื่องอะไรกัน นางจึงไม่สนใจ

“ข้าโง่เขลา เลยเลือกเนื้อได้ไม่ดีเจ้าค่ะ” สาวใช้ยิ้มกล่าวพร้อมกับตำหนิตัวเอง

“ไม่ใช่โง่หรอก” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว “ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวต่างหาก”

“นายหญิงเจ้าคะ ข้ามิบังอาจขี้เกียจหรอกเจ้าค่ะ” สาวใช้ตกใจรีบเอ่ยขึ้นในทันที “ของทั้งหมดถูกเลือกคัดมาอย่างดีเจ้าค่ะ”

“ไม่ใช่สิ่งนี้” เฉิงเจียวเหนียงตอบกลับ พูดถึงเพียงเท่านี้นางก็ถอนหายใจอีกครั้ง

สาวใช้ไม่รู้สาเหตุ จึงมองหน้านางอย่างกังวลแต่ไม่กล้าพูดอะไรต่อ

ความเงียบภายปกคลุมทั่วเรือนไปชั่วขณะ

มือและเท้าของนางสามารถขยับได้อย่างอิสระ แต่การพูดแทบไม่ดีขึ้นเลย แถมลิ้นก็ยังแข็งทื่ออยู่เหมือนเดิม

อย่าได้รีบร้อน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าต้องพูดให้มาก พูดให้พอเข้าใจพอ

“เมื่อในใจเจ้าไม่อยากกิน ไม่รู้ว่าจะกินอย่างไร จึงคิดไม่ออกว่าอยากกินอะไร รสชาติแบบไหน นี่คือใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเจ้าไม่ใส่ใจข้า” เฉิงเจียวเหนียงกล่าวพลางเงยหน้าขึ้นมองสาวใช้

สาวใช้โล่งใจ ดวงตาของเธอแดงก่ำขึ้นทันที

“ข้าโง่เขลายิ่งนัก คงต้องขอให้นายหญิงช่วยอธิบายให้เข้าใจด้วยเจ้าค่ะ” นางเอ่ยพร้อมกับคุกเข่าลงไปกับพื้นแล้วหมอบกราบ

“ก็ใช่อยู่ เจ้ายอมฟังที่ข้าอธิบาย” เฉิงเจียวเหนียงพูดพลางเม้มปาก “ดังนั้น บัดนี้ เจ้าต้องตั้งใจ คนเราหากไม่ตั้งใจ เลือกฟังแต่สิ่งที่อยากฟัง ก็จะตรงกับสุภาษิตที่ว่า ฟังความข้างเดียว”

สาวใช้มองไปที่นางและพยักหน้ารับอย่างจริงจัง

“ขอบคุณนายหญิงสำหรับคำสั่งสอนเจ้าค่ะ ข้าเข้าใจความหมายของคำว่าใช้ใจทำแล้วเจ้าค่ะ” นางเคารพอีกครั้ง พร้อมกับลุกขึ้นคุกเข่าหลังตรง “หากไม่มีอาหารที่ผ่านการเลือกสรรมาอย่างดี นายหญิงช่วยใช้ใจคิดหน่อยได้ไหมเจ้าคะว่าอยากทานอะไร ข้าจะใช้ใจทำออกมาเจ้าค่ะ” เฉิงเจียวเหนียงมองไปที่นาง แล้วเม้มปากอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้มุมปากโค้งขึ้นเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่ากำลังยิ้มอยู่

“หากทำด้วยใจ ก็จะอร่อยทุกอย่าง” นางกล่าว

สาวใช้ยิ้มแล้วลุกขึ้น

“นายหญิงรอดูนะเจ้าคะ” นางกล่าวพร้อมกับหันหลังแล้วเดินยิ้มออกไป

เจ้าอาวาสซุนนั่งอยู่ในห้องเป็นเวลานานแล้ว ลูกศิษย์สองรูปที่มาส่งอาหาร ยืนอยู่นอกประตูแล้วสบตากัน

“ท่านอาจารย์เป็นอะไรหรือ กลับลงมาจากเขาก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ราวกับเจอปัญหาหนักใจมา” พวกนางกระซิบ “มีเงินไม่พอสำหรับค่าซ่อมแซมหรือ”

ลูกศิษย์อีกรูปพยักหน้า

“แค่ค่าตกแต่งห้องก็แพงกว่าค่าซ่อมบ้านมากแล้ว” นางพูดด้วยเสียงแผ่วเบา

“คนบ้าอะไรจะใช้ของดีเช่นนี้” นางประหลาดใจจนเกือบตะโกนออกมา “ดูเหมือนว่าเราจะเปลี่ยนเสื้อคลุมเต๋าตัวใหม่ไม่ได้แล้วล่ะ”

นางกล่าวอย่างไม่พอใจ

ไม่น่าแปลกใจที่อาจารย์ท่านไม่ได้กล่าวถึงเรื่องเสื้อผ้า

ทันใดนั้นประตูเรือนก็ถูกเปิดออก เจ้าอาวาสเดินออกมาแต่กลับหยุดนิ่งแล้วถอยกลับไป

“อาจารย์ท่านเป็นอะไรหรือเจ้าคะ” ลูกศิษย์ทั้งสองรีบเดินตามเข้าไปถาม

“ข้ากำลังคิดถึงเรื่องสำคัญบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับวัดเต๋าของเราอยู่ แต่ข้าไม่รู้ว่าจะทำได้หรือไม่” เจ้าอาวาสซุนพูดพลางขมวดคิ้ว

“เรื่องอะไรหรือเจ้าคะ ท่านพูดออกมาเถิดเจ้าค่ะ พวกเราจะได้ช่วยกันคิด” เหล่าลูกศิษย์กล่าวพร้อมกับคุกเข่าลงตรงหน้า โดยแทบไม่สนใจเรื่องจัดโต๊ะอาหารเลย

เจ้าอาวาสซุนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง

“ข้าคิดว่าเรามีโอกาสที่จะสร้างชื่อเสียงให้เป็นที่รู้จัก” นางกล่าว

เป็นเรื่องดีที่วัดเต๋าจะได้เป็นที่รู้จัก ลูกศิษย์ทั้งสองต่างมีความสุขกันมาก

“โอกาสอะไรหรือเจ้าคะท่านอาจารย์” พวกนางรีบถาม

เจ้าอาวาสซุนลังเล ไม่กล้าตัดสินใจ

“อาหารเจ” นางกล่าว

ลูกศิษย์ทั้งสองสบตากัน

ไม่ใช่เรื่องแปลกที่อาหารเจจะมีชื่อเสียงโด่งดัง โดยเมืองเจียงโจวเป็นตัวอย่างหนึ่งที่ประสบความสำเร็จ อันได้แก่ วัดวั่นหนิงที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกของเมือง

ตอนแรกวัดแห่งนั้นมีพ่อครัวที่ปล่อยวางเรื่องทางโลกคนหนึ่งมาประจำอยู่วัด เมื่อก้าวสู่รั้วพระธรรมก็มุ่งมั่นบำเพ็ญปฏิบัติ ไม่รู้ว่าบำเพ็ญไปถึงขั้นไหนแล้ว แต่ทักษะการทำอาหารนั้นดีมาก จนได้รับคำชมจากพระในวัดและต่อมาได้รับการยกย่องจากผู้แสวงบุญ ทำให้เหล่าศรัทธามากมายที่มาทานอาหารเจถึงกับต้องเข้าแถวรอ แสดงให้เห็นว่าชื่อเสียงนั้นโด่งดังมากเพียงใด

สำหรับอาหารเจนั้นไม่มีค่าใช้จ่าย แต่ก็มีน้อยคนนักที่มากินโดยไม่มีการตอบแทน ดังนั้นจึงต้องเตรียมตู้บริจาคให้มีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือชื่อเสียงและความนิยมที่ได้รับอยากไม่ขาดสายนี้จึงทำให้วัดวั่นหนิงโด่งดังและมีผู้คนนับถือเป็นจำนวนมาก

พ่อครัวที่ปล่อยวางเรื่องทางโลกนั้นมีจำนวนน้อยนัก หากจะหาคนเฉกเช่นพ่อครัววัดว่านหนิงแล้วโอกาสยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่

“อาหารเจของพวกเราหรือเจ้าคะ” ลูกศิษย์ทั้งสองยิ้มอย่างขมขื่น “ท่านอาจารย์ วันนี้น้ำมันท่วมเช่นนี้ ใครจะกล้ากินเจ้าคะ”

“ของพวกเราใช้ไม่ได้” เจ้าอาวาสซุนกล่าวพร้อมกับมองออกไปทางประตู “ดังนั้นเราต้องเรียนทำอาหาร”

เรียนอย่างนั้นหรือ

“กับใครเจ้าคะ” ลูกศิษย์ถาม

“แม่นางปั้นฉินไง” เจ้าอาวาสซุนตอบ

“อาหารที่ปั้นฉินทำ อร่อยจริงๆ หรือเจ้าคะ” เหล่าลูกศิษย์ถาม

เจ้าอาวาสซุนยิ้ม

“เจ้าคิดว่าชายชราผู้นั้น มาพักผ่อนหลังจากเหนื่อยล้าจากการปีนเขาจริงๆ หรือ” นางกล่าว “ที่มาก็เพราะอาหารและผลไม้ที่แม่นางปั้นฉินจัดเตรียมให้ต่างหาก”

เหล่าลูกศิษย์ได้สติทันที

“แต่พวกปั้นฉินกำลังจะย้ายไปบนเขาแล้วนะเจ้าคะ คงไม่สามารถวิ่งขึ้นไปเอาผลไม้และอาหารลงมาบ่อยๆ ได้อีกแล้ว” เจ้าอาวาสซุนกล่าวพร้อมกับถอนหายใจ

“ท่านอาจารย์ไม่ต้องกังวลใจไปเจ้าค่ะ พวกข้าไปถามพี่ปั้นฉินก่อนว่าสามารถสอนทำอาหารให้พวกข้าได้หรือไม่” ลูกศิษย์คนหนึ่งกล่าว

“ทำเช่นนั้นได้หรือ” เจ้าอาวาสซุนลังเล นี่คือสิ่งที่นางกังวลมาตลอดครึ่งค่อนวัน

“จะไม่ได้ได้อย่างไรเจ้าคะ พี่ปั้นฉินเป็นคนใจดี นางต้องสอนให้แน่นอนเจ้าค่ะ” ลูกศิษย์กล่าว

ปั้นฉินเป็นคนใจดีก็จริงอยู่ แต่ประเด็นคืออำนาจตัดสินใจไม่ได้อยู่ที่นาง

เจ้าอาวาสซุนเงียบ

“ข้าไม่กล้าหรอก… ” นางพูดพึมพำ

ลูกศิษย์ทั้งสองต่างประหลาดใจมาก

“เหตุใดท่านอาจารย์ถึงไม่กล้าเจ้าคะ พี่ปั้นฉินพูดง่ายมากเจ้าค่ะ ได้หรือไม่ได้ ถามไปก่อน จะกลัวอะไรหรือเจ้าคะ” พวกนางถามอย่างงวยงง

“ข้ากลัวว่าหากนางไม่พอใจ วัดเสวียนเมี่ยวใหญ่คงต้องได้เปลี่ยนชื่อเป็นแน่” เจ้าอาวาสบ่นพึมพำ

……………………………………………………………..