บทที่ 61 เหตุแห่งการมาเยือน

พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง

บทที่ 61 เหตุแห่งการมาเยือน Ink Stone_Romance

เมื่อวันที่สิบสี่สิงหาคม เจ้าอาวาสซุนพาเหล่าบรรดาสาวกมาร่วมประกอบพิธีกรรม ขณะที่เฉิงเจียวเหนียงและสาวใช้ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในเรือนใหม่

สำหรับเรื่องธูปเทียนบริเวณหน้าโถงใหญ่และลานหลังวัด เจ้าอาวาสได้ให้เด็กสาวรับผิดชอบ

“เจ้ามาอยู่ที่นี่ต้องเคารพและให้เกียรติที่นี่ หากไม่ได้รับอนุญาต ห้ามเดินไปทางหลังวัด เว้นแต่ตอนเก็บกวาดบริเวณหลังวัดเท่านั้น ตั้งใจทำให้ดีล่ะ” เจ้าอาวาสซุนกำชับอยู่หลายรอบ

หากไม่ใช่ว่าวัดใหญ่ต้องอาศัยผู้คนมากราบไหว้ นางคงอยากอาศัยอยู่วังไท่ผิงคนเดียวเช่นกัน

ถูกต้องแล้ว ที่นี่มีชื่อเรียกว่าวังไท่ผิง ไม่ใช่วัดเสวียนเมี่ยวน้อยอีกต่อไป เพราะภูเขาลูกหนึ่งควรมีเพียงแค่วัดเดียวเท่านั้น ส่วนวังก็เป็นส่วนหนึ่งของเขานี้เช่นกัน

เจ้าอาวาสซุนมองไปที่ภูเขาแล้วถอนหายใจด้วยความโล่งอก

สิ่งที่นางไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นในชีวิตนี้ ได้กลายเป็นจริงแล้ว

ณ เวลานี้ แม้ว่าจะเป็นลูกสาวของตระกูลเฉิง แต่ก็เป็นหญิงสาว ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญปฏิบัติ ท้ายสุดแล้วก็ต้องออกจากวัดนี้ไปอยู่ดี

สาวใช้ออกมาเช็ดระเบียง นางมองเจ้าอาวาสซุนที่เดินอยู่ตรงนอกประตู ทำทีราวกับว่าจะเดินเข้ามา แต่ก็ดูเหมือนจะเดินจากไป นางจึงเอ่ยทักทายขึ้นก่อน

“นายหญิงตื่นหรือยัง” เจ้าอาวาสซุนถาม

“ตื่นแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้ยิ้มตอบ

เจ้าอาวาสซุนมีคำที่อยากพูดมากมายแต่ไม่สามารถพูดออกไปได้

“อยู่ที่นี่สบายดีหรือไม่ ถ้าหากขาดเหลืออะไร ขอให้บอก ข้าจะรีบจัดเตรียมมาให้” นางกล่าว

“ดี ดี ดีมากแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้กล่าว

“เชิญเข้ามาเลย” เสียงของเฉิงเจียวเหนียงดังมาจากด้านหลังประตู

สาวใช้รีบลุกขึ้นไปเปิดประตู เจ้าอาวาสซุนสูดหายใจดึกแล้วตอบว่า “เจ้าค่ะ” พร้อมกับก้าวเข้าบ้าน

“ครั้งนี้ทำให้ท่านต้องเสียเงินแล้ว” เฉิงเจียวเหนียงกล่าวอย่างตรงไปตรงมา

เงินที่เจ้าอาวาสซุนนำไปซ่อมแซมวัดเต๋าจำนวนไม่มากนัก ทว่าเงินส่วนใหญ่ใช้หมดไปกับการตกแต่งที่อยู่อาศัยของเรือนนี้ ทั้งเบาะรองนั่ง เตียงนอน ประตู หน้าต่าง ผ้าม่านและอื่นๆ ล้วนได้รับการตกแต่งใหม่ทั้งหมด

“มิบังอาจเจ้าค่ะ เงินทั้งหมดที่ได้มาก็เป็นของนายหญิงเจ้าค่ะ” เจ้าอาวาสซุนกล่าวอย่างรีบร้อน

“ข้าชอบคนที่รู้เหตุรู้ผล” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว “เจ้าเยี่ยมมาก”

นี่คือคำชมหรือ

เจ้าอาวาสซุนรู้สึกดีใจเล็กน้อย

อายุของตนนั้นมากกว่าหญิงสาวสองคนนี้รวมกันเสียอีก แต่ ณ ตอนนี้นางกลับรู้สึกว่าตนเองเป็นหญิงสาว

ไร้เดียงสาและก็เป็นหญิงชราที่ผ่านโลกมามากด้วยเช่นกัน

เจ้าอาวาสซุนหัวเราะเสียงดัง

“เจ้าอยากให้ข้าช่วยเรื่องอะไร ก็พูดมาได้เลย” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว

สาวใช้ที่อยู่ข้างๆ ตะลึงเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นนายหญิงเริ่มพูดก่อนเช่นนี้

เจ้าอาวาสซุนก็ตกตะลึงไม่แพ้กัน แต่รู้สึกดีใจมากกว่า

“ข้า ข้าอยาก อยากจะขอนายหญิงให้ปั้นฉินสอนวิธีทำอาหารแก่ลูกศิษย์ข้าจะได้หรือไม่” นางก็พูดตรงๆ เช่นกัน

สาวใช้ตะลึง

“เรียนไปเพื่ออะไรหรือเจ้าคะ” สาวใช้อดไม่ได้ที่จะถาม

“ชายชราชอบฝีมือการทำอาหารของแม่นางปั้นฉิน แต่ตอนนี้พวกเจ้าย้ายขึ้นไปอยู่บนเขาแล้ว จะรบกวนเจ้าต่อคงไม่ดีนัก ดังนั้น ข้าคิดว่า…” เจ้าอาวาสซุนกล่าวอย่างเขินอาย

ยากที่จะพูดตรงๆ ว่าจะขอในสิ่งนี้…

“เจ้าอยากได้ชื่อเสียงมากหรือแค่พอมีชื่อเสียง” เฉิงเจียวเหนียงขัดจังหวะถาม

ชื่อเสียงมากหรือน้อยอย่างนั้นหรือ

นายหญิงผู้นี้เดาวัตถุประสงค์การมาของตนถูกอีกแล้ว

เจ้าอาวาสซุนรู้สึกกังวลมากขึ้นกว่าเดิม

“หากอยากได้ชื่อเสียงเพียงเล็กน้อย ข้าจะสอนทั้งวิธีทอด ผัด หุง ต้ม นึ่งของพวกผัก ปลา เนื้อสัตว์ ไข่ ข้าว รวมถึงชา ผลไม้ เหล้า ซุปทุกชนิด” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว

ดวงตาของเจ้าอาวาสซุนเบิกกว้างและใบหน้าก็เต็มไปด้วยความตะลึง

หากเป็นเช่นนั้นก็แสดงว่าอาหารที่ทำมาทั้งหมดไม่ใช่ฝีมือของสาวใช้หรอกหรือ

“เป็นฝีมือของนาง ข้าแค่ใช้ปากพูดออกมาเท่านั้น” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว

แค่เอ่ยออกมาเพียงเท่านี้ ก็ทำให้ชายชราอยากมาวัดที่พวกนางอยู่ เพื่อกินอาหารวันละสามมื้อแล้วหรือ

เจ้าอาวาสซุนรู้สึกตื่นเต้น

คราวนี้เธอถามถูกแล้ว!

แค่ชื่อเสียงเล็กน้อยก็มีวิธีมากมายเช่นนี้ เพียงจัดโต๊ะก็พอสำหรับจัดเลี้ยงแล้ว หากต้องการมีชื่อเสียงโด่งดังคง…

“หากต้องการชื่อเสียงโด่งดัง ให้เลือกเพียงวิธีเดียว” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว

เจ้าอาวาสซุนและสาวใช้ต่างตะลึงอีกครั้ง

หนึ่งอย่างหรือ หนึ่งประเภทหรือ แล้วจะกลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงโด่งดังอย่างนั้นหรือ

“เซียนหญิง” เฉิงเจียวเหนียงมองไปที่เจ้าอาวาสซุน “ท่านบำเพ็ญปฏิบัติเพื่ออะไรหรือ”

เจ้าอาวาสซุนฉลาดแบบเจ้าเล่ห์ สมองแล่นทันที

“เซียนหญิง ท่านบำเพ็ญธรรมวิถีเต๋าหรือหลักเห็นแต่ตัวเอง คงเป็นหลักอย่างหลังเพียงอย่างเดียว ซึ่งช่วยเสริมได้ แต่ไม่ใช่เป็นส่วนหลัก หากหลักรองไม่แบ่งแยก เล็กใหญ่ไม่ชัดเจน คงจะห่างไกลจากเต๋ามาก”

ใช่ นั่นเป็นวัดเต๋า ไม่ใช่ร้านอาหาร

นางมาบำเพ็ญปฏิบัติ ไม่ใช่มาสั่งสมชื่อเสียง

ความลุ่มหลงภายในจิตใจ ทำให้ลืมวิถีที่ถูกต้องได้อย่างไร จะพึ่งอาหารเจสร้างชื่อเสียง เห็นว่าวัดเสวียนเมี่ยวเป็นอะไรกัน

แม้ว่าจะสร้างชื่อเสียงโด่งดัง แต่ภายใต้การสวมเสื้อคลุมเต๋านี้ ไม่ใช่เรื่องน่าตลกหรือ

เรื่องตลกเช่นนี้ ชื่อเสียงจะอยู่ได้นานสักเท่าไหร่กัน

ดังนั้น การเรียนรู้เพิ่มเติมจึงเป็นเพียงการสร้างชื่อเสียงเล็กน้อยเท่านั้น

“ขอบคุณนายหญิง” เจ้าอาวาสซุนก้มศีรษะเคารพด้วยความจริงใจ

เฉิงเจียวเหนียงมองไปที่นางแล้วยิ้ม

“ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก ขอบคุณตัวเจ้าเองเถอะ” นางกล่าว “หากมีคนเคารพข้า ข้าต้องให้ความเคารพกลับคืนเช่นกัน นี่คือหลักของเต๋า”

นี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่นายรองเฉิงมาที่เรือนหลังเก่าของตระกูลจาง แต่คราวนี้แตกต่างจากครั้งก่อนๆ เพราะครั้งนี้มีชายอีกคนมารออยู่ด้วย

นี่คือชายหนุ่มวัยราวสามสิบปี รูปร่างสูงใหญ่ สวมเสื้อคลุมแบบขงจื่อ แสดงให้เห็นถึงความปราดเปรื่อง มีวิชาความรู้

“ท่านผู้เฒ่าไม่ค่อยอยู่บ้านหรือ” เขาพูดด้วยสำเนียงกานซู่ปนส่านซี

“น้องอวี้คุนมาเสียเที่ยวแล้ว” นายรองเฉิงกล่าวด้วยความเป็นมิตร ราวกับเว่าป็นเจ้าของบ้าน “ท่านผู้เฒ่าละทางโลกมาโดยตลอด ท่านอาจารย์มีลูกศิษย์มากมาย ผู้คนมาเยี่ยมเยียนก็มากเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงจงใจเลี่ยงไม่ให้เข้าพบ

ชายที่มีชื่อเรียกว่าอวี้คุนมองไปที่นายรองเฉิงด้วยความอิจฉา

“ใต้เท้าอาศัยอยู่ที่นี่ ข้ามักจะได้เจอท่านบ่อยๆ ” เขากล่าว “แต่สำหรับข้าที่เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์มาสามปี

ต้องวิ่งเหนือลงใต้ ตั้งแต่จากกันครานั้นก็ไม่มีโอกาสพบเจอท่านอีกเลย ครั้งนี้ผ่านมาพอดีได้เห็นบ้านของท่านอาจารย์ก็พอใจแล้ว มิบังอาจรบกวนเวลาของท่านผู้เฒ่าหรอก ข้าขอตัวลากลับก่อน”

นายรองเฉิงรีบรั้งเขาไว้

“อวี้คุน ไม่ต้องรีบไปหรอก เมื่อมาถึงแล้วก็รอพบสักหน่อยเถอะ” เขาพูดด้วยความกังวล

หลิวอวี้คุนหรือหลิวผู่ผู้นี้เป็นที่รู้จักมานานแล้ว เขาเป็นสมาชิกของตระกูลหลิวในเมืองถงโจว บัดนี้หลิวผู่มีตำแหน่งเฉพาะในนาม แต่อาของเขาไม่ใช่คนธรรมดาไป หากแต่เป็นจองหงวนมาถึงสามปีและตอนนี้เป็นราชบัณฑิตแห่งสำนักฮั่นหลิน นามว่าหลิวผิง

นายรองเฉิงรู้มานานแล้วว่าหลิวผิงเป็นศิษย์ของอาจารย์จางฉุนเช่นกัน แต่เพราะอยู่ห่างไกลกันและไม่ได้อยู่ร่วมรุ่นเดียวกัน จึงทำให้ไม่เคยได้พบเจอกันมาก่อน ไม่นึกเลยว่าวันนี้ฟ้าจะส่งมาให้มาพบถึงตรงหน้า จะปล่อยโอกาสดีๆ เช่นนี้หลุดลอยไปได้อย่างไร

เขาต้องการเข้าพบท่านพ่อของอาจารย์จึงมาส่งของกำนัลถึงสองครั้งแล้ว แต่กลับไม่ได้เข้าพบสักที

นายรองเฉิงคุยโวโอ้อวดและยืนกรานที่จะพาเขากลับมาอีกครั้ง

“ไม่รบกวนท่านผู้เฒ่าจะดีกว่า ในเมื่อท่านไม่อยากให้เข้าพบ ก็ตามใจท่านเถอะ” หลิวผู่กล่าว

นายรองเฉิงยังคงรั้งชายผู้นั้นไว้ ทั้งยังเร่งให้บ่าวของตนไปถามบ่าวที่เฝ้าหน้าประตูอีกครั้ง

บ่าวอิดออดไม่อยากไป แถมยังบ่นอุบอิบเรื่องที่นายรองพูดโอ้อวดอย่างอดไม่ได้

พูดออกมาได้อย่างไรกันว่าได้เข้าพบบ่อยๆ นี่ครั้งที่สามแล้ว แม้แต่ประตูบ้านยังไม่เคยได้เข้าเลย

บ่าวเฝ้าหน้าประตูแสร้งทำเป็นหูหนวกเป็นใบ้ไม่สนใจ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่อยากให้เข้าพบ หากให้ไปถามอีก ก็คงต้องอับอายเหมือนเช่นเคย

บ่าวเบ้ปากเดินออกไป ยังไม่ทันจะถึงหน้าประตูแต่ประตูก็ถูกเปิดออกเสียก่อน เขารีบยืนนิ่งและมองเห็นสาวใช้ถือตะกร้าเดินออกมา

“แม่นางกลับดีๆ นะ ข้าจะรีบเรียกรถม้ามารับ” บ่าวเฝ้าประตูแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น โดยเปิดปากที่ไร้ฟันของเขาแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น เป็นกันเอง

“ไม่ต้องหรอกท่านลุง ไม่ไกลมาก ข้าจะไปตลาดตะวันออกก่อน เดี๋ยวข้าเดินกลับเองได้”

สาวใช้ตัวน้อยธรรมดาๆ นางหนึ่งกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ไม่ได้หรอก เจ้าตั้งใจมาส่งอาหารให้แก่นายท่าน ปล่อยให้เจ้าเดินกลับไปเช่นนี้ เป็นการต้อนรับแขกแบบไหนกัน!” บ่าวเฝ้าประตูบ้านกล่าวอย่างตรงไปตรงมา

บ่าวของนายรองเฉิงได้ยินดังนั้นก็เบิกตาโพรง เพียงแค่นำอาหารมาส่ง สาวใช้ตัวน้อยก็กลายเป็นแขกไปแล้วหรือ

สาวใช้ตระกูลใดกัน ช่างเก่งกาจยิ่งนัก

…………………………………………………………….