ตอนที่ 68 เท้าของซื่อจื่อหัก แม่นางเหยารักษาบาดแผล (1)

หมอหญิงจ้าวดวงใจ

“ทางด้านนั้น คล้ายว่ามีการต่อสู้เกิดขึ้น” เว่ยจางชี้ไปทางด้านหนึ่ง

“ขึ้นหลังม้า ไปดูกัน” หันซังเกอกล่าวขึ้น พร้อมกับจับเชือกบังเหียนม้าที่จูงเอาไว้แล้วกระโดดขึ้นม้า ทั้งยังบอกหันซังเย่ว์ “น้องรอง ขึ้นหลังม้าเร็ว!”

“ขอรับ” ในช่วงเวลาสำคัญ หันซังเย่ว์ไม่กล้าขัดคำสั่งพี่ชาย เขาจึงขึ้นบนหลังม้าอย่างเชื่อฟังแล้วขี่ม้าตามหันซังเกอไป

เว่ยจางขี่ม้าไปตามเสียงนั้นก่อนตามลำพัง ตอนที่เข้าใกล้และเห็นภาพตรงหน้าชัดเจน จึงอดสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ไม่ได้

ทางด้านโน้นมีเหล่าทหารอารักขาล้อมรอบเป็นวงกลม หอกในมือพุ่งเป้าไปตรงกลาง ทว่ากลับไม่มีผู้ใดกล้าเดินหน้า แค่ยืนล้อมเป็นวงกลมเท่านั้น หมีสีนิลร้องคำรามแล้วกำลังจะต่อสู้กับคนหลายๆ คน สายตาของเว่ยจางคมเฉียบยิ่งนัก ดวงตาคู่นี้จับจ้องไปยังคนพวกนั้น ซูอวี้อันติ้งโหวซื่อจื่อ เฉิงอ๋องซื่อจื่ออวิ๋นคุนและยังมีอีกสองคนซึ่งก็คือเฮ่อซีและเก๋อไห่

เห็นได้ชัดว่าเฮ่อซีได้รับบาดเจ็บแล้ว ร่างกายครึ่งหนึ่งของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด ส่วนทางด้านเก๋อไห่กำลังใช้อาวุธในมือกระหน่ำแทงไปยังหมีสีนิลอย่างบ้าคลั่ง ทว่าหมีสีนิลมีหนังและขนที่หนามาก จึงทำให้หอกในมือของเขาที่กระหน่ำแทงลงไปนั้น แทบจะไม่เห็นเลือดหลั่งไหลออกมา

เว่ยจางรู้สึกเพียงว่าเลือดในร่างกายสูบฉีดไปถึงศีรษะ เขายกมือขึ้นชักดาบออกมา เขากระโดดขึ้นจากหลังม้าด้วยการเตะเท้าเข้ากับอานม้า เพื่ออาศัยแรงนี้พุ่งทะยานไปด้านหน้า

หันซังเกอและหันซังเย่ว์ที่ตามหลังมานั้น ก็ได้เห็นภาพนี้เช่นกัน ด้วยเหตุนี้จึงไม่กล่าวสิ่งใดออกมา ทั้งสองต่างคนต่างก็ชักอาวุธแล้วกระโดดตามเว่ยจางไป และเหยียบศีรษะขององครักษ์ที่ล้อมรอบเป็นวงกลม เพื่อเข้าร่วมการต่อสู้กับหมีสีนิล

นี่คือหมีตัวเมียที่โตเต็มวัยแล้ว และเว่ยจางเองก็เพิ่งรู้หลังจากที่เขาต่อสู้จนทำให้หมีที่กำลังอาละวาดนี้ฟุบหมอบไปได้แล้ว ทว่าเวลานี้ เขาไม่ได้คิดถึงสิ่งใด ทำได้เพียงจับดาบเล่มยาวในมือให้แน่นแล้วสังหาร

การเข้ามาร่วมต่อสู้ของเว่ยจางและสองพี่น้องตระกูลหัน ทำให้อวิ๋นคุนที่ก่อนหน้านี้ต่อสู้กับหมีสีนิลอย่างเอาเป็นเอาตายได้พักหายใจ เฮ่อซีที่เปื้อนไปด้วยเลือดกว่าครึ่งตัวนั้น ถูกเว่ยจางตำหนิแล้วสั่งให้เขาถอยออกไป จากนั้นก็มีคนเข้ามาทำแผลให้เขาในทันที

“แม่ทัพเว่ยเซ่า! สัตว์เดรัจฉานตัวนี้หนังหนาเกินไปแล้ว อาวุธไม่อาจแทงเข้าไปได้!” เก๋อไห่อาศัยช่วงที่ได้พักเช็ดเหงื่อที่ใบหน้าของเขาก่อน ในมือของเขาไม่รู้ว่าเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดมนุษย์หรือเลือดของหมีสีนิลกันแน่ ในเวลาสั้นๆ เขาจึงได้เช็ดใบหน้าของเขาที่เปรอะเปื้อนจนเหนียวไปหมด เก๋อไห่ถ่มน้ำลายอย่างแรง แล้วตวาดด่าทอ “ถุย! ให้ตายเถอะ! เจ้าสัตว์เดรัจฉานนี่สมควรตาย! “

“ระวังหน่อย!” เว่ยจางที่ได้ยินเก๋อไห่ตะโกน หันหน้าไปมองก็เห็นใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยคราบเลือด หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นมาทันที คิดว่าเขาถูกหมีตะครุบหน้าเสียแล้ว

หันซังเย่ว์จึงฉวยโอกาส จับดาบเล่มยาวในมือตั้งตรง จากนั้นแทงไปยังดวงตาของหมีสีนิล

ดวงตาของหมีสีนิลถูกแทง ทำให้มันร้องโอดครวญและบ้าคลั่งขึ้นมาในทันที ทว่ามันกลับไม่หลบซ่อน พุ่งตัวมาหาหันซังเย่ว์แล้วตะครุบ

“ระวัง!” หันซังเกอเห็นหมีสีนิลที่กำลังคลั่งตัวนี้กำลังพุ่งตรงมาจะตะครุบน้องชายของตน จึงเร่งพุ่งตัวไป และเตะหัวของหมีสีนิลโดยไม่สนใจสิ่งใด

หมีสีนิลดูเหมือนจะโง่เขลา ทว่ายามที่มันต่อสู้นั้นกลับฉลาดอย่างเหลือเชื่อ เมื่อเห็นหันซังเกอที่สวมรองเท้าหุ้มข้อของนักรบพุ่งเข้ามานั้น มันกลับเอาหัวเบี่ยงไปอีกด้านแล้วงับลงที่ข้อเท้าของหันซังเกอพร้อมกับเสียงร้องอย่างเจ็บปวด

“พี่ใหญ่!” หันซังเย่ว์ร้องตะโกนด้วยความเสียใจ ดาบเล่มยาวในมือที่เปื้อนเลือดฟันเข้าที่ปากของหมีสีนิล

“ซู่จือ!” อวิ๋นคุนร้องตะโกนเสียงดัง จากนั้นแกว่งดาบไปด้านหน้า

“ซู่จือระวัง!” หอกยาวในมือของซูอวี้อันเปรียบดั่งงูตัวยาวสีเงินที่โผบิน พุ่งเข้าไปในหูของหมีสีนิลทันที

“ท่านซื่อจื่อ!” ดวงตาของเว่ยจางแดงก่ำเช่นกัน จากนั้นก็ใช้ดาบเล่มยาวในมือจัดการดวงตาอีกข้างหนึ่งของหมีสีนิล

ดาบคมกริบทั้งสามและหอกอีกหนึ่งต่างแทงไปยังดวงตา ลำคอ และเบ้าหูของหมีสีนิล ทำให้หมีสีนิลกรีดร้องเสียงดังแล้วเดินเซไปมา จากนั้นก็สะบัดเว่ยจาง ซูอวี้อัน อวิ๋นคุนและหันซังเย่ว์ออกไปหกถึงเจ็ดก้าว ในเวลาเดียวกันมันก็ได้ปล่อยข้อเท้าของหันซังเกอ แล้ววิ่งหนีไปอีกด้านหนึ่ง

อวิ๋นคุนและซูอวี้อันไล่ตามมันไป เว่ยจางหันกลับมามองหันซังเกอ จากนั้นตะโกนบอกหันซังเย่ว์ “ชิงจือ รีบพาท่านซื่อจื่อไปทำแผลก่อน!” จากนั้น เขาก็ตามอวิ๋นคุนไปด้วย

“พี่ใหญ่!” หันซังเย่ว์ที่ยังไม่ทันได้ยืนนิ่งก็รีบพุ่งตัวไปกอดหันซังเกอที่ล้มลงบนพื้น แล้วตะโกนด้วยความเจ็บปวด “พี่ใหญ่! ท่านเป็นอย่างไรบ้าง!”

ใบหน้าของหันซังเกอซีดขาว หน้าผากของเขาเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ ทว่ากลับอดทนเอาไว้ไม่ส่งเสียงออกมา เมื่อเห็นดวงตาของน้องชายแดงก่ำ กลับหัวเราะออกมา “จะร้องไห้ไปไยเล่า! ข้าไม่ได้เป็นอะไร น้ำตาบุรุษตระกูลหันจะไหลลงสู่ปฐพีง่ายเช่นนี้เชียวหรือ!”

“พี่ใหญ่…” หันซังเย่ว์พลันกลั้นน้ำตาไว้ และพยายามทำตัวเข้มแข็ง จากนั้นก็พยุงหันซังเกอขึ้นมาพิงบนไหล่เขาครึ่งตัว

มีทหารอารักขาเดินเข้ามาช่วยหันซังเย่ว์ยกก้อนหินที่อยู่ด้านข้างเพื่อเอามาให้หันซังเกอนั่ง หันซังเย่ว์นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นแล้วใช้มีดสั้นกรีดรองเท้าหนังกวางของหันซังเกอ ทว่าเห็นเพียงเนื้อตรงข้อเท้าที่เละจนเห็นกระดูกสีขาวและเส้นเอ็นสีเหลือง

“ลองดูก่อนว่ากระดูกได้รับบาดเจ็บหรือไม่?” เหล่าทหารฝ่ายบู๊ที่ออกรบทำสงครามอยู่ด้านนอกเป็นประจำ โดยทั่วไปแล้วพวกเขามีความรู้เรื่องบาดแผลภายนอกเช่นนี้ เมื่อครู่เฮ่อซีเพิ่งถูกหมีตะครุบทำให้แขนได้รับบาดเจ็บ และในเวลานี้ก็ทำแผลเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาจึงลุกมาดูบาดแผลของหันซังเกอ

หันซังเกอเอาเท้าตนเองไปเหยียบลงบนพื้นเพื่อสัมผัสความรู้สึก เขากัดฟันอดทนกับความเจ็บปวดแล้วพูดขึ้น “กระดูกไม่น่าจะเป็นอะไร เพียงแต่กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นน่าจะได้รับบาดเจ็บ…”

กระดูกหักสามารถต่อกระดูกได้ เรื่องนี้คงไม่ใช่เรื่องยากอะไร ทว่าหากกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นฉีกขาดกลับยากที่จะต่อใหม่อีกครั้ง แม้ว่าจะสามารถเชื่อมต่อกันได้ ทว่าขาข้างนี้คงไม่อาจเดินได้คล่องแคล่วเหมือนเมื่อก่อน หันซังเกอที่เคยนำทหารไปสังหารศัตรู เผชิญกับบาดแผลภายนอกมากมาย จึงรู้อย่างกระจ่างแจ้งว่าอาการของตนเองในตอนนี้เป็นเช่นไร

และเหตุเพราะเขารู้แจ้งเป็นอย่างดี หัวใจของเขาจึงค่อยๆ ดิ่งลงเหว

เฟิงเซ่าเชินที่ตั้งแต่เล็กไม่เคยเห็นแม้แต่การฆ่าไก่ เวลานี้เมื่อเห็นเท้าของหันซังเกอเต็มไปด้วยเลือดนั้น เขาก็ตกใจจนหน้าซีดขาวไปนานแล้ว ร่างกายของเขาพิงอยู่บนตัวบ่าวและทั้งร่างก็สั่นเทาไม่หยุด ทางด้านซูอวี้เสียงที่มีอายุมากหน่อย สามารถดึงสติกลับมาจากความหวาดกลัวได้อย่างรวดเร็ว เขาสั่งให้ทหารอารักขาตัดท่อนไม้มาสองท่อน และใช้เชือกเส้นใหญ่และเสื้อผ้ามาทำเป็นแคร่หาม

ในทางกลับกัน องค์ชายสี่กลับดูนิ่งสงบ เขาดึงตัวเฟิงเซ่าเชินไว้ จากนั้นขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้น “บาดแผลนี้ไม่อาจชักช้าได้ เราควรกลับไปที่ค่ายกันอย่างเร่งด่วน?”

ในที่สุดเฟิงเซ่าเชินก็ตั้งสติขึ้นมาได้ เพราะการปลอบโยนจากบ่าวรับใช้ เขาเดินเข้าไปใกล้หันซังเกอด้วยใบหน้าซีดเซียวและเม้มปากไว้ “พี่เขย ท่านเป็นอย่างไรบ้าง ขาข้างนี้ของท่านยังสามารถเดินได้ไหม เกรงว่าคงจะไม่…” ว่ากันว่าคุณชายที่ถูกเลี้ยงดูอย่างตามใจนั้น ยามที่พูดมักจะไม่อ้ำอึ้ง ทว่าเวลานี้กลับพูดจาสะอึกสะอื้นด้วยเสียงแผ่วเบา

หันซังเกอรู้ว่าตั้งแต่เล็กเฟิงเซ่าเชินก็ถูกเลี้ยงเอาไว้ในเรือนดั่งสตรี ไม่เคยเจอเลือดมาก่อน การที่เวลานี้เขาไม่ตกใจจนฉี่ราดก็ถือว่าไม่เลวแล้ว จึงเกียจคร้านที่จะกล่าวโทษเขา ทำได้เพียงพูดขึ้น “แค่แผลภายนอกเท่านั้น ไม่ได้เป็นอะไรมาก ในเมื่อเจ้าหวาดกลัว เช่นนั้นก็ไปพักผ่อนอยู่ด้านข้างเถอะ อย่ามองเลย”

“เร็วเข้า! เร็วเข้า! ด้านนี้! ” ซูอวี้เสียงบอกให้ผู้ที่ติดตามทั้งสองคนนั้นวางแคร่ลง “หันซื่อจื่อ เท้าของท่านไม่อาจขยับเขยื้อนได้ครู่หนึ่ง ให้พวกทหารอารักขายกท่านกลับไปเถอะ”

“จริงด้วย! ทำแผลเบื้องต้นไปก่อน ห้ามเลือดเอาไว้ แล้วรีบกลับค่ายโดยเร็ว” หันซังเย่ว์ใช้ผ้าที่ฉีกมาจากเสื้อคลุมออกมามัดขาหันซังเกอเอาไว้ จากนั้นออกคำสั่ง “รีบกลับเข้าเมือง ตามหมอหลวงจางจากสำนักหมอหลวงมาที่นี่เร็วเข้า!”

“อย่า” หันซังเกอโบกมือ “หมอหลวงจางนั้นไม่อาจรักษาได้ เก๋อไห่ เจ้าไปตามหมอทหารหลูจากค่ายทหารภูเขาซี”

“ขอรับ” บนร่างกายของเก๋อไห่มีเพียงบาดแผลเล็กน้อยเท่านั้น เวลานี้ไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว เมื่อได้ยินคำสั่งจึงรีบจูงม้าออกมา แล้วปีนขึ้นบนหลังม้าทันที