ตอนที่ 69 เท้าของซื่อจื่อหัก แม่นางเหยารักษาบาดแผล (2)

หมอหญิงจ้าวดวงใจ

หันซังเย่ว์พูดอย่างกระวนกระวาย “ค่ายทหารในภูเขาซีอยู่ห่างไกลจากที่นี่ตั้งยี่สิบกว่าลี้ ไปกลับก็คงต้องใช้เวลาหนึ่งชั่วยาม พวกเราจะรออยู่ที่นี่เช่นนี้หรือ!”

หันซังเกอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามอดทนกับความเจ็บปวดตรงข้อเท้า จากนั้นสั่งการน้องชายของตนด้วยน้ำเสียงที่นิ่งเฉย “ให้เซ่าเชินส่งข้ากลับค่าย เหล่าองครักษ์ที่ได้รับบาดเจ็บก็กลับพร้อมกับข้า เจ้าไปหาท่านซื่อจื่อและเว่ยจาง อีกอย่างเหล่าองค์ชายที่อยู่ที่อื่นยังไม่รู้ว่ามีหมีหลุดออกมา ถ้าเกิดพวกเขาไปเจอเข้าก็คงต้องเป็นปัญหายุ่งยาก รีบส่งสัญญาณสารทันทีให้ทุกคนได้รับรู้ว่าเกิดเหตุการณ์อันตรายนี้ขึ้น ให้ทุกคนรีบกลับค่ายโดยด่วน”

“พี่ใหญ่!” ตอนนี้ในใจของหันซังเย่ว์กังวลแต่เรื่องบาดแผลของพี่ชายตนเอง จะไปสนใจและเป็นห่วงผู้อื่นได้อย่างไร

“ทำตามที่ข้าสั่ง!” หันซังเกอขมวดคิ้วจ้องด้วยนัยน์ตาที่เกรี้ยวโกรธ “ถ้าหากนี่เป็นการสู้รบ เจ้ายังกล้าขัดขืนคำสั่งของแม่ทัพอีกหรือ”

“ข้าเข้าใจแล้ว!” หันซังเย่ว์กัดฟันไว้แน่น จากนั้นก็โบกมือเรียกกองกำลังทหารรักษาความปลอดภัยให้มุ่งหน้าไปยังทิศทางที่หมีสีนิลหนีไป

ทหารรักษาความปลอดภัยของจวนเจิ้นกั๋วกงจึงยกหันซังเกอกลับค่ายไปอย่างเร่งด่วน เพราะหนทางกลางหุบเขานั้นคดเคี้ยว อีกทั้งตอนที่พวกเขาไล่จับสัตว์ป่าก็ใช้ม้าและขี่มาตั้งไกล ทว่าตอนกลับกลับใช้วิธีการเดิน จึงทำให้การเดินทางนั้นล่าช้า

ก่อนที่กองกำลังที่ได้รับบาดเจ็บเหล่านี้จะกลับถึงค่าย ก็ถูกอวิ๋นคุนที่ยิงหมีสีนิลได้ไล่ตามจนทัน

ที่แท้หมีสีนิลตัวนั้นได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก กำลังทั้งหมดที่มีในตอนแรกก็เหลือน้อยลง หมีตัวนั้นยังไม่ทันได้วิ่งไปไหนไกลก็ถูกอวิ๋นคุนและเว่ยจางหยุดเอาไว้ได้ แม่ทัพทั้งสามนายพร้อมใจกันต่อสู้กับหมี จึงทำให้หมีสีนิลยากที่จะวิ่งหนี เว่ยจาง อวิ๋นคุนและคนอื่นๆ จึงฆ่าหมีสีนิล และพวกเขาตามร่องรอยของมันไป ทำให้ได้เจอฝูงหมีน้อยสีนิล จากนั้นก็สั่งคนไปจับมาทั้งหมด แล้วแบกศพของหมีสีนิลกลับไปพร้อมกัน ซึ่งบังเอิญไปเจอกับหันซังเย่ว์พอดี

หันซังเย่ว์ยังคงเป็นห่วงอาการบาดเจ็บของพี่ชาย จึงไม่พูดอะไรมากก็รีบเร่งกลับค่ายทหารทันที

อวิ๋นคุน ซูอวี้ผิง เว่ยจางและหันซังเย่ว์ที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขในสนามรบด้วยกัน ความสัมพันธ์ของพวกเขาเลยไม่ได้น้อยไปกว่าความสัมพันธ์ของพี่น้องร่วมสาบานเลย ตอนนั้นหลังจากที่ออกคำสั่งให้เหล่าทหารรักษาการณ์แยกย้ายกันไปส่งสัญญาณสารเสร็จ ก็ได้กลับค่ายไปพร้อมกับหันซังเย่ว์

หลังจากที่กลับถึงค่ายทหาร จึงได้ตามหมอหลวงที่คอยติดตามมาด้วยเข้ามาดูอาการของหันซังเกอ

หมอหลวงผู้นั้นแกะผ้าที่พันแผลไว้ออก เผยให้เห็นแผลอันน่ากลัวพลางส่ายหัวไม่หยุด จากนั้นถอนหายใจด้วยความรู้สึกเสียดาย “ถึงแม้เส้นเอ็นจะไม่ขาดทั้งหมด ทว่าบาดแผลนี้กลับสาหัสยิ่งนัก ต่อให้แผลได้รับการฟื้นฟู เกรงว่าวันข้างหน้าขาข้างนี้ก็คงต้องเดินกระเผลก”

“พี่ใหญ่!” สิ้นเสียง น้ำตาที่อดกลั้นไว้ของหันซังเย่ว์ก็ไม่อาจจะอดกลั้นได้อีกต่อไป จากนั้นก็เข้าไปโอบบ่าหันซังเกอไว้แล้วร้องห่มร้องไห้ขึ้นมา

เจิ้นกั๋วกงซื่อจื่อเป็นบุรุษที่เก่งกาจในการรบ หันซังเกอผู้มากความสามารถต้องกลายเป็นไอ้เป๋! สิ่งที่น่าขุ่นเคืองใจที่สุดก็คือกั๋วกงซื่อจื่อนั้นไร้เทียมทานในสนามรบ ไม่มีใครสามารถเอาชนะเขาได้ สุดท้ายกลับถูกหมีสีนิลตัวหนึ่งทำให้ขาข้างหนึ่งของเขาได้รับบาดเจ็บ!

อวิ๋นคุนนั้นเต็มไปด้วยความหดหู่และโกรธแค้น เหตุเพราะเขาโมโหมากเกินไป จึงไปเตะโต๊ะไม้ยาวที่อยู่ข้างๆ จากนั้นก็ตะโกนด่าทอด้วยคำหยาบ

องค์ชายสี่ขมวดคิ้วพลางตรัสขึ้น “หมอหลวง หันซื่อจื่อเป็นผู้มากความสามารถในการปกป้องแผ่นดิน และเป็นเสาหลักของชาติ เจ้าต้องคิดหาวิธีในการรักษาขาของเขาสิ”

หมอหลวงคุกเข่าลงด้วยความลำบากใจ “กราบทูลองค์ชายสี่พ่ะย่ะค่ะ ความสามารถทางการแพทย์ของกระหม่อมมีจำกัด กระหม่อมไม่มีปัญญาแล้วจริงๆ พระองค์ได้โปรดพาท่านซื่อจื่อกลับเมืองหลวงโดยด่วน เพื่อให้สำนักหมอหลวงตามหมอหลวงเลี่ยวผู้ที่เชี่ยวชาญด้านกระดูกและกล้ามเนื้อลองคิดหาวิธีในการรักษาดูพ่ะย่ะค่ะ?”

การบาดเจ็บตรงเส้นเอ็น เกรงว่าหมอหลวงทั้งหมดในสำนักหมอหลวงและหมอทหารทั้งหมดในค่ายทหารก็คงไม่มีวิธีการรักษาได้

นอกจากฮว่าถัว[1]จะมาเกิดใหม่อีกครั้ง เพราะเขาก็คือ หมอเทวดา

อวิ๋นคุนยังใคร่จะโมโหและสบถคำหยาบใส่หมอหลวง ทว่ากลับถูกหันซังเกอยกมือขึ้นแล้วขวางเอาไว้ “อย่าถือโทษเขาเลย เขาก็ทำสุดความสามารถแล้ว ข้าสั่งให้เก๋อไห่ไปในค่ายทหารเพื่อเชิญหมอทหารหลูมา รอดูว่าเขาจะมีวิธีอะไรอีกหรือไม่”

แล้วจะมีวิธีอะไรได้อย่างไร คนพวกนี้คุ้นเคยในการเผชิญหน้ากับความตายอยู่บ่อยครั้ง และก็ไม่ได้รู้สึกแปลกตาแปลกใจกับการได้รับบาดเจ็บตรงเส้นเอ็นและกระดูกเลย ทุกปีในค่ายทหารก็มักมีทหารที่ได้รับบาดเจ็บเช่นนี้จนต้องลาออกและกลับบ้านเกิดของตัวเองไปจำนวนไม่น้อย ถ้าหากมีวิธีที่ดี เหล่านักรบพวกนั้นจะได้รับเงินบำเหน็จแล้วเกษียณอายุกลับบ้านเกิดได้อย่างไรกัน

องค์ชายใหญ่และคนอื่นๆ กลับค่ายเป็นพวกสุดท้าย พอเห็นหันซังเกอตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ทุกคนต่างก็ถอนหายใจไม่หยุด

เว่ยจางจับแขนเสื้อของอวิ๋นคุนไว้ แล้วพูดด้วยเสียงต่ำ “ที่นี่อากาศหนาว คงจะไม่เป็นผลดีกับแผลของหันซื่อจื่อ พวกเรารีบกลับเมืองหลวงเถอะ”

“เป็นเช่นนั้น” อวิ๋นคุนยกมือขึ้นแล้วลูบหน้าของตนเอง จากนั้นสั่งการขึ้น “เตรียมรถม้า ส่งท่านซื่อจื่อกลับเมืองหลวงก่อน”

เพราะอาการบาดเจ็บของหันซังเกอ ก็ไม่มีใครกล้าทำตัวชักช้า เขาคือบุตรชายคนโตขององค์หญิงหนิงหวาและเจิ้นกั๋วกง ตอนนี้ปี้เซี่ยะก็ทรงรักใคร่หลานชายคนโตผู้นี้เป็นอย่างมาก เขาสามารถเข้าออกวังหลวงได้ตามอำเภอใจ ฐานันดรศักดิ์ของเขานั้นสูงส่งจนเทียบเท่าเหล่าองค์ชายได้เลย

ตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว หากขี่ม้ากลับเข้าเมืองหลวงก็จะสามารถกลับทันก่อนฟ้ามืด ทว่าหากใช้รถม้าในการเดินทางก็คงจะพูดยาก ยิ่งไปกว่านั้น หันซังเกอได้รับบาดเจ็บ รถม้าก็ไม่ควรโคลงเคลงไปมา เพียงเพราะอวิ๋นคุนเป็นผู้ออกคำสั่ง จึงไม่มีใครกล้าแสดงความเห็นใดๆ อย่างไรก็ตามผู้ที่ใช้ขาข้างหนึ่งเตะโต๊ะไม้ยาวก็ยังคงรู้สึกโมโหเหมือนเดิมในขณะนี้

ในยามเซิน ดวงอาทิตย์ค่อยๆ เคลื่อนไปทางทิศตะวันตก อุณหภูมิกลางหุบเขาลดต่ำลงเรื่อยๆ

รถม้าของเฟิงเซ่าเชินทั้งหรูหราและสะดวกสบาย หลังคาเกี้ยวเป็นผ้าและยังมีพรมขนปุยหนาๆ สองชั้นปูอยู่ ข้างในยังมีฟูกที่นั่งหนังหมาป่าวางไว้  ต่อให้เป็นเช่นนี้ หันซังเกอผู้ยังคงพิงอยู่ในอ้อมกอดของหันซังเย่ว์ ก็ยังคงรู้สึกเหน็บหนาวเหมือนเดิม

“พี่ใหญ่?” หันซังเย่ว์ได้ยินพี่ชายของตนพึมพำว่าหนาว จึงดึงเสื้อคลุมหนังแมวป่าให้กระชับยิ่งกว่าเดิม ปลายนิ้วมือสัมผัสหน้าผากของหันซังเกอ อุณหภูมิร่างกายของเขาร้อนจนทำให้สะดุ้งตกใจ “พี่ใหญ่ ท่านเริ่มจับไข้แล้ว!”

หันซังเกอรู้สึกยกหัวไม่ขึ้น คล้ายกับว่าใกล้หมดสติ ทว่ากลับฝืนพูดขึ้น “อย่าเอะอะ ตื่นตระหนกเกินไป…”

และเฟิงเซ่าเชินที่นั่งอยู่ในรถม้าก็เอ่ยอย่างกระวนกระวาย “พี่ใหญ่ไข้ขึ้นเช่นนี้ ต้องเป็นเพราะสะท้านหนาวแน่นอน! ทำอย่างไรดี”

หันซังเย่ว์จึงเลิกม่านรถม้าพลางมองออกไปข้างนอก เวลานี้ก็มองไม่เห็นแสงแดดแล้ว ฟ้าก็ค่อยๆ มืดมัวลง

“พี่ใหญ่ซู!” หันซังเย่ว์ตะโกนเรียกซูอวี้ผิง

“เกิดอะไรขึ้น” ซูอวี้ผิงเร่งม้าไปข้างๆ รถม้า

หันซังเย่ว์พูดด้วยความกังวลใจ “พี่ชายของข้าไข้ขึ้นสูงมาก ตอนนี้พวกเราเดินทางถึงที่ใดแล้ว”

เว่ยจางตามซูอวี้ผิงอยู่ข้างๆ พอได้ยินคำถามนี้จึงเงยหน้ามองไปข้างหน้า แล้วเอ่ยขึ้น “ข้างหน้าเป็นวัดต้าเจวี๋ย”

ซูอวี้ผิงเอ่ยขึ้นอย่างเร่งเร้า “มิเช่นนั้นพวกเราหยุดเดินทางที่วัดต้าเจวี๋ยกันเถอะ ดูว่าท่านพระอาจารย์คงเซียงมีวิธีการใดที่จะช่วยให้ไข้ของหันซื่อจื่อลดลงได้บ้าง แล้วค่อยว่ากันอีกที”

เว่ยจางเห็นด้วย ซูอวี้ผิงพลันถามอวิ๋นคุน อวิ๋นคุนขมวดคิ้วแล้วออกคำสั่ง “หยุดพักที่วัดต้าเจวี๋ยก่อนเถอะ จากนั้นค่อยส่งคนกลับไปส่งสารให้เจิ้นกั๋วกงที่เมืองหลวง” เกิดเรื่องเช่นนี้ก็คงไม่อาจปิดบังไว้อีกต่อไป มีอะไรก็แจ้งไปเถอะ ทุกคนคิดหาวิธีในการรักษาหันซังเกอจึงจะเป็นเรื่องสำคัญที่สุด การหาผู้ที่ทำให้เกิดต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ก็คงไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร

“พ่ะย่ะค่ะ” เว่ยจางขานรับแล้วเร่งม้าไปข้างหน้า จากนั้นก็รวบรวมกองกำลังทหารม้าสี่นาย สองนายกลับเมืองหลวงเพื่อส่งสารให้จวนเจิ้นกั๋วกง ส่วนอีกสองนายให้ไปหาเก๋อไห่ที่ไปเชิญหมอทหารหลูให้ตามมาที่วัดต้าเจวี๋ย

ผ่านไปครึ่งชั่วยาม เหล่าองค์ชายและเชื้อพระวงศ์ต่างก็พาทหารเข้าไปในวัดต้าเจวี๋ย

แน่นอนว่าขั้นบันไดหนึ่งร้อยแปดขั้นตรงหน้าวัดต้าเจวี๋ยไม่สามารถเอารถม้าขึ้นไปได้ หันซังเย่ว์จึงแบกพี่ชายของเขาแล้ววิ่งพุ่งเข้ามาในวัด เณรน้อยที่เฝ้าหน้าวัดก็รู้สึกตกใจไม่น้อย หากไม่รู้จักสองพี่น้องตระกูลหันที่สวมใส่ชุดเกราะราชวงศ์ต้าอวิ๋น ก็คงจะนึกว่าพวกเขาเป็นมิจฉาชีพ

[1] ฮว่าถัว เป็นนายแพทย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นปฐมาจารย์ศัลยแพทย์จีนในสมัยราชวงศ์ฮั่น