ตอนที่ 50 ไต้ซือกับฆาตกร

บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์

อธิบดีจางพยักหน้า “ถึงวัดท่านจะเล็กแต่ก็งดงามมาก รบกวนไต้ซือแล้ว พวกเราขอตัวก่อน ถ้าเห็นคนนั้นที่ผมบอกอย่าเข้าใกล้ ให้แจ้งตำรวจก่อน พวกเราจะรีบมาทันที”

ฟางเจิ้งพยักหน้าเล็กน้อยก่อนพูดขึ้นอย่างไม่ตระหนก “อาตมาเข้าใจแล้ว เชิญพวกโยมเถอะ”

อธิบดีจางพาคนจากไปทันที ส่วนจุดธูป? พวกเขาไม่เชื่อพุทธ จะมาจุดธูปทำไม?

พอคนพวกนี้ไปหวังโอ้วกุ้ยก็วิ่งเข้ามาถามฟางเจิ้ง “ไอ้หนู แกมั่นใจนะว่าในวัดไม่มีใคร?”

ฟางเจิ้งยิ้มเฝื่อน “อาหวัง อาตมาเหมือนคนโกหกรึไง? ไม่มีคนจริงๆ ไม่เชื่อก็เข้าไปค้นอีกที”

หวังโอ้วกุ้ยมองฟางเจิ้งอย่างสงสัย สุดท้ายกส่ายหน้า “ไม่มีใครก็ดี แกไม่รู้เรอะ เจ้านั่นเป็นเป็นนักโทษที่ทำผิดครั้งแล้วครั้งเล่าที่โหดมาก ก่อนหน้านี้เป็นทหารรับจ้างตรงชายแดนทวีปแอฟริกา ฆ่าคนมาไม่รู้กี่คนแล้ว พอกลับประเทศมาก็กระทืบคนปางตาย เข้าคุกไปสามปีถึงถูกปล่อยออกมาปล้นรถขนเงิน ฆ่าคนคุ้มกัน…เฮ้อ ฉันล่ะเป็นห่วงแก ถ้าไม่อย่างนั้นแกตามฉันลงเขาไปดีกว่า รอจับคนร้ายได้แล้วค่อยกลับมา”

ฟางเจิ้ง “อาหวัง ขอบคุณมากที่เป็นห่วง แต่อาก็เห็นแล้วว่าวัดนี้ลำบากมาก ไม่มีข้าวของมีค่าอะไร มีแค่อาตมาคนเดียว จะมาปล้นอะไรอาตมาได้อีก? อีกอย่างขึ้นลงเขามีทางเดียว เว้นแต่อีกฝ่ายจะโง่ ถ้าไม่อย่างนั้นไม่มีทางขึ้นเขามาแน่ ถ้าจะมาเขาเอกดรรชนีสู้หนีไปในเทือกเขาข้างหลังไม่ดีกว่าเหรอ”

“ก็ใช่…เอาเถอะ ฉันจะบอกว่าถ้าแกกลัวก็ลงเขามา” หวังโอ้วกุ้ยกำชับ สุดท้ายจู่ๆ ก็หัวเราะ “อีกอย่าง เรื่องซ่งเอ้อโก่วน่ะ แกจัดการได้ดี ตอนนี้เจ้านี่เชื่อฟังขึ้นมาก เฮอะๆ…” พูดจบหวังโอ้วกุ้ยก็ไป

“อธิบดีครับ จากเบาะแสแล้วหานเซี่ยวกั๋วขึ้นเขามา ทำไมถึงไม่เจอใครล่ะ? ผมคิดว่าพวกเราน่าจะค้นดูให้ดีๆ ก่อน” ตำรวจชั้นผู้น้อยพูดขึ้นอย่างไม่ยอม

อธิบดีจางส่ายหน้า “เสี่ยวอู๋ ยังมีเรื่องที่นายต้องเข้าใจอีก ถึงเราจะไม่เชื่อพุทธ แต่วัดเป็นแดนเงียบสงบ เขามีกฏ จะเข้าไปตามอำเภอใจไม่ได้ ถ้าจะค้นก็ต้องรอหมายค้นก่อน…ช่วงนี้นายพาคนไปปิดล้อมเส้นทางลงเขาไว้ อีกอย่างหานเซี่ยวกั๋วเป็นทหารรับจ้าง รบตลอดปีในแอฟริกา เชี่ยวชาญการรบในป่าเขามาก เจ้าเล่ห์ดั่งจิ้งจอก เขาไม่มีทางไม่รู้ว่าเขาเอกดรรชนีเป็นเขาเดี่ยวที่ขึ้นไปต้องตายแน่! ฉันเดานะ แปดส่วนเขากำลังแสร้งทำเป็นไม่รู้หลอกตบตาอ้อมเขาเอกดรรชีเข้าไปในเทือกเขาฉางไป๋ ภารกิจของเราคือคุมสถานการณ์ไว้ รอสุนัขตำรวจมาถึงค่อยว่าอีกที”

“ครับ” อู๋ไห่พยักหน้า

ขณะกำลังวุ่นกับงานอยู่นั้น ฟางเจิ้งกำลังมองฟ้าเงียบๆ ดวงจันทร์ลอยขึ้นสูง เขาหิวอยู่นานแล้วจึงเดินไปดูที่ห้องครัว ฟืนดับไปแล้ว! มิน่าหุงตั้งนานไม่มีกลิ่นหอมโชยมา…

“เฮ้อ ฉันไปทำให้ใครไม่พอใจรึเปล่านะ จะกินข้าวยังเหนื่อยขนาดนี้” ฟางเจิ้งรีบจุดไฟใหม่

เมื่อเตรียมทุกอย่างเสร็จแล้ว ฟางเจิ้งมองไปข้างนอก หมาป่าเดียวดายยังไม่กลับมา…

ด้วยความเบื่อจึงไปยืนรอใต้ต้นโพธิ์ หลายวันมานี้ต้นโพธิ์ไม่ได้ใบร่วงอย่างต้นอื่นเขาที่ผ่านหน้าหนาว แต่กลับแตกใบสีเขียว มีแนวโน้มที่จะเขียวชอุ่มมากขึ้นหลายส่วน

ฟางเจิ้งเงยหน้ามองต้นโพธิ์พลางพูดเบาๆ “ต้นโพธิ์เอ้ย แกเป็นต้นโพธิ์หรือต้นองุ่นกันแน่? ทำไมถึงโง่ขนาดนี้? จะตายก็ไม่ต้องจริงจังขนาดนี้ก็ได้มั้ง? อืม วันนี้พระจันทร์สวย แต่ก็กินไม่ได้ ทำเอาอาตมาหิวจะแย่เลย”

บนต้นโพธิ์แขวนดวงจันทร์ใหญ่สีเงินดวงหนึ่ง ใต้ต้นโพธิ์มีนักบวชสง่าสวมชุดขาวกว่าหิมะยืนอยู่ พูดพึมพำกับตัวเอง ภาพนี้กลมกลืนกันดี สวยงาม ราวกับภาพวาดเลิศล้ำ

ทว่า…

“อย่าขยับ!” ตอนนี้เองมีเสียงแหบพร่าทุ้มต่ำดังแว่วมาจากข้างหลัง มีคนหน้า หน้าเป็นตัว国 คิ้วหนา ดวงตาเล็กริมฝีปากหนา นั่นคือหานเซี่ยวกั๋วฆาตกรที่อธิบดีจางเอ่ยถึง!

ตอนนี้หานเซี่ยวกั๋วตึงเครียดเล็กน้อย จับปืนในมือไว้แน่น ดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย ทั้งตัวดูเหนื่อยล้ามาก ขณะเดียวกันก็ตื่นตัวในระดับสูง

“อมิตพุทธ โยม ทะเลทุกข์ไร้ขอบเขต กลับใจคือฟากฝั่ง[1]” ฟางเจิ้งไม่หันมามองก็รับรู้ถึงความตึงเครียดได้จากลมหายใจอีกฝ่าย แต่เขาไม่ตระหนกแม้แต่น้อย ยังยืนอย่างสงบนิ่ง หันหลังให้อีกฝ่าย

“เณร อย่าพูดจาไร้สาระหน่า! บอกมาว่าแกมีของกินกับน้ำไหม?” หานเซี่ยวกั๋วหนีมาหนึ่งวัน ด้วยความขัดสนต้องทนทั้งหิวและหนาวจึงเข้ามาหาของกินที่วัด ก็เจอกับฟางเจิ้งที่กำลังเหม่ออยู่ใต้ต้นโพธิ์พอดีจึงลงมือ

ฟางเจิ้งยิ้ม “ที่แท้โยมก็หิวนี่เอง อาตมาย่อมมีของกิน แต่โยมถามทำไมเหรอ?” ฟางเจิ้งแสร้งถาม ขณะเดียวกันก็กำลังตรึกตรองว่าจะหาโอกาสทุบให้เจ้านี่หมดสติแล้วส่งให้ตำรวจดีไหม

แต่ว่า…

“ติ๊ง! ขอชี้แนะอย่างเป็นมิตร พาคนข้ามฝั่งเพื่อความดีคือบุญกุศล หากให้คนกลับฟากฝั่งได้จะเป็นบุญกุศลที่ใหญ่ยิ่งกว่า!”

บุญกุศลครั้งใหญ่? ฟางเจิ้งตะลึงไปเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ช่วยคนเหนือกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น ให้เขาจับรางวัลหนึ่งครั้ง เช่นนั้นบุญกุศลครั้งใหญ่ที่ช่วยคนกลับฟากฝั่งจะเป็นอะไร? ฟางเจิ้งจึงถาม “ระบบ บุญกุศลนี่มันยังไงเหรอ?”

“บุญกุศลคือระบบประเมิณที่จะประเมิณระดับการจับรางวัลของนาย ยิ่งเรื่องที่นายทำมีบุญกุศลที่ใหญ่เท่าไหร่ โอกาสที่จะจับได้ของดีก็จะมากขึ้นเท่านั้น ทุกครั้งที่จับรางวัลจะมีของให้จับเล็กน้อย เดิมทีของพวกนี้จะมีการแบ่งตามระบบ อย่างป้ายวัดของนาย เพราะมันเป็นรางวัลในการทำความสะอาดวัดจึงเป็นบุญกุศลที่ต่ำที่สุด เป็นเพียงป้ายวัดธรรมดาๆ ความสามารถทั่วไป

นายช่วยคนก็ได้จีวรขาวจันทร์ นั่นคือสมบัติที่พระอาจารย์ถึงจะมีได้

ดังนั้นแล้วยิ่งบุญกุศลสูงเท่าไหร่ ระดับของที่จะจับได้ก็ยิ่งสูงเท่านั้น ช่วยคนน่ะง่าย แต่การโน้มน้าวให้คนเป็นคนดียาก นี่คือบุญกุศล ฆ่าคนง่าย ช่วยคนยาก บุญกุศลช่วยคนจึงสูงกว่า โน้มน้าวให้คนเป็นคนดีง่าย แต่ให้คนชั่วกลับเป็นคนดียาก เลยเป็นบุญกุศลครั้งใหญ่”

ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นดวงตาเปล่งประกาย! บุญกุศลที่ส่งมาถึงปากแบบนี้จะไม่รับได้ไง? เขาอยากรู้มากว่าบุญกุศลครั้งใหญ่นี้จะจับสมบัติอะไรออกมาได้! ในเวลาเดียวกันฟางเจิ้งขบคิดอย่างหนัก นึกย้อนไปถึงละครโทรทัศน์ในความทรงจำหรือในนิยายว่าไต้ซือในนั้นเปลี่ยนนิสัยปีศาจอย่างไร จากนั้นวางแผนในใจ ถึงไม่รู้ว่าจะมีประโยชน์ไหม แต่ก็ใช้ไปก่อนชั่วคราว

หานเซี่ยวกั๋วแทบจะตรงเข้ามาตบหน้าฟางเจิ้งเพราะน้ำเสียงอีกฝ่าย ซ้ำยังด่าทอ “เณร ผิวพรรณก็ขาวสะอาดดี แต่ทำไมสมองกลับโง่แบบนี้? ฉันถามข้าวก็ต้องจะกินข้าวสิ!”

“แล้วทำไมอาตมาต้องให้ข้าวโยม? ถ้าโยมหิวก็ลงเขาไปกินข้าว วันนี้อากาศยังดี รีบไปเถอะยังมีข้าวให้กินอยู่” ฟางเจิ้งใช้วิธีแรก จงใจแสร้งเป็นคนสูงส่ง! ให้อีกฝ่ายยอมต่อเหตุผล ให้เชื่อฟัง

“กะ…แกโง่รึเปล่าเนี่ย?” หานเซี่ยวกั๋วพูดขึ้นด้วยความโกรธ

……………………….

[1] ทะเลทุกข์ไร้ขอบเขต กลับใจคือฟากฝั่ง คือ ถ้าสำนึกก็กลับใจเสียใหม่ได้