ฟางเจิ้งถามกลับ “โยม อาตมาโง่แล้วยังไง ไม่โง่แล้วยังไง?”
“ฉันว่าเข้าใจแล้ว แกแกล้งโง่นี่เอง!” หานเซี่ยวกั๋วตะคอก
ตอนนี้เองมีกลิ่นหอมข้าวโชยมา
จ๊อกๆๆ…
เสียงท้องร้องดังขึ้นพร้อมกันสองเสียง ฟางเจิ้งกับหานเซี่ยวกั๋วหิวแล้ว
หานเซี่ยวกั๋ว “เณร แกทำอาหารในครัวเหรอ?”
ฟางเจิ้ง “อมิตพุทธ ใช่ แต่สำหรับแค่คนเดียว”
“นั่นของฉัน! อย่าปฏิเสธ ไม่อย่างนั้นฉันไม่รับประกันว่าจะไม่ยิงแก!” หานเซี่ยวกั๋วข่มขู่
“แบบนั้นไม่ได้ อาตมายังไม่ได้กินข้าวเลยวันนี้ หิวจนจะลนลานไปหมดแล้ว ถ้าโยมหิวก็ลงเขาไปกินเถอะ” ฟางเจิ้งว่า
“ลงก็บ้าสิ! วันนี้ฉันจะกินบนเขานี่! ใครก็อยากไล่ให้ฉันไป!” หานเซี่ยวกั๋วพูดด้วยความโกรธ
ฟางเจิ้งถอนหายใจ “ถ้าอย่างนั้นโยมก็อยู่นี่ อาตมาจะไปกินข้าว” พูดจบฟางเจิ้งหมุนตัวกลับต่อหน้าหานเซี่ยวกั๋ว!
“แกหยุดเดี๋ยวนี้! ไม่อย่างนั้นฉันจะฆ่าแก!” หานเซี่ยวกั๋วตกใจ
ฟางเจิ้งกลับยิ้มอย่างอบอุ่น “โยม ทำไมต้องจริงจังขนาดนี้ล่ะ? โยมไม่ใช้ปืน พวกเรายังคุยกันได้นะ ฆ่าเวลาไป ถ้าโยมใช้ปืน ตำรวจที่เฝ้าอยู่ตรงตีนเขาจะมา ถึงตอนนั้นจะไม่มีใครได้กินข้าว”
หานเซี่ยวกั๋วยิ่งดมก็ยิ่งหิว เขากลืนน้ำลายลงคอ ชี้ปากปืนไปที่ฟางเจิ้ง “จะเชื่อฟังหรือให้ฉันฆ่าแก! เดี๋ยวฉันจะทำให้ดูว่าฆ่าคนก็ไม่ต้องใช้ปืนเสมอไป!” พูดจบก็จี้ปลายมืดไปที่หลังฟางเจิ้ง
ฟางเจิ้งส่ายหน้าเล็กน้อย “ช่างเถอะ อาตมาก็หิวแล้วเหมือนกัน ถ้าไม่ไปดูข้าวอาจจะเหลวได้ ไปเถอะ” พูดจบ ไม่ทันให้หานเซี่ยวกั๋วตอบกลับ ฟางเจิ้งก็เดินไปทันที!
ออกจากรัศมีมีดไปแบบนี้ หานเซี่ยวกั๋วถึงได้สติกลับมา ถือปืนชี้ฟางเจิ้งพร้อมเดินไป เดินไปพลางพูดไปพลาง “เณร แกอย่าเล่นตุกติกเชียว! ไม่อย่างนั้นฉันจะส่งแกไปพบพระโพธิสัตว์ที่ชมพูทวีปจริงๆ!”
“อมิตพุทธ ถ้าโยมมีความสามารถจริงๆ อาตมาก็อยากพบพระโพธิสัตว์จริงๆ เหมือนกัน…” ฟางเจิ้งไม่ได้โกหก เขาพูดจริง ไม่อยากเป็นหลวงจีนแล้วจริงๆ! แม้ตอนนี้จะไม่ถือว่าลำบาก แต่ต้องอยู่บนเขาคนเดียวทั้งวันช่างทรมานนัก!
แต่หานเซี่ยวกั๋วไม่รู้ว่าฟางเจิ้งคิดอย่างไร คิดแค่ว่าฟางเจิ้งกำลังยั่วยุ จึงใช้มือทุบหัวฟางเจิ้ง!
แต่ว่า!
โป๊ก!
“โอ๊ย!” หานเซี่ยวกั๋วคลึงมือ ก่อนด่าทอ “เณร ทำไมหัวแกเหมือนหินเลย? ทำไมแข็งแบบนี้หะ?”
“อมิตพุทธ อาตมาหัวแข็งมาตั้งแต่เด็กแล้ว ถ้าโยมเจ็บก็เป็นความผิดอาตมาจริงๆ” ฟางเจิ้งตอบ
หานเซี่ยวกั๋วหน้าแดง เขาเป็นทหารรับจ้างมาทั้งชีวิต เป็นครั้งแรกที่ทุบคนแล้วเจ็บเอง แถมยังถูกคนที่ทุบปลอบ…ความรู้สึกนี้ ทำไมถึงเหมือนกำลังถูกเยาะเย้ย!
ดังนั้นหานเซี่ยวกั๋วจึงทุบไปอีกครั้ง!
แก๊ง!
หานเซี่ยวกั๋วเหมือนกับเห็นผี ครั้งนี้เขาใช้ด้ามปืน แต่ทุบไปที่หัวโล้นแล้วกลับมีสะเก็ดไฟ!
ฟางเจิ้งถอนหายใจ หันไปมองหานเซี่ยวกั๋วที่มีสีหน้ามึนงง “โยม พวกเราเดินไปดีๆ ได้ไหม? ทุบหัวอาตมาอยู่ได้ ทำแบบนี้ไม่เหมาะสมเอามากนะ ถ้าโยมทำแบบนี้อีก อาตมาจะคิดว่าจะก่อความวุ่นวาย”
“แกเป็นใครกันแน่?” หานเซี่ยวกั๋วมองฟางเจิ้งอย่างระแวง
“อมิตพุทธ อาตมาฟางเจิ้ง เจ้าอาวาสวัดเอกดรรชนี” ฟางเจิ้งตอบ
หานเซี่ยวกั๋วกำปืนในมือแน่น จิตใจถึงสงบลง คิดในใจว่า ‘หลวงจีนนี่ผิดปกติ แต่ต่อให้ผิดปกติกว่านี้ก็มีแค่คนเดียว! ต่อให้มีวิทยายุทธ์ก็ไม่มีทางเร็วกว่าปืนหรอก และก็ไม่มีทางคงกระพัน!’
คิดได้ดังนั้นหานเซี่ยวกั๋วก็กล้าหาญขึ้นมาอีกครั้ง ใช้ปืนชี้หัวฟางเจิ้งพลางตะคอกอย่างเฉยชา “อย่าพูดไร้สาระ! พาฉันไปกินข้าว!”
ฟางเจิ้งพยักหน้า จากนั้นหานเซี่ยวกั๋วก็เห็นว่าเจ้าหลวงจีนโง่นี่ไม่ได้กลัวแม้แต่น้อย ยังคงเดินไปแบบเดิม! ปืนเขายังจี้หัวอีกฝ่าย จะให้เกียรติปืนเขาบ้างไม่ได้เรอะ? กลัวหน่อยไม่ได้รึไง?
ฟางเจิ้งเข้าไปในห้องครัว เปิดฝาหม้อ ควันขาวลอยฟุ้ง กลิ่นหอมตลบอบอวล!
จ๊อกๆ…
ฟางเจิ้งกับหานเซี่ยวกั๋วท้องร้องอีกครั้ง
หานเซี่ยวกั๋วดวงตาแดงก่ำแล้ว “นี่มันข้าวอะไร? ทำไมหอมแบบนี้? หืม? ข้าวสวยมาก!”
ฟางเจิ้งไม่สนใจ แต่หยิบชามใหญ่มาก่อนตักข้าวอย่างรวดเร็ว
หานเซี่ยวกั๋วเห็นฟางเจิ้งวางตัวแบบนี้จึงยิ้มเป็นครั้งแรก “เณร ก็พอใช้…นี่แก! นั่นข้าวฉันนะ!” ยังไม่ทันพูดชมจบฟางเจิ้งก็นั่งลงบนฐานวางเครื่องครัวก่อนเริ่มกิน!
หานเซี่ยวกั๋วตะโกน แต่ฟางเจิ้งกลับไม่หยุด ซ้ำยังกินเร็วกว่าเดิม!
หานเซี่ยวกั๋วใช้ปืนจี้หัวฟางเจิ้งพลางด่าทอ ทว่าฟางเจิ้งหมุนตัวหนี! มองข้ามปืนเขาอีกครั้ง!
หานเซี่ยวกั๋วโกรธจริงๆ แล้ว จึงยกปากปืนขึ้นจ่อหัวฟางเจิ้ง “ไอ้หลวงจีนระยำ ถ้าแกกินข้าวฉันอีกคำเดียว รับรองว่าหัวกระจุยแน่!”
ฟางเจิ้งหมุนตัวกลับอย่างเฉยเมย ก่อนหายไปในสายตาของอีกฝ่าย! เขากังวลแล้ว เจ้านี่โง่รึเปล่า? ในหม้อยังมีข้าวอีก มาจ้องฉันเขม็งทำไม? ต้องยึดด้วยอำนาจถึงจะพอใจรึไง? คนอะไรกัน…
หานเซี่ยวกั๋วรีบตามออกไป แต่เห็นฟางเจิ้งเดินไปนอกประตูวัดแล้ว เขาจึงคิดจะยิงปีนอีกหลายครั้งแต่ก็อดกลั้นเอาไว้ ถึงอย่างไรที่นี่ก็กว้างโล่ง เสียงปืนอาจจะล่อให้ตำรวจมาจริงๆ ซึ่งเขาไม่ต้องการแบบนั้น
หานเซี่ยวกั๋วตามไปก็เห็นฟางเจิ้งนั่งกินข้าวอย่างสบายใจอยู่ใต้ต้นโพธิ์
หานเซี่ยวกั๋วเพ่งมองก็โกรธจนแทบจะระเบิด “เหลือให้ฉันคำหนึ่ง!”
ฟางเจิ้งเงยหน้าขึ้น เสียงชามกระทบกับตะเกียบดัง เขากินคำสุดท้ายไปแล้ว!
“ไอ้…ไอ้หลวงจีนระยำ แกตายซะ!” หานเซี่ยวกั๋วโมโหจริงๆ ตั้งแต่เจอกัน หลวงจีนนี่ไม่สนใจเขา ตอนนั้นกลั้นเพลิงโทสะไว้ ตอนนี้หิวจนไม่ไหวแล้ว กลิ่นหอมข้าวก็หอมจนผิดปกติ ทำให้หนอนตะกละในท้องทะลวงออกมา! ต่อให้เขาเป็นคนที่เคยผ่านการฝึกความหิวมาก่อนก็ยังรับมือกับความรู้สึกหิวที่เหมือนขยายเป็นสิบเท่านี้ไม่ได้
ฉะนั้นหานเซี่ยวกั๋วจึงคิดจะยิง
ทว่า…
แก๊ง!
เสียงดังมาจากห้องครัว
“ใคร?!” หานเซี่ยวกั๋วหมุนตัวกลับโดยพลัน ก่อนถามไปอย่างตื่นตัว
ฟางเจิ้งเงยหน้าขึ้นตอบอย่างเฉยชา “หมา”
“วัดแกเลี้ยงหมาด้วยเหรอ?” หานเซี่ยวกั๋วจ้องฟางเจิ้งตาเขม็ง
ฟางเจิ้งยืนขึ้นเดินมาหาหานเซี่ยวกั๋ว อ้าปาก…
เออร์…
ฟางเจิ้งเรอออกมา กลิ่นหอมข้าวเต็มปาก หานเซี่ยวกั๋วจึงตอบสนองทันที
จ๊อก…
“แกนำทางไป!” หานเซี่ยวกั๋วทนความหิวไม่ไหว ใช้ปืนจี้หัวฟางเจิ้ง
จากนั้นเขาก็ต้องพบสิ่งที่น่าเศร้าอีกครั้ง หลวงจีนนี่เดินไป…ปลายปืนว่างอีกแล้ว! ถูกเมินอีกแล้ว!
ดีที่ฟางเจิ้งเชื่อฟังมาก นำทางไปห้องครัว หานเซี่ยวกั๋วหลบอยู่ข้างหลังฟางเจิ้งอย่างระวัง เตรียมใช้ฟางเจิ้งเป็นตัวประกันหรือเกราะกำบัง ผลจากการที่ระวังแบบนี้คือเขาเดินได้ช้ามาก แถมยังบังคังให้ฟางเจิ้งเดินช้าไปด้วย…
……………………..