“บัดซบ ทำไมไม่มีเสียงแล้วล่ะ! ไม่ได้ยินเลยว่าร้องอะไรบ้าง!”

“เกิดอะไรขึ้น คิดจะหลอกลวงพวกเราเหรอ? ร้องเพลงเฮงซวยอะไร!”

อุบัติเหตุเพิ่งจะเกิดขึ้นแต่คิดไม่ถึงว่าแขกจำนวนไม่น้อยจะหัวเสียทันที

แขกในชั้นสาม ชั้นสี่และชั้นห้าต่างพร้อมใจกันโยนสิ่งของลงมา

แป่ะ!

เปลือกกล้วยหล่นลงบนใบหน้าของฟางเชาอย่างจัง

แล้วเปลือกส้มซิตรัสก็หล่นลงบนขาสวยๆ ของหวังเจียเหยา

“กรี๊ด!” หวังเจียเหยากรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ

“โถ่เว้ย ใครโยนลงมา! ลงมาให้พ่อดูซะดีๆ!” ฟางเชาผุดลุกยืนขึ้นอย่างหัวเสีย

หลังจากฉินหงเหยียนเห็นเข้าก็กล่าวว่า “โยนได้ดีเชียว โยนใส่ผีเน่ากับโลงผุ!”

เย่เฉินไม่มีเวลามาด่าหรือเยาะเย้ยหวังเจียเหยาและฟางเชา เขากล่าวกับฉินหงเหยียน

“เรื่องนี้ไม่ธรรมดาแบบที่เห็นแน่ ไมโครโฟนที่นักร้องใช้น่ะเป็นไมโครโฟนชั้นเลิศที่ใช้เวลาทั้งวันทั้งคืนหอบมาจากเซี่ยงไฮ้ ปกติแล้วไม่น่าจะมีปัญหาอะไรอาจเป็นไปได้ว่าของจะโดนสลับไปแล้ว”

ฉินหงเหยียนตกตะลึง “คุณจะบอกว่ามีคนจงใจทำให้เกิดอุบัติเหตุครั้งนี้เหรอ? ฝีมือจงเหว่ยเหรอคะ?”

เย่เฉินกวาดตามองบรรดาแขกเหรื่อที่อยู่ด้านบน หมอนี่ไม่เพียงเล่นสกปรกกับไมโครโฟนแต่ยังส่งคนปลอมตัวเป็นแขก แล้วยั่วยุอารมณ์ของแขกภายในร้านให้ขว้างปาสิ่งของลงมาด้านล่าง

โชคดีที่เย่เฉินและฉินหงเหยียนไม่ได้เลือกตำแหน่งตรงกลางน้ำ ไม่อย่างนั้นคนที่โดนขว้างปาสิ่งของและโดนหัวเราะเยาะคงเป็นพวกเขา

ฟางเชาหน้าโง่ คิดไม่ถึงว่าจะเสียเงินหกแสนเพื่อซื้อตำแหน่งโต๊ะอาหารที่จะโดนขว้างปาข้าวของใส่แบบนี้

ทว่าฝ่ายบริหารจัดการของร้านอาหารของเย่เฉินเป็นทีมชั้นยอดระดับประเทศ พอพบว่าไมโครโฟนมีปัญหาพวกเขาก็เปลี่ยนใหม่ทันที

นักร้องเริ่มร้องเพลงตั้งแต่ต้นแล้วทุกคนก็เริ่มขับร้องท่อน ‘มือซ้ายวาดมังกร ส่วนมือขวาวาดสายรุ้ง’ โดยลืมเหตุขัดข้องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ไปเสียสนิท

เมื่อเพลงจบทุกคนก็ส่งเสียงแสดงถึงความพอออกพอใจ

“ขอบคุณทุกท่าน ขอให้ทุกท่านกินดื่มกันให้เต็มที่ แล้วพบกัน!”

นักร้องหยิบไมโครโฟนแล้วเดินลงจากเวที

แล้วในเวลานี้เองฟางเชาก็หยิบไมโครโฟนมาจากมือนักร้องแล้วตะโกนบอกแขกที่อยู่ชั้นบน

“ทุกท่านรอประเดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งกลับเข้าไปในห้อง ผมมีเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งที่อยากให้ทุกท่านเป็นพยาน!”

ในร้านอาหารอวิ๋นจงอวิ๋น

บรรดาแขกเหรื่อในชั้นที่สองจนถึงชั้นที่ห้าที่พวกเขาเดิมตั้งใจว่าจะกลับเข้าห้อง VIP เพื่อไปกินเลี้ยงกันต่อแต่พอได้ยินคำพูดของฟางเชาก็เดินกลับมา

เย่เฉินเองก็ขมวดคิ้วมุ่นแล้วมองที่ชั้นสอง

พลันมองเห็นพนักงานหลายคนใส่เสื้อยืด ‘ลูกโป่งอวิ๋นเหอ’ ในมือถือลูกโป่งสีสันสดใสหลากสีเดินไปที่ห้อง VIP ของฟางเชาและหวังเจียเหยา

ลูกโป่งจำนวนมากเน้นสีขาว สีชมพูและสีแดงเป็นหลัก

ส่วนอีกด้านก็มีคนจำนวนมากถือกล่องมา ในกล่องบรรจุกลีบดอกกุหลาบเอาไว้ คนพวกนี้เทกลีบกุหลาบลงบนพื้นในห้อง

“ว้าว นี่จะขอแต่งงานกันเหรอ? เศรษฐีจะขอแต่งงานกันแล้ว!”

“ได้ยินมาว่าห้องตรงนั้นต้องใช้เงินจองแสนหนึ่งล่ะ!”

“สุดยอด คิดไม่ถึงว่าแม่ผู้หญิงคนที่เอาแต่ดูการแสดงไม่ได้รู้ตัวเลยว่าตัวเองโดนขอแต่งงานจะหน้าตาสวยขนาดนี้เลย!”

“ผู้หญิงคนสวยเกินไปแล้ว! ถ้าได้นอนกับเจ้าหล่อนสักคืน ต่อให้ต้องอายุสั้นลงสิบปีก็ยอม!”

“นายเมาแล้วใช่ไหมเนี่ย? ผู้หญิงแบบนี้เป็นของพวกลูกเศรษฐีเท่านั้น คนธรรมดาอย่างเรา ๆ จะมีสิทธิ์ได้ครอบครองหล่อนได้ยังไง?”

การกระทำของฟางเชาก่อให้เกิดเสียงวิพากย์วิจารณ์ขึ้น

เย่เฉินหัวเสียอย่างยิ่ง!

กล้าใช้ร้านอาหารของฉันโดยไม่ได้รับอนุญาต แถมยังใช้แขกและสถานที่ของฉัน หนักกว่านั้นยังใช้ทั้งหมดนี้เพื่อขอผู้หญิงของฉันแต่งงานเนี่ยนะ?

ปู่เอ็งตายเถอะว่ะ!

เย่เฉินเรียกผู้จัดการร้านมาอย่างรวดเร็วแล้วกำชับ “รีบไปจัดการเก็บกวาดขยะที่ชั้นสองนั่นให้หมด! เก็บไมโครโฟนมาด้วยเลย!”

“รับทราบ!”

ที่ชั้นสองฟางเชาถือไมค์แล้วคุกเข่าข้างหนึ่งลงตรงหน้าหวังเจียเหยา “เจียเหยาคุณยินดีที่จะ…ฮัลโหล ๆ”

ในตอนที่ฟางเชากำลังพูดอยู่นั้น จู่ๆ ไมโครโฟนก็เงียบเสียงไป

ยิ่งไปกว่านั้นพนักงานของร้านก็เดินมาหาพวกเขาแล้วใช้เข็มเปลี่ยนซิมการ์ดมือถือจิ้มลงบนลูกโป่งที่สุดแสนจะโรแมนติกพวกนั้น

ตู้ม

ตู้ม

ตู้ม

ลูกโป่งจำนวนนับสิบถูกจิ้มจนแตก

ฟางเชาเริ่มหัวร้อน “พวกแกทำบ้าอะไรกัน! ทำไมต้องจิ้มลูกโป่งของฉันด้วย! นี่มันลูกโป่งสารภาพรักของฉันนะเว้ย!”

ฟางเชาหัวเสีย แล้วคุณป้าอายุสี่สิบกว่าๆ คนหนึ่งก็ถือไม้กวาดแล้วเดินมา “ยกท้าว(เท้า)”

พูดพลางกวาดกลีบกุหลาบใส่เข้าไปในที่ตักขยะ

ฟางเชาโวยวายขึ้นอีกครั้ง “เฮ้ย! กุหลาบของฉัน! อย่าเพิ่งกวาดไปทิ้งสิ!”

แต่พนักงานไม่ได้สนใจจะฟังคำพูดขอฟางเชาเลยแม้แต่น้อย นี่เป็นคำสั่งของเย่เฉิน

ในตอนนี้เองบรรดาแขกเหรื่อต่างก็หลุดหัวเราะออกมา

“ฮ่าๆ ไอ่หนุ่มคนนี้อยากจะจัดขอแต่งงานที่แสนจะโรแมนติก ใครจะไปรู้ว่าถูกพนักงานในร้านอาหารดับฝันไปเลย”

“ตลกจริงๆ เดาว่าคงขอแต่งงานไม่รอดแล้ว ฮ่า”

“ทำไมฉันถึงได้มีความสุขแบบนี้นะ? ถึงแม้ว่าเราจะไม่คู่ควรกับหญิงงามแต่ก็ไม่อยากให้คนสวยแบบนี้แต่งกับลูกเศรษฐีสารเลวเลย!”

แขกต่างก็หัวเราะเยาะแล้วแยกย้ายกลับเข้าห้อง VIP ไป

พอเห็นสถานที่ที่ตนเองตั้งใจจะใช้เพื่อขอแต่งงานโดนพัง คนที่รุมดูก็สลายตัวไป ฟางเชาก็โมโหจนคำรามเสียงกร้าว

“เรียกเจ้าของร้านออกมา! ย่าเอ็งเถอะ รู้ไหมว่าฉันเป็นใคร! ฟางเชาจากตระกูลฟางเชียวนะ! ให้เขาออกมาดูว่าฉันเป็นคนระดับไหนในอวิ๋นโจว!”

เดิมทีเย่เฉินไม่คิดจะสนใจพวกเขาแต่ในเมื่อฟางเชาอยากจะเจอตนเอง เย่เฉินจึงเดินลงมาจากชั้นสาม

เย่เฉินล้วงมือในกระเป๋าแล้วกล่าวกับฟางเชา “คุณมาโวยวายเรียกหาใครไปเรื่อยน่ะ? ไม่กินข้าวก็ออกไป อย่ามารบกวนแขกคนอื่นของผม!”

ฟางเชายังไม่เข้าใจคำพูดของเย่เฉินแล้วกล่าวซ้ำ “เกี่ยวอะไรกับแกวะ! ไปเลยไป ฉันจะคุยกับเจ้าของร้าน!”

“ผมนี่แหละเถ้าแก่ของที่นี่!” เย่เฉินกล่าวด้วยใบหน้าเคร่งขรึม