เพิ่งจะมาถึงประตูห้อง 307 ก็มีชายวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบปีเดินมาทางพวกเขา

“เฮ้ คุณฉิน บังเอิญจังเลย!”

เหมือนว่าชายผู้นั้นจะรู้จักฉินหงเหยียน

ฉินหงเหยียนเองก็ดูแปลกใจน้อยๆ “คุณเจียงนี่เอง คุณก็มาทานข้าวที่นี่เหรอคะ? จำได้ว่าคุณไปที่โหลวว่ายโหลวตลอดเลยนี่คะ”

ฉินหงเหยียนรู้จักคุณเจียงผู้นี้ เขาสนิทสนมกับจงเหว่ยมากทีเดียว ปกติจะเลือกรับประทานอาหารในร้านอาหารของจงเหว่ย

คุณเจียงกล่าวว่า “ก็ลูกผมน่ะสิร่ำร้องจะดู ‘Ye Lang Disco’ ให้ได้เลยลากผมมาที่นี่”

ฉินหงเหยียนยิ้ม หล่อนเชื่อว่าจะต้องมีพ่อแม่จำนวนไม่น้อยที่โดนลูกลากมาเหมือนคุณเจียงคนนี้

เพราะเด็กที่ชอบเพลงนี้ปกติแล้วยังไม่มีความสามารถในการเหมาห้อง แต่พ่อแม่ในตอนนี้ต่างก็ตามใจลูก ขอแค่เด็กๆ บอกว่าจะไปที่ไหนพวกเขาก็จะเออออตามใจไปเสียทุกครั้ง

ดังนั้นเย่เฉินถึงได้เลือกนักร้องที่วัยรุ่นชื่นชอบแทนที่จะเลือกนักร้องที่เป็นที่นิยมในกลุ่มคนในวัยกลางคนแทน

คุณเจียงปรายตามองเย่เฉินที่อยู่ข้างๆ ฉินหงเหยียนแล้วถาม “คนผู้นี้คือ…”

ฉินหงเหยียนมองเย่เฉิน ตอนนี้สถานะผู้บริหารของเย่เฉินก็ยังคงถูกเก็บเป็นความลับจากโลกภายนอก นอกจากคู่ค้าของบริษัทแล้วก็ต้องเป็นคนระดับผู้บริหารเท่านั้นถึงจะได้พบหน้าเขา ดังนั้นฉินหงเหยียนจึงไม่กล้าแนะนำเขาไปทั่ว

เย่เฉินเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าจึงโอบบ่าโจวหรงหรงแล้วกล่าว “ผมคือแฟนของโจวหรงหรง”

โจวหรงหรงตกใจอย่างยิ่งที่จู่ๆ ก็ได้รับเกียรติเช่นนี้ เจ้าตัวดีใจจนแทบจะกระโดดโลดเต้นแล้วรีบเอนตัวเข้าอ้อมกอดเย่เฉินทันที

“อยากให้คุณเย่กอดฉันแบบนี้ไปตลอดจังเลย…”

ในวินาทีนี้โจวหรงหรงอยากจะโถมตัวทับเย่เฉินใจจะขาด

พอคุณเจียงเห็นเข้าก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ที่แท้ก็แฟนของเลขาโจวนี้เอง พอจะมองออกอยู่นะว่าเลขาโจวกับน้องชายคนนี้รักกันมากทีเดียว”

แล้วพวกเขาก็พูดคุยกันตามมารยาทอีกเล็กน้อย แล้วพวกเย่เฉินก็เดินเข้าห้อง VIP ไปพลางปิดประตู

โจวหรงหรงรู้ตัวเป็นอย่างดี หล่อนไม่ทำตัวเป็นแฟนคุณเย่อีกต่อไป พอเข้าไปในห้องแล้วก็รีบเทชาให้เย่เฉินและฉินหงเหยียนอย่างรู้งาน

ฉินหงเหยียนกล่าว “วันนี้ร้านอวิ๋นจงอวิ๋นของเราคนเต็มแถมอาทิตย์หน้าก็ถูกจองเกือบเต็มเหมือนกัน ส่วนโหลวว่ายโหลวของจงเหว่ยตอนนี้มีแขกไม่ถึง 20 คนด้วยซ้ำไป หนำซ้ำในนั้นอาจมีเพื่อนที่เขาเป็นคนเรียกมาด้วยซ้ำไป”

โจวหรงหรงเองก็ชูมือขึ้น “คุณเย่เก่งจังเลยค่ะ เอาชนะจงเหว่ยแล้วจะได้ครอบครองแวดวงธุรกิจอาหารของอวิ๋นโจว!”

เห็นท่าทางน่ารักของโจวหรงหรง เย่เฉินระบายยิ้มน้อยๆ แล้วกล่าวต่อ

“โหลวว่ายโหลวเป็นร้านอาหารที่ขายดีที่สุดของจงเหว่ย ขอแค่ผมทำให้ร้านนั้นเจ๊งได้ อย่างอื่นก็ไม่ต้องกังวล”

เย่เฉินยกแก้วชาขึ้นจิบพอนึกถึงท่าทางเย่อหยิ่งข่มคนอื่นของจงเหว่ยในงานเลี้ยงวันนั้น ก็ชวนให้หงุดหงิดจนต้องยกแก้วชาที่ร้อนนั้นกระดกทีเดียวจนหมด!

“แล้วเรามาดูกันว่าใครตัดทางทำมาหากินใครกันแน่!”

แล้วเวลาสองทุ่มก็มาถึงอย่างรวดเร็ว ถึงเวลาโชว์ของ ‘Ye Lang Disco’ พอดี

ในเวลานี้เองแขกที่จองห้อง VIP ในชั้นสองถึงห้าต่างก็ออกมาจากห้องแล้วยืนดูการแสดงภายในห้อง 301

“จะออกไปดูไหมคะ?” ฉินหงเหยียนถามเย่เฉิน

เป็นเพราะสถานที่ทำการแสดงเป็นสถานที่ที่ฟางเชาและหวังเจียเหยากินข้าว ฉินหงเหยียนจึงกังวลว่าเย่เฉินจะไม่อยากเห็นพวกเขาสองคน

เย่เฉินกล่าวว่า “แน่นอนอยู่แล้ว ผมเป็นเถ้าแก่ของร้านนี้ ต่อให้ไม่ชอบเพลงนี้ก็ต้องไปดูสักหน่อยว่าพวกเขาโชว์เป็นอย่างไรบ้างแล้วผู้ชมมีท่าทีอย่างไรบ้างพวกเราออกไปดูข้างนอกกันหน่อย”

เย่เฉิน ฉินหงเหยียนและโจวหรงหรงเดินมายังนอกประตู

นักร้องปรากฏตัวขึ้นที่ชั้นสองอย่างรวดเร็วทำให้เกิดเสียงฮือฮาขึ้นในร้านอาหาร

หลังจากพูดคุยเล็กน้อยกับเหล่าแฟนเพลง นักร้องก็เริ่มร้องเพลงอย่างรวดเร็ว

ทันทีที่เพลงอินโทรดังขึ้น ในร้านอาหารก็เหมือนกับคอนเสิร์ตมีเสียงกรีดร้องดังขึ้นจำนวนนับไม่ถ้วน

เมื่อช่วงอินโทรดังขึ้นนักร้องก็เริ่มขับร้องช้าๆ

“เฮ้ อย่าเพิ่งโทรศัพท์ ทำไมติดโทรศัพท์นักล่ะ”

“ที่นี่ไม่มีสัญญาณนะ”

“จะมาม่อกันเหรอ บายล่ะ”

“แม่ดอกไม้ที่ถูกใจ ฉันอยากจะพาเธอกลับบ้าน!”

แค่เพียงเริ่มประโยคแรก ทุกคนในร้านก็ประสานเสียงร้องเพลงอย่างพร้อมเพรียงกัน

ส่วนด้านข้างนักร้องฟางเชากับหวังเจียเหยาเองก็กำลังร้องเพลงอย่างเมามันส์

ฟางเชายังคุยโวอย่างลำพองใจ “ได้ฟังนักร้องร้องเพลงในระยะประชิดแบบนี้สะใจดีไหม!”

หวังเจียเหยารีบผงกศีรษะอย่างรวดเร็ว “สะใจมากเลย! มีเงินนี่ดีจริงๆ ฮ่าๆ!”

“ใช่แล้ว มีเงินก็เทพสุดๆ จะหาผัวทั้งทีให้หาแบบผมนี่ ฮ่าๆ”

ฟางเชาได้ใจจึงฉวยโอกาสนี้โอบไหล่หวังเจียเหยาโดยสาวเจ้าก็ไม่ปฏิเสธแต่อย่างใด

ในตอนนี้เองฉินหงเหยียนก็สังเกตเห็นว่ามือขวาที่วางบนราวบันไดของเย่เฉินนั้นกำราวบันไดแน่น

หล่อนปรายตามองฟางเชากับหวังเจียเหยาด้านล่างเพียงครู่เดียวก็เข้าใจในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น

ฉินหงเหยียนยื่นมือซ้ายที่นวลเนียนราวหยกชั้นดีของตนเองวางลงบนมือขวาของเย่เฉินลูบเบาๆ ก่อนจะปลอบเขา

“ถ้าคุณไม่อยากเห็นพวกเขาไล่พวกเขาไปก็ได้”

เย่เฉินถอนหายใจ “พวกเขาไม่นัวเนียกอดกันที่นี่ ถ้าไปที่อื่นแล้วพวกเขาจะไม่กอดกันแบบนี้เหรอ? พูดไปแล้วเป็นผมเองที่ยังตัดไม่ขาด”

เย่เฉินรักหวังเจียเหยามาสามปี แล้วไหนเลยจะปล่อยวางได้ง่ายๆ ได้แบบนั้น?

ฉินหงเหยียนเองเคยผ่านเหตุการณ์เช่นนี้ คาดว่าในหนึ่งปีนี้เย่เฉินคงจะไม่อาจลืมหวังเจียเหยาไปได้ทั้งใจ

แล้วในเวลานี้เอง จู่ๆ เสียงของนักร้องก็หายเงียบไป มีเพียงเสียงของดนตรี ส่วนนักร้องที่อยู่บนเวทีก็ลนลานไปเล็กน้อยแล้วตบไมค์ตนเองไม่หยุด

เย่เฉินได้สติทันทีแล้วใบหน้าก็ตึงเครียด