ตอนที่ 67 หนานกงเยี่ยแอบปกป้องอยู่ลับๆ

เดิมพันเสน่หา

เหลิ่งรั่วปิงไม่ได้สนใจมู่เฉิงซีที่กำลังมองเธอเป็นศัตรูเลย เธอเอียงหัวแล้วคลี่ยิ้มออกมาอย่างสง่า “วันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ และฉันเองก็ว่างมาก เลยอยากมาชวนเพื่อนรักไปกินข้าวด้วยกัน”

 

 

นัยน์ตาของมู่เฉิงซีฉายความอาฆาตออกมา “ใครอนุญาตให้คุณเป็นเพื่อนกับเธอ” พวกเธอเป็นเพื่อนกัน ถ้าอย่างนั้นแฟนของเขาก็คงไปจากเขาแน่ๆ!

 

 

“เหอะๆ” เหลิ่งรั่วปิงกระตุกมุมปากด้วยความดูถูก “มู่เฉิงซี คุณทำคดีของคุณ ฉันเที่ยวเล่นกับเพื่อนของฉัน มันเกี่ยวอะไรกับคุณคะ”

 

 

“คุณ!” มู่เฉิงซีรู้สึกเครียดจนต้องกัดฟันตัวเองไว้แน่นๆ จากนั้นก็ตำหนิเวินอี๋ด้วยความโมโห “คำพูดของผมคุณจำไม่ได้ใช่ไหม อย่าเป็นเพื่อนกับเธอ!”

 

 

เวินอี๋ตกใจจนต้องไปหลบอยู่ข้างหลังเหลิ่งรั่วปิง จากนั้นก็บ่นพึมพำอย่างหัวดื้อด้วยเสียงเบา “ฉัน…ฉันมีอิสระในการคบเพื่อน!”

 

 

“คุณ!” มู่เฉิงซีโมโหจนยื่นมือไปจับเวินอี๋มาตี ทว่าเพิ่งจะยื่นมือออกไปตรงหน้าเวินอี๋ ก็ถูกเหลิ่งรั่วปิงขวางไว้ด้านหน้าจนเขาต้องดึงมือกลับมา

 

 

“มู่เฉิงซี กลางวันแสกๆ แบบนี้ คุณจะลักพาตัวผู้หญิงไปหรอ” เหลิ่งรั่วปิงทำสีหน้าที่ดูเลือดเย็น ใครก็ห้ามรังแกเวินอี๋ และยิ่งต่อหน้าเธอก็ยิ่งทำแบบนั้นไม่ได้

 

 

“เหลิ่งรั่วปิง ผมว่าผมให้เกียรติคุณมากเกินไป วันนี้ผมจะสั่งสอนคุณให้หลาบจำหน่อย!” ขณะที่พูด มู่เฉิงซีก็โยนเอกสารในมือทิ้ง กำลังจะลงไม้ลงมือ

 

 

เหลิ่งรั่วปิงไม่ได้รู้สึกกลัวเลยสักนิด เธอเงยหน้าสวยๆ ของเธอขึ้น “ได้ ถึงเวลาถ้าถูกฉันทำร้ายจนต้องตามหาฟันที่ร่วงเต็มบนพื้น อย่าหาว่าฉันไม่ไว้หน้าคุณต่อหน้าลูกน้องของคุณแล้วกัน”

 

 

เวินอี๋เห็นสถานการณ์ตรงหน้า จึงรีบเดินมาข้างหน้าอย่างฉับไว จากนั้นก็ขวางอยู่ด้านหน้าของเหลิ่งรั่วปิง “ดาบตำรวจมู่ คุณจะทำอะไร ทำไมต้องทำร้ายร่างกายคุณรั่วปิงด้วย”

 

 

มู่เฉิงซีกัดฟัน เพราะอะไร ทั้งๆ ที่เขาไม่ชอบขี้หน้าเธอตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ตอนนี้เธอยังมาทำลายแผนการใหญ่ในการจีบภรรยาของเขา แน่นอนว่าเขาต้องสั่งสอนเธอสักหน่อย!

 

 

“ดาบตำรวจมู่ ถ้าคุณจะตบตีคุณรั่วปิง คุณก็ตบตีฉันก่อนเถอะค่ะ!” เวินอี๋เบะปากด้วยความดื้อรั้น จากนั้นก็เงยใบหน้าที่เรียวเล็กขึ้น เธอมองมู่เฉิงซีด้วยความโกรธเคือง

 

 

มู่เฉิงซี “…”

 

 

มู่เฉิงซีรู้สึกเคร่งเครียดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นเขาก็วางมือที่ยกขึ้นลง เส้นเอ็นสีเขียวบนใบหน้าปูดออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน

 

 

“เวินอี๋ เราไปกันเถอะ” เหลิ่งรั่วปิงทำเหมือนไม่เห็นมู่เฉิงซีที่กำลังโมโห จากนั้นก็จูงมือเวินอี๋ออกมา

 

 

ถึงแม้เวินอี๋รู้สึกว่าการทำแบบนี้ไม่เหมาะสม แต่เธอก็เชื่อฟังคำพูดของเหลิ่งรั่วปิง แล้วก้มหน้าเดินตามอย่างเชื่อฟัง

 

 

มู่เฉิงซีหันไปมองเรือนร่างของคนสองคนที่กำลังเดินจากไป เขารู้สึกทั้งโมโหทั้งทำตัวไม่ถูก สองมือไปจับอยู่ตรงเอวแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เหมือนอากาศโดยรอบทั้งหมด ถูกเขากลืนกินไปจนหมด

 

 

หนานกงเยี่ยที่แอบดูอยู่ด้านหลังฉากกั้นตรงชั้นสอง กระตุกมุมปากขึ้นอย่างลุ่มลึก แล้วเผยยิ้มออกมา

 

 

หลังจากเหลิ่งรั่วปิงจากไป หนานกงเยี่ยจึงเดินลงมาจากบันไดอย่างช้าๆ แล้วเดินไปหามู่เฉิงซีที่กำลังแยกเขี้ยวยิงฟัน จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงขี้เกียจ “ทำไม หวั่นไหวกับเธอหรอ”

 

 

มู่เฉิงซีหันไปมองหนานกงเยี่ยเพียงแวบเดียว จากนั้นก็กระชากเอกสารที่อยู่ในมือของตำรวจที่เป็นลูกน้องของเขา แล้วพลิกหน้ากระดาษขึ้นอย่างเรื่อยเปื่อย

 

 

หนานกงเยี่ยคลายยิ้มแล้วพูดขึ้นต่อ “ฉันเตือนแกแล้ว อย่าทำอะไรเหลิ่งรั่วปิงอีก” น้ำเสียงของเขาไม่หนัก ทว่ากลับกระเทือนหู

 

 

มู่เฉิงซีหยุดชะงักไป แล้วเงยหน้ามองหนานกงเยี่ยพลางพูดด้วยความอึดอัดใจ “แกไม่ได้ทิ้งเธอไปแล้วหรือไง”

 

 

หนานกงเยี่ยยิ้มอ่อนๆ “ถึงแม้เธอไม่ใช่ผู้หญิงของฉัน แต่ยังเป็นพนักงานของฉัน เธอยังถือว่าเป็นคนของฉัน”

 

 

มู่เฉิงซีโยนเอกสารให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยความโมโห “ ถ้าอย่างนั้นก็คุมคนของแกไว้ดีๆ อย่ามายุ่งเรื่องของชาวบ้าน!”

 

 

“ทำไม แกชอบเวินอี๋เข้าแล้วแล้วหรอ จริงจัง?” หนานกงเยี่ยรู้ คนอย่างมู่เฉิงซีนั้นไม่มีหัวใจ ถ้าไปตกหลุมรักใครเข้าแล้วก็พร้อมที่จะทำทุกอย่าง

 

 

มู่เฉิงซีขมวดคิ้วด้วยความตึงเครียด เขากัดฟันกรอด เขาไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะเอายังไงกับผู้หญิงคนนั้นดี

 

 

หนานกงเยี่ยพูดขึ้นอย่างเยาะเย้ย “แกสงสัยว่าเหลิ่งรั่วปิงมีพิรุธไม่ใช่หรือไง เวินอี๋ดีกับเธอจนใกล้จะสิงร่างกันแล้ว ฉันก็รู้สึกว่ามีพิรุธ ไม่งั้นก็จัดการให้มันจบๆ กันไป”

 

 

“หนานกง แกตั้งใจหาเรื่องเครียดให้ฉันหรอ” มู่เฉิงซีใช้สายตาที่ไม่เป็นมิตรมองหนานกงเยี่ย “เวินอี๋เป็นผู้หญิงที่อ่อนโยนและใสซื่อขนาดนั้น จะเป็นไปได้ยังไงที่จะเดินในทางเดียวกันกับเหลิ่งรั่วปิงที่เป็นเหมือนกุหลาบมีพิษ เหลิ่งรั่วปิงสามารถเอาตัวเข้าแลก แล้วไม่รู้ว่าเธอยังสามารถเอาตัวเข้าแลกให้กับผู้ชายอีกมากแค่ไหน จะเทียบได้กับเวินอี๋ได้ยังไงกัน”

 

 

นัยน์ตาของหนานกงเยี่ยดูเลือดเย็นขึ้นมา และเต็มไปด้วยการตักเตือน ความหมายนั้นทำให้เห็นอย่างชัดเจน ถ้ามู่เฉิงซียังกล้าพูดอะไรออกมาอีกคำเดียว เขาต้องเอาชีวิตเขาไปแน่นอน

 

 

มู่เฉิงซีและหนานกงเยี่ยโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก เขาเข้าใจและรู้จักหนานกงเยี่ยดี นัยน์ตาแบบนี้ของเขากำลังสื่อถึงอารมณ์โกรธ ดังนั้น มู่เฉิงซีจึงเม้มปากด้วยความหวาดกลัว “หนานกง แกชอบเธอเข้าแล้ว” ไม่ใช่คำถามที่ข้องใจ แต่เป็นคำพูดที่แสดงความมั่นใจ เขาเคยเห็นหนานกงเยี่ยปกป้องผู้หญิงสักที่ไหน แน่นอนว่า นอกจากอวี้หลานซีคนเดียว

 

 

นัยน์ตาของหนานกงเยี่ยดูสับสนขึ้นมา เขาชอบเธอหรอ เขาไม่รู้ เขาไม่เคยชอบผู้หญิงคนไหนมาก่อน เขาไม่รู้ว่าการชอบใครสักคนมันรู้สึกยังไงกันแน่

 

 

จู่ๆ หนานกงเยี่ยก็รู้สึกเคร่งเครียด เขาปรายตามองมู่เฉิงซี จากนั้นก็เดินออกจากเสิ้งหวา มือของเขาจับใบมีดเล่มบางไว้ เป็นใบมีดที่เหลิ่งรั่วปิงใช้ตัดโคมไฟคริสตัล คนอื่นไม่เห็นทีท่าของเธอ ทว่าเขาสังเกตมองอยู่ตลอดเวลา หลังจากลั่วซูเยียงถูกเจ้าหน้าที่พาตัวออกไป เขาก็รีบไปหยิบใบมีดที่ปนอยู่กับเศษคริสตัลด้วยความแปลกใจ จากนั้นก็แอบหยิบมากำไว้ในมือ

 

 

ตอนอยู่บนรถ หนานกงเยี่ยสั่งการก่วนอวี้ “ไปสืบเรื่องของตระกูลเจียงที่เคยเกิดขึ้นในวันนั้น แล้วสืบว่าเจียงเฉิงกับเหลิ่งเย่ว์เกี่ยวข้องอะไรกันด้วย”

 

 

ตามหลักความเป็นจริงแล้ว เหลิ่งรั่วปิงและลั่วซูเยียงไม่เคยรู้จักกัน และไม่มีเหตุผลใดที่จะลงไม้ลงมือกับเธอ หนานกงเยี่ยมีความคิดล้านแปดเต็มหัวที่ยังข้องใจ สุดท้ายเขาเอาคำตอบทุกอย่างไปไว้บนตัวของเวินอี๋ จากนิสัยที่เลือดเย็นของเหลิ่งรั่วปิง มันแปลกมากที่เธอไปช่วยเวินอี๋อย่างสุดความสามารถแบบนั้น แล้วยังลอบทำร้ายลั่วซูเยียงอย่างไร้เหตุผลแบบนี้ ทุกอย่างมันกำลังบ่งชี้ไปยังตระกูลเจียง เวินอี๋ก็ดี ลั่วซูเยียงก็ดี ต่างก็เคยมีความสัมพันธ์กับตระกูลเจียง นี่สื่อให้เห็นว่า เหลิ่งรั่วปิงก็คงมีความสัมพันธ์กับตระกูลเจียง

 

 

หนานกงเยี่ยรู้สึกว่าความลับนี้ยิ่งอยู่ก็ยิ่งใกล้ตัวเขาแล้ว

 

 

…..

 

 

          หลังจากที่หนานกงเยี่ยจากไป อารมณ์ของมู่เฉิงซีก็ไม่ได้ดีขึ้นเลย เขาตรวจค้นร่องรอยที่โคมไฟคริสตัลขาดอย่างละเอียด ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นร่องรอยที่ถูกมีดที่แหลมคมตัดให้ขาด แสดงว่านี่เป็นฝีมือของคน ไม่ได้เป็นอุบัติเหตุหรือความบังเอิญ อีกอย่างคนที่สามารถตัดโคมไฟคริสตัลให้ขาดต้องเป็นคนที่ชำนาญในการใช้มีดบิน ไม่งั้นใครจะมีปัญญาไปตัดเชือกเส้นบางที่อยู่สูงขนาดนั้นได้

 

 

ทว่าเขาได้สั่งคนไปสืบหาอาวุธของผู้ร้ายตรงที่มีเศษคริสตัลกองอยู่ แล้วยังไปดูกล้องวงจรปิดทั้งหมดในห้าง กลับไม่เห็นใครที่เป็นผู้ต้องสงสัยเลย

 

 

เพราะว่าไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติอะไร และเพราะว่าตำแหน่งที่เหลิ่งรั่วปิงยืนอยู่นั้นเป็นตำแหน่งที่กล้องวงจรถ่ายไม่ถึง

 

 

เขาคิดไปคิดมา จู่ๆ ก็นึกถึงคนคนหนึ่ง นั่นก็คือเหลิ่งรั่วปิง ฝีมือการใช้มีดของเธอเขาเคยเจอมาแล้ว เธอต้องมีความสามารถในการทำเรื่องนี้แน่นอน แต่เขาจะไปหาหลักฐานตอนที่เธอทำเรื่องนี้ออกมาได้อย่างไร

 

 

และตอนที่เขากำลังสืบค้นอย่างละเอียด ผู้จัดการห้างสรรพสินค้าก็ได้มาถึงห้องดูกล้องวงจรปิด เขายื่นมือถือให้มู่เฉิงซีด้วยความเคารพ “ดาบตำรวจมู่ครับ คุณชายอวี้ของผมอยากจะคุยกับท่านครับ”

 

 

คุณชายอวี้ที่ผู้จัดการห้างสรรพสินค้าเอ่ยถึงคืออวี้ไป่หัน ห้างสรรพสินค้าเสิ้งหวาเป็นธุรกิจที่อยู่ภายใต้นามของเขา ไม่งั้นคดีเล็กๆ ที่มีคนได้รับบาดเจ็บ จะให้ดาบตำรวจมู่มาลงพื้นที่สืบคดีได้ยังไง

 

 

มู่เฉิงซีกระตุกคิ้วขึ้น แล้วรับมือถือจากผู้จัดการห้างมา “ฮาโหล ไป่หัน”

 

 

“เฉิงซี เป็นยังไงบ้าง เป็นปัญหาของทางห้างสรรพสินค้าของเราหรอ” อวี้ไป่หันกลับไม่กลัวที่จะผิดใจกับลั่วเฮิ่ง และยิ่งไม่กลัวว่าต้องเสียค่าทำขวัญ เขามีความมั่นใจในการบริหารจัดการห้างสรรพสินค้าเป็นอย่างมาก และไม่มีทางเกิดสถานการณ์ที่โคมไฟคริสตัลหล่นลงมาอย่างแน่นอน เขามั่นใจว่าต้องมีคนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ เขาอยากจะรู้ว่าใครกันแน่ที่เป็นคนแทงข้างหลังเขา

 

 

“เป็นฝีมือของคนคนหนึ่ง เขาใช้มีดบินตัดเชือกโคมไฟคริสตัลให้ขาด”

 

 

“โธ่เอ่ย ใครมันช่างกล้าขนาดนี้ กล้ามาเหยียบถิ่นของฉันแล้วยังหาเรื่องฉันอีก” อวี้ไป่หันรู้สึกโกรธมาก ถึงแม้ปกติเขาจะมีนิสัยที่ร่าเริงและชอบหยอกล้อคนอื่นไปทั่ว ทว่าตอนที่เขาโหดเหี้ยมขึ้นมา แม้กระทั่งผู้หญิงเขาก็สามารถทำลายได้

 

 

“ตอนนี้ยังไม่มีอะไรคืบหน้า และยังหาอาวุธของคนร้ายไม่เจอ แล้วก็หาตัวผู้ต้องสงสัยในกล้องวงจรปิดไม่เจอเหมือนกัน” ถึงแม้มู่เฉิงซีจะสงสัยในตัวของเหลิ่งรั่วปิง ทว่าไม่มีหลักฐานก็ไม่สามารถกล่าวหาและตัดสินอย่างเรื่อยเปื่อย

 

 

“กูขอบอกมึงเลยนะเฉิงซี มึงต้องหาตัวคนร้ายให้เจอ เพราะกูจะจัดการมัน!”

 

 

“อืม”

 

 

มู่เฉิงซีวางสาย เขามองดูกล้องวงจรปิดอีกครั้ง จู่ๆ ก็สังเกตเห็นคนคนหนึ่ง นั่นก็คือหนานกงเยี่ย หลังจากที่ลั่วซูเยียงถูกยกตัวไป หนานกงเยี่ยก็เดินมาดู เหมือนยังยื่นมือไปเอาของสิ่งหนึ่ง ทว่าเพราะว่าระยะทางไกลเกินไป เลยทำให้เห็นไม่ชัดเจน

 

 

มู่เฉิงซีหดม่านตาให้เล็กลงทันที และยิ่งสงสัยในการกระทำของเหลิ่งรั่วปิง ตอนที่เขาทำคดีนี้หนานกงเยี่ยก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย จากท่าทีของเขาที่ต้องการปกป้องเธอ แน่นอนว่าเขาต้องเก็บอาวุธของผู้ร้ายไป ทว่าเขาคือหนานกงเยี่ย ต่อให้เขาเก็บอาวุธคนร้ายไป ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไร

 

 

ทว่ามู่เฉิงซีไม่กลัว เขาจึงโทรหาหนานกงเยี่ยทันที “หนานกง แกควรอธิบายอะไรบางอย่างให้ฉันฟังรึเปล่า หลังจากที่เกิดเรื่องขึ้นแกเอาอะไรไปจากเศษโคมไฟครัสตัล”

 

 

หนานกงเยี่ยได้เตรียมตัวตั้งแต่เนิ่นๆ น้ำเสียงจึงพูดขึ้นอย่างใจเย็น “แหวนของฉันตก มันถูกเศษคริสตัลกลบฝังไว้พอดี ฉันเลยไปตามหามันกลับมาเท่านั้น ทำไม แกสงสัยว่าฉันสมรู้ร่วมคิดกับเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้หรอ”

 

 

“เหอะ คนอย่างหนานกงเยี่ยถ้าอยากจะจัดการกับใคร ยังต้องใช้วิธีลับๆ อีกหรอ ฆ่าทิ้งทีเดียวคงจะสมเหตุสมผลมากกว่า แต่ว่าฉันแค่สงสัยคนคนนั้นที่แกคอยปกป้อง”

 

 

น้ำเสียงของหนานกงเยี่ยเย็นชาขึ้นมาทันที “มู่เฉิงซี เกิดเป็นตำรวจก็ต้องยึดในหลักฐานเป็นหลัก อย่ามากล่าวหากันเรื่อยเปื่อย!” พูดจบ หนานกงเยี่ยก็วางสายโดยไม่เกรงใจ จากนั้นก็โทรหาอวี้ไป่หันทันที “ไป่หัน ฉันขอร้องให้แกยอมรับผิด ยอมรับผิดที่แกไม่ได้บำรุงซ่อมแซมสิ่งปลูกสร้างภายในห้างสรรพสินค้าของแกดีๆ เลยทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้”

 

 

“อะไรนะ หนานกง นี่แกหมายความว่าอะไร”

 

 

“อย่าพูดมาก จะทำหรือไม่ทำ” น้ำเสียงของหนานกงเยี่ยทำให้เขายากที่จะปฏิเสธ

 

 

“ได้ๆๆ เพื่อเพื่อนฉันทำได้อยู่แล้ว แต่ว่าแกต้องให้ฉันรู้ก่อนสิว่าทำไม”

 

 

“แกไม่จำเป็นต้องรู้!” พูดจบ หนานกงเยี่ยก็วางสายลงอย่างไร้เยื่อใย ทำให้อวี้ไป่หันซีถึงกับอ้าปากค้าง

 

 

หนานกงเยี่ยรู้ดี ตำแหน่งที่เหลิ่งรั่วปิงอยู่นั้นเป็นตำแหน่งที่กล้องวงจรปิดไม่สามารถบันทึกได้ อีกอย่างวิธีของเธอไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ เอาไว้ ต่อให้มู่เฉิงซีสงสัยในตัวเธอ แต่ก็หาหลักฐานไม่เจอ ทว่าเขายังคงหวังว่ามู่เฉิงซีจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเธอเพราะเรื่องนี้

 

 

มู่เฉิงซีถูกหนานกงเยี่ยตัดสายด้วยความบ้าอำนาจ ขณะเขากำลังรู้สึกไม่สบอารมณ์ จู่ๆ อวี้ไป่หันก็โทรมา “เฉิงซี อย่าสืบเรื่องนี้ต่อเลย เป็นเพราะการซ่อมแซมบำรุงสถานที่ของทางห้างไม่ดีเอง แกช่วยติดต่อเรื่องค่าเสียหายกับตระกูลลั่วให้ฉันที”

 

 

มู่เฉิงซีขมวดคิ้วขึ้นทันที “แกหมายความว่าอะไร”

 

 

“พอเถอะ อย่าถามเลย ทำตามที่ฉันบอก” อวี้ไป่หันไม่กล้าบอกว่าเป็นเพราะหนานกงเยี่ย ถ้าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหนานกงเยี่ย ต่อให้เขาไม่อยากทำแบบนี้ก็ต้องฝืนทำ เรื่องนี้ไม่ควรสืบต่อ

 

 

“หนานกงเยี่ยสั่งแกใช่ไหม”

 

 

“โธ่ อย่าถามเลย แกทำตามที่ฉันพูดเถอะ” พูดจบ อวี้ไป่หันก็ตัดสาย

 

 

มู่เฉิงซีเขวี้ยงมือถืออย่างโมโห เขาจะต้องสืบอะไรอีก ถึงยังไงเรื่องนี้ก็เป็นฝีมือของเหลิ่งรั่วปิง!