วนมาถึงวันหยุดสุดสัปดาห์อีกครั้ง เหลิ่งรั่วปิงที่ทำงานติดต่อกันมานานกว่าสองสัปดาห์ วันนี้เธอตัดสินใจพักผ่อนหนึ่งวัน
ด้วยเหตุนี้ หลังจากตื่นนอนในตอนเช้า เหลิ่งรั่วปิงเก็บข้าวของให้เรียบร้อย จากนั้นเธอก็ไปหาเวินอี๋ที่ห้างสรรพสินค้าเสิ้งหวา
ห้างสรรพสินค้าเสิ้งหวา เป็นห้างที่ใหญ่และหรูหราที่สุดในเมืองหลง ร้านค้าภายในห้างสรรพสินค้าล้วนเป็นแบรนด์ดัง อีกทั้งคนที่มาช้อปปิ้งที่นี่มีแต่พวกคนมีฐานะเท่านั้น คนจนไม่มีปัญญามาจับจ่ายใช้สอยในห้างนี้ได้
งานแคชเชียร์ที่เวินอี๋ทำนั้นอยู่ชั้นสาม ดังนั้นหลังจากที่เหลิ่งรั่วปิงมาถึงเสิ้งหวาเธอก็ขึ้นลิฟท์ไปชั้นสามทันที
“พี่รั่วปิง พี่มาที่นี่ได้ยังไงคะ” เวินอี๋กล่าวทักทายเหลิ่งรั่วปิงอย่างสนิทสนม
เหลิ่งรั่วปิงรู้สึกมีความสุข เธอคลายยิ้มแล้วพูดขึ้น “พี่มาดูเรา แล้วก็แวะมาซื้อเสื้อผ้าไม่กี่ตัว ว่าแต่ช่วงนี้สุขภาพของลุงเวินเป็นยังไงบ้าง”
“คุณพ่อสบายดีค่ะ ตั้งแต่ที่พ่อได้เจอกับพี่ ท่านก็อารมณ์ดีขึ้นมาก ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมากด้วยค่ะ สุขภาพของพ่อก็ดีขึ้นทุกวัน”
“แบบนั้นก็ดีแล้ว พี่ไปซื้อเสื้อผ้าก่อน เดี๋ยวตอนเที่ยงพวกเราไปกินข้าวด้วยกันนะ” เหลิ่งรั่วปิงรู้ดีว่าตอนนี้เป็นเวลางานของเวินอี๋ เธอจึงไม่อยากรบกวนเวลางานของเวินอี๋
“ค่ะ” เวินอี๋ดีใจเหมือนเด็กน้อย
เวลานี้ มีคนเดินมาคิดเงินที่แคชเชียร์พอดี เวินอี๋จึงยิ้มหวานต้อนรับลูกค้า ทางด้านเหลิ่งรั่วปิงก็ไม่ได้อยู่ต่อ เธอไปเดินเล่นที่แผนกเสื้อผ้าสตรี
จู่ๆ ชั้นล่างก็มีเสียงกรี๊ดดังขึ้น เป็นเสียงกรี๊ดของผู้หญิง คล้ายกับว่าได้เจอดาราดัง
เหลิ่งรั่วปิงไม่ใช่คนที่ชอบตามดารา แต่เธอว่างและไม่มีอะไรทำ จึงเดินไปที่ราวระเบียงของห้างสรรพสินค้า เธอก้มหน้าลงมองไปยังลานกว้างเพราะอยากรู้ว่าเป็นยังไงบ้าง แต่นั่นกลับทำให้เธอตกใจเล็กน้อย คนที่อยู่ชั้นล่างไม่ใช่ดาราชื่อดัง แต่เขามีชื่อเสียงมากกว่าดาราเสียอีก
เขาสวมใส่สูทสีดำสั่งตัดพอดีตัว รูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าของเขาไร้ที่ติ เขาดูสง่างามแตกต่างจากคนทั่วไป ตัวของเขามีราศีความเป็นราชา เขาเดินเข้ามาภายในห้างสรรพสินค้าอย่างยิ่งใหญ่ ตอนที่เขาเข้ามานั้นสินค้าในห้างดูหมองไปทันที
ไม่เจอกันครึ่งเดือน หนานกงเยี่ยยังคงโดดเด่นเหมือนเดิม
ด้านหลังของเขา มีก่วนอวี้คอยเดินตามหลังไม่ห่าง
ถึงอย่างไรเธอกับเขาก็เคยมีสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน แม้ว่าเธอจะไม่ได้รักเขา แต่พอได้เจอเขาแบบนี้อีกครั้งหนึ่ง มันก็ทำให้เธอรู้สึกประหม่าขึ้นมา เหลิ่งรั่วปิงอยากจะเดินหายไปจากตรงนี้ แต่เหมือนว่ามีเซ้นส์บางอย่าง ตอนที่เธอกำลังจะหันหน้าไปอีกทาง ชายหนุ่มหน้าตาดีผู้แสนเย็นชาคนนั้นก็ได้เงยหน้าขึ้นมา เขากับเธอสบตากัน
ตึ้กตั้ก ตึ้กตั้ก ตึ้กตั้ก
เหลิ่งรั่วปิงได้ยินเสียงหัวใจของตนเองที่กำลังเต้นแรง
ดวงตาเหยี่ยวของชายหนุ่มจ้องมองมาที่เธอ ทำให้เธอใจเต้นแรงจนหายใจลำบาก
หลังจากที่เหลิ่งรั่วปิงพยายามปรับอารมณ์ตนเองไปพักหนึ่งนั้น ในที่สุดหัวใจของเธอก็กลับมาเต้นเป็นปกติ ใบหน้าใสสะอาดของเธอคลายยิ้มบางๆ ถือเป็นการทักทายเขา
สีหน้าของหนานกงเยี่ยดูไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ เธอทำสีหน้าแบบนั้นหมายความว่าอะไร ตอนที่เธอเจอกับเขาอีกครั้งหนึ่งสามารถนิ่งเฉยได้ขนาดนี้เชียวหรอ ทำเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น? ใช่ นี่คือสิ่งที่เมื่อก่อนเขาต้องการมากที่สุดเวลาเลิกกับผู้หญิง ไม่ตามตอแยและไม่มีความแค้นต่อกัน ทำเหมือนเป็นแค่คนแปลกหน้า แต่พอเห็นเหลิ่งรั่วปิงทำได้แบบนี้ เขากลับรู้สึกปวดใจ และนอกจากปวดใจแล้วนั้นเขายังรู้สึกโมโหอีกด้วย
เหลิ่งรั่วปิงไม่มีเวลามาอ่านสีหน้าของหนานกงเยี่ย เธอรีบหันหลังกลับไป ความเป็นจริงเธอไม่สามารถทำตัวให้เป็นปกติได้ สีหน้าเรียบเฉยที่เธอแสดงออกไปในตอนนี้เป็นการแสแสร้งขึ้นมาเท่านั้น นี่คือเหตุผลที่หลังจากเลิกกับเขา เวลาอยู่ที่บริษัทเธอจึงพยายามหลบหน้าหนานกงเยี่ย พยายามไม่เจอกับเขา
ทางด้านก่วนอวี้เองก็ตกใจมาก เขาคิดไม่ถึงว่าคุณเหลิ่งจะทำตัวเป็นปกติได้ขนาดนี้ ตรงกันข้ามกับคุณชายเยี่ยของเขา…
หลังจากเลิกกัน คุณชายเยี่ยก็ไม่เคยยิ้มอีกเลย อีกทั้งคุณชายเยี่ยก็ดูหงุดหงิดอยู่ตลอดเวลา ทุกวันนี้คนที่อยู่รอบตัวเขาต้องอยู่ด้วยความหวาดกลัว กลัวว่าวันหนึ่งถ้าไม่ทันระวังแล้วทำให้คุณชายเยี่ยโมโหขึ้นมา จะถูกด่าจนไม่เหลือชิ้นดี ตอนนี้คุณชายเยี่ยกลายเป็นคนที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้ เขาแทบจะไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้เลยสักวัน
หนานกงเยี่ยกัดฟันกรอดมองดูเหลิ่งรั่วปิงที่กำลังหันหลังไป เขาโมโหเธอและโมโหตัวเองมาก โมโหตัวเองที่ไม่รู้ว่าทำไมถึงตัดใจไม่ได้ เขาไม่ชอบเดินห้างเลยสักนิด แต่พอได้ยินว่าเธอมาที่นี่ เขาก็มาที่นี่โดยไม่รู้ตัว
เจอกันแบบนี้สู้ไม่เจอกันยังจะดีเสียกว่า พอเจอกันแบบนี้มันทำให้เขายิ่งหงุดหงิด
“คุณชายเยี่ย!”
เสียงหวานของหญิงสาวดังขึ้นจากด้านหลัง หนานกงเยี่ยขมวดคิ้ว แต่เขาไม่ได้หันหลังกลับไป ทว่ายังคงมองดูแผ่นหลังของเหลิ่งรั่วปิง ในเวลาเดียวกันนั้นเขาก็รู้สึกดีใจขึ้นมา เพราะหลังจากเสียงร้องเรียกชื่อเขาดังขึ้น เหลิ่งรั่วปิงก็หยุดเดินทันที อีกทั้งยังหันมามองด้านล่างอีกครั้งหนึ่งด้วย
ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้ชายที่หยิ่งในศักดิ์ศรี เขาไม่ยอมให้เหลิ่งรั่วปิงรู้ว่าเขารู้สึกยังไง ด้วยเหตุนี้ตอนที่เธอหันมานั้น เขาก็ทำหน้านิ่งทันที จากนั้นหมุนตัวหันหลังไปมองผู้หญิงที่เรียกเขา
ตอนที่เหลิ่งรั่วปิงได้ยินเสียงนั้น เธอสั่นไปทั้งตัว เสียงนั้นเป็นเสียงที่เธอคุ้นเคย เป็นเสียงที่เธอเก็บเอาไปฝันอยู่หลายครั้ง และเป็นเสียงของฝันร้ายที่ดังก้องอยู่ในหูของเธอ ถึงแม้จะผ่านมาสิบปีแล้ว เสียงเล็กของเด็กสาวได้จางหายไป ทว่าเสียงที่หวานสะท้านไปทั่วทั้งกระดูกกลับชัดเจนมากขึ้น
เสียงนี้ คือหนึ่งในเสียงที่เธอกลัวที่สุดตอนอายุสิบสามปี
ลั่วซูเยียง ได้เจอกันโดยบังเอิญแบบนี้ ฉันจะไม่สั่งสอนเธอสักหน่อยได้ยังไง เหลิ่งรั่วปิงแสยะยิ้มพร้อมกับกระตุกมุมปากขึ้นทว่ากลับยังคงเป็นรอยยิ้มที่สง่างาม รอยยิ้มนี้เหมือนนางฟ้าครึ่งหนึ่งและเหมือนปีศาจร้ายครึ่งหนึ่ง
ความเป็นจริงลั่วซูเยียงก็หน้าตาดีไม่น้อย เพียงแต่เธอแต่งหน้าหนาไปหน่อย ทำให้ดูแต่งหน้าจัด ทั้งตัวของเธอเต็มไปด้วยของแบรนด์แนม ลั่วซูเยียงแต่งตัวเหมือนผู้ดี ทั้งๆ ที่เธออายุมากกว่าเหลิ่งรั่วปิงแค่หนึ่งปี แต่การแต่งหน้าและแต่งตัวของเธอทำให้ดูเป็นผู้ใหญ่กว่ามาก ลั่วซูเยียงใส่ผ้าคลุมขนสุนัขจิ้งจอก ซึ่งทำให้เธอดูโอเวอร์มากจนเกินไป อีกทั้งยังทาลิปสติกสีแดงสด ทั้งหมดนี้ทำให้เธอดูไร้รสนิยม
เมื่อเทียบกับเหลิ่งรั่วปิงแล้วนั้น คนหนึ่งเหมือนลูกพีชสีแดงสดที่เย้ายวน ส่วนอีกคนดูมีสง่าเหมือนน้ำชา
ตอนที่หนานกงเยี่ยเห็นลั่วซูเยียงนั้น คิ้วของเขาขมวดเป็นปม หลังจากได้พบเจอกับเหลิ่งรั่วปิงแล้วนั้น ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนบนโลกใบนี้ก็ไม่เข้าตาเขา ดังนั้นอย่าได้พูดถึงผู้หญิงที่ไม่มีรสนิยมอย่างลั่วซูเยียง
ทว่าลั่วซูเยียงกลับไม่รู้ เธอเดินไปด้านหน้าอย่างออดอ้อน เมื่อหลายวันก่อนเธอได้มาซื้อเสื้อผ้าจำนวนมากในห้างแห่งนี้แล้ว วันนี้เธอตั้งใจมาที่นี่เพื่อเจอหนานกงเยี่ยโดย “บังเอิญ” เพราะเมื่อกี้เธอเพิ่งเห็นรถของเขาจอดอยู่ด้านนอกห้างสรรพสินค้าเสิ้งหวา แม้ว่าลั่วเฮิ่งจะเตือนเธอแล้วว่าอย่าคิดจะจับหนานกงเยี่ย เพราะผู้ชายคนนี้ฉลาดและเย็นชามาก คนอย่างเธอไม่มีวันเข้าตาเขา แต่เธอก็ยังคงมั่นหน้าแล้วตามเขามาถึงที่นี่ ผู้ชายที่สมบูรณ์แบบขนาดนี้ไม่ลองสักครั้งจะไม่น่าเสียดาย?
“คุณชายเยี่ย บังเอิญจังเลยนะคะ!” เสียงของลั่วซูเยียงหวานเหมือนอมน้ำตาลเอาไว้
หนานกงเยี่ยเลิกคิ้วขึ้นด้วยความรังเกียจ เขาไม่ได้ตอบคำถาม แต่กลับหมุนตัวหันหลังเดินเข้าไปในห้างสรรพสินค้า
“เอ๊ะ คุณชายเยี่ย?”
ลั่วซูเยียงจะเดินตามเขาไป ทว่ากลับถูกก่วนอวี้ห้ามเอาไว้ “คุณลั่วครับ กรุณาให้เกียรติกันด้วยครับ”
“ฉัน…” ลั่วซูเยียงกระทืบเท้าด้วยความหงุดหงิด ริมฝีปากแดงเหมือนกุนเชียงทำปากจู๋ขึ้นมา สีของริมฝีปากแดงสดจนเกือบจะเหมือนหยดเลือด
ก่วนอวี้กรอกตามองบนด้วยความรังเกียจ จากนั้นรีบเดินตามหนานกงเยี่ยไป
เหลิ่งรั่วปิงเห็นภาพเหตุการณ์ทุกอย่าง จากนั้นแสยะยิ้มด้วยความดูถูก เธอเงยหน้าขึ้นมองโคมไฟคริสตัลที่ห้อยระย้าลงมาจากเพดานภายในห้างสรรพสินค้า นัยน์ตาของเธอฉายความโหดเหี้ยมออกมา มือขวาของเธอขยับเล็กน้อย จากนั้นมีดบินเล่มบางก็พุ่งตัวออกไป มีดบินฉายแสงแวววับภายใต้โคมไฟคริสตัล จากนั้นสลิงของโคมไฟคริสตัลก็ขาดทันที
ท่ามกลางเสียงกรีดร้อง ลั่วซูเยียงเงยหน้าขึ้น โคมไฟคริสตัลขนาดใหญ่ตกลงมาตรงหน้าเธอ ทว่าสิ่งที่ไม่มีใครเห็นก็คือด้านในนั้นมีมีดบินซ่อนเอาไว้
ลั่วซูเยียงล้มลงและหมดสติไป โคมไฟคริสตัลขนาดใหญ่ทับอยู่บนตัวเธอ ในเวลาเดียวกันนั้นก็มีเสียงเพล้งดังขึ้น
ตอนที่พนักงานรักษาความปลอดภัยของห้างวิ่งมายกโคมไฟคริสตัลออกไปนั้น เมื่อพวกเขามองดูใบหน้าของลั่วซูเยียง ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยเลือด เวลานี้เธอได้เสียโฉมไปแล้ว
ลั่วเฮิ่งเป็นคนที่มีชื่อเสียงของเมืองหลง เธอเป็นคุณหนูตระกูลลั่ว แน่นอนว่าเหล่าพนักงานรักษาความปลอดภัยไม่กล้ารอช้า พวกเขารีบนำตัวเธอส่งโรงพยาบาลทันที
ที่เกิดเหตุถูกปิดล้อมอย่างรวดเร็ว เพื่อรอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมาตรวจสอบพื้นที่
ขณะที่ทุกคนยังไม่หายตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น หญิงสาวสง่างามที่อยู่ชั้นบนได้หายไปแล้ว
หนานกงเยี่ยเงยหน้าขึ้น มองดูตำแหน่งที่เหลิ่งรั่วปิงยืนเมื่อครู่ คิ้วหนาของเขาขมวดเล็กน้อย คล้ายว่ากำลังครุ่นคิดบางอย่าง
เหลิ่งรั่วปิงเดินไปยังเคาน์เตอร์แคชเชียร์ของเวินอี๋ เธอยิ้มเหมือนดอกไม้ที่กำลังผลิบาน รอยยิ้มของเธอดูสวยมาก
“พี่รั่วปิง!” เห็นได้ชัดว่าเวินอี๋มีความสุขมาก เธอดึงตัวเหลิ่งรั่วปิงเข้าไปใกล้แล้วพูดกระซิบเสียงเบา “ฉันมีข่าวดีจะบอกค่ะ จู่ๆ โคมไฟคริสตัลในห้างก็ตกลงมาโดนใส่คน พี่ลองเดาดูสิคะว่าตกลงมาโดนใคร”
“…” เหลิ่งรั่วปิงคลายยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไร
“ลั่วซูเยียงค่ะ!” เวินอี๋ยิ้มสดใสเหมือนเด็กได้ลูกอม “ได้ยินว่าหน้าของเธอเสียโฉม นี่มันกรรมตามสนองชัดๆ ฮ่าๆ!”
เหลิ่งรั่วปิงหัวเราะจากนั้นพูดกระซิบข้างหูเวินอี่ “พี่รู้ เพราะพี่เป็นคนทำโคมไฟคริสตัลนั่นตกลงมาเอง”
“คะ?” เวินอี๋ตกใจจนอ้าปากกว้าง แต่ไม่นานเธอก็กลับมามีสีหน้าปกติอีกครั้ง เพราะคืนวันนั้นที่เหลิ่งรั่วปิงขับรถอย่างรวดเร็วเพื่อมาช่วยชีวิตเธอ ทำให้เธอรู้ว่าเหลิ่งรั่วปิงฝีมือไม่ธรรมดา “พี่รั่วปิง พี่เก่งมากจริงๆ ค่ะ ไว้มีเวลาพี่สอนฉันด้วยสิ!”
“ได้ ถ้ามีเวลาพี่จะสอนวิธีป้องกันตัวจากพวกผู้ชาย”
“ฮ่าๆๆ…” เวินอี๋ดีใจมาก คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นอดีต ลั่วซูเยียงรังแกเธอไม่ใช่น้อยๆ ตอนแรกยังโชคดีที่มีเหลิ่งรั่วปิงคอยปกป้อง แต่หลังจากที่เจียงเฉิงล้มป่วยจนกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียงนั้น เหลิ่งรั่วปิงเองก็ถูกรังแก และตัวเธอก็ถูกรังแกมากกว่าเดิม
“ไปกันเถอะ ไปกินอะไรอร่อยๆ กัน!” นับตั้งแต่เหลิ่งรั่วปิงมาถึงเมืองหลง วันนี้เป็นวันที่เธอมีความสุขที่สุด ผู้หญิงที่รักสวยรักงามอย่างลั่วซูเยียง หลังจากที่เธอฟื้นขึ้นมาแล้วรู้ว่าตนเองเสียโฉมนั้น คงต้องขาดใจตายแน่ๆ แค่คิดถึงความเจ็บปวดของลั่วซูเยียง เธอก็มีความสุขมากแล้ว
“ค่ะ เดี๋ยวรอให้แคชเชียร์อีกคนหนึ่งมาเปลี่ยนเวรก่อน พวกเราค่อยไปฉลองกันนะคะ”
ไม่นาน พนักงานแคชเชียร์ที่มาเข้าเวรก็มาถึง เวินอี๋พูดคุยส่งงานต่อพักหนึ่ง จากนั้นเธอก็ไปหยิบกระเป๋าแล้วเดินคล้องแขนเหลิ่งรั่วปิงลงไปชั้นล่าง
เวลานี้ ลานกว้างชั้นล่างถูกตำรวจล้อมเอาไว้ พวกเขาปิดล้อมสถานที่เกิดเหตุที่ลั่วซูเยียงได้รับบาดเจ็บ เวลานี้มู่เฉิงซีกำลังสั่งงานตำรวจคนอื่นๆ
เมื่อเขาเห็นเหลิ่งรั่วปิงและเวินอี๋เดินคล้องแขนลงมาจากลิฟท์นั้น มู่เฉิงซีโมโหขึ้นมาทันที ดวงตาเฉียบคมคู่นั้นค่อยๆ มีน้ำแข็งก่อตัวขึ้นมา
หลายวันมานี้เขากำลังเครียด เพราะอยู่ดีๆ เวินอี๋ก็ตีตัวออกห่างจากเขา ไม่เพียงแต่ปฏิเสธบ้านที่เขาเตรียมเอาไว้ให้เธอ แต่ยังพยายามรักษาระยะห่างกับเขา
หัวใจของผู้หญิงก็เหมือนเข็มในมหาสมุทร เขาไม่เข้าใจเลยสักนิด ทว่าเวลานี้เขาใช้แค่หัวแม่เท้าคิดก็เข้าใจทุกอย่างแล้ว ต้องเป็นเพราะเหลิ่งรั่วปิงแน่ๆ เงินที่เวินอี๋เอาไปซื้อบ้านก็ต้องเป็นเงินที่เหลิ่งรั่วปิงให้แน่ๆ
หลังจากที่เข้าใจทุกอย่างแล้ว มู่เฉิงซีโมโหจนกัดฟันกรอด
“ดาบตำรวจมู่” เมื่อเวินอี๋เห็นมู่เฉิงซีเธอก็รู้สึกประหม่าเล็กน้อย เพราะมู่เฉิงซีช่วยเหลือเธอตั้งมากมาย แต่เธอกลับตีตัวออกห่างจากเขา ดังนั้นเธอก็เลยรู้สึกละอาย
มู่เฉิงซีมองดูมือของเวินอี๋ที่คล้องแขนเหลิ่งรั่วปิงเอาไว้ เขารู้สึกบาดตา ด้วยเหตุนี้จึงพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดีเท่าไหร่ “ไปทำอะไรที่ไหนครับ”
“ฉัน…ฉันไปกินข้าวกับพี่รั่วปิงค่ะ” เวินอี๋ก้มหน้าลงเล็กน้อย เธอไม่กล้าสบตามู่เฉิงซี
มู่เฉิงซีกัดฟันกรอด จากนั้นหันไปมองเหลิ่งรั่วปิง “เหลิ่งรั่วปิง คุณว่างมากหรอ”