ทว่า การโมโหในครั้งนี้ของสุญญตาอวี้มีเหตุผล เธอไม่ได้ติดต่อกับทางวิหารมานานหนึ่งเดือนกว่าแล้ว แต่นี่ก็โทษเธอไม่ได้ ตอนที่เธอมาถึงเมืองหลงก็ถูกเยี่ยหนานกงเยี่ยบีบบังคับไปเป็นผู้หญิงของเขา แล้วยังพาเธอไปอยู่ในวิลล่าหย่าเก๋อ ทำให้เธอไม่มีชีวิตที่เป็นอิสระเลย
แน่นอนว่าเธอไม่กล้าทำตัวชักช้า เหลิ่งรั่วปิงรีบวิดีโอคอลไปหาสุญญตาอวี้ เขารับสายเธอทันที เวลานี้หน้าจอคอมพิวเตอร์ของเธอมีใบหน้าที่โหดเหี้ยมและหล่อเหลาจนไม่มีใครเทียบได้ปรากฎออกมา ด้านหลังของเขาคือเก้าอี้ทองคำที่สื่อให้เห็นว่านี่คือบัลลังค์อันสูงสง่าของเจ้าแห่งวิหาร
“เจ้าวิหาร” เหลิ่งรั่วปิงเอ่ยด้วยความเคารพ
“นางฟ้ารัตติกาล ในที่สุดคุณก็นึกขึ้นได้ว่าควรจะติดต่อผมสักทีนะ?” น้ำเสียงของสุญญตาอวี้กำลังตำหนิเธออย่างชัดเจน ทว่าสีหน้าที่จ้องมองเหลิ่งรั่วปิงกลับมีความตื่นเต้นและอบอุ่น
“ขอโทษค่ะเจ้าวิหาร ฉันถูกเรื่องบางอย่างมาคอยตามรังควาน เลยไม่สะดวกค่ะ”
“ตอนนี้คุณอยู่ไหน”
“โรงแรมค่ะ”
สุญญตาอวี้ถอนหายใจออกมา เขามองนัยน์ตาที่ดูอ่อนโยนเหมือนผืนน้ำของเหลิ่งรั่วปิง แล้วพูดขึ้นด้วน้ำเสียงเคร่งขรึมเหมือนคมมีด “เรื่องของคุณจัดการไปถึงไหนแล้ว”
“ฉันได้อำนาจของการออกแบบสิ่งปลูกสร้างที่เป็นแลนด์มาร์กของเมืองหลงแล้วค่ะ คาดว่าช่วงฤดูใบไม้ร่วงก็คงจะสามารถล้มลั่วเฮิ่งได้โดยที่ทำให้เขาไม่มีปัญญาฟื้นฟูทุกสิ่งที่เป็นของเขากลับมาได้”
“ฤดูใบไม้ร่วง?” สุญญตาอวี้รู้สึกว่าเวลามันนานเกินไป จึงขมวดคิ้วขึ้นอย่างไร้ความอดทน ภายในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความคิดถึง
เหลิ่งรั่วปิงไม่กล้าสบตาเขา เธอก้มหน้าลงเล็กน้อย ความรักของเขาทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัว
ผ่านไปสักพัก เสียงของสุญญตาอวี้ดังขึ้นอีกครั้ง และฟังเหมือนจะอ่อนโยนกว่าเมื่อกี้มาก น้ำเสียงของเขาเหมือนลำธารจากหุบเขาที่ไหลลงมาอย่างไม่ขาดสาย “รั่วปิง อย่าลืมเรื่องที่คุณตกลงกับผม”
น้อยมากที่เขาจะเรียกชื่อของเธอ ตั้งแต่วันที่เขาพาเธอมาที่วิหาร และตั้งชื่อนางฟ้ารัตติกาลให้เธอในวันนั้น เขาก็ไม่ค่อยเรียกชื่อของเธอ ในทางกลับกันทุกครั้งเวลาที่เรียกชื่อของเธอ น้ำเสียงของเขามักจะอ่อนโยนขึ้นมา
นัยน์ตาของเหลิ่งรั่วปิงสั่นเทา เธอตกลงกับเขาว่าหลังจากที่แก้แค้นเสร็จก็จะรีบกลับวิหาร และจะกลายเป็นคนของวิหารตลอดไป พร้อมทั้งสัญญาว่าจะไม่ไปจากวิหารจนกว่าจะหมดลมหายใจ ทว่า นั่นเป็นเพียงแผนการชั่วคราวที่เธอพูดขึ้น เพื่อที่จะขอร้องให้เขาอนุญาตให้เธอกลับเมืองหลงเท่านั้น เธอไม่อยากกลับวิหาร เธออยากจะใช้ชีวิตเรียบง่าย และอยากทำให้ตัวเองกลายเป็นนักสถาปนิกที่ดี เพราะว่านี่เป็นความปรารถนาของพ่อที่มีต่อเธอ
สุญญตาอวี้เก็บเธอมาเลี้ยงตอนที่เธอตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากที่สุด และให้เธอได้รอดชีวิต ทว่าเขาก็ทำให้สองมือของเธอต้องเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด ทำให้เธอต้องทนทุกข์ทรมานกับการฝึกฝนวิชา เธอรู้สึกขอบคุณเขา และรู้สึกหวาดกลัวเขาในเวลาเดียวกัน
“รั่วปิง ตอบผมมา!” สุญญตาอวี้นั่งตัวตรงด้วยความร้อนใจ นัยน์ตาที่เหมือนเหยี่ยวนั้น อยากจะมองทะลุหัวใจของเหลิ่งรั่วปิงจนใจจะขาด ผู้หญิงคนนี้ปิดบังความรู้สึกไว้มากเกินไป ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเลยสักนิด
“ค่ะ เจ้าวิหาร ฉันไม่ลืมค่ะ” เหลิ่งรั่วปิงเคยชินกับการยอมก้มหัวให้เขา ต่อให้เขาจะอยู่ในหน้าจอคอมพิวเตอร์ เธอก็สัมผัสได้ว่านัยน์ตาคู่นั้นของเขาสามารถมองทะลุหัวใจของเธอไว้ ทำให้เธอใจเต้นไม่หยุด
สุญญตาอวี้ถอนหายใจออกมา แล้วจับจ้องเหลิ่งรั่งปิงด้วยความสงบ ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็พูดขึ้น “รั่วปิง ผมรู้ว่าหลายปีมานี้การที่คุณฝึกฝนวิชานั้นทำให้คุณทนทุกข์ทรมาน แต่ถ้าคุณอยากจะแก้แค้น คุณจำเป็นต้องได้รับการฝึกฝนเหล่านี้”
“ฉันรู้ค่ะ” แน่นอนว่าเธอรู้ ทุกครั้งที่เธอใกล้จะทนไม่ไหว เขาจะสั่งให้เธอลุกขึ้น และบอกกับเธอว่าถ้าต้องการแก้แค้น ก็จำเป็นต้องทำให้ตัวเองยิ่งใหญ่ จริงๆ แล้วเขาไม่เคยหวังร้ายกับเธอเลย
น้ำเสียงของสุญญตาอวี้อ่อนโยนกว่าเดิม “หลังจากนี้ ผมจะไม่ให้คุณไปฆ่าคนอีก กลับมาอยู่กับผม ผมจะมอบความรักและความเอาใส่ใจที่ดีที่สุดให้กับคุณ”
เหลิ่งรั่วปิงสูดลมหายใจเข้าลึกด้วยความตกใจ ถึงแม้สุญญตาอวี้จะชอบเธอ นี่เป็นเรื่องที่ใครๆ ก็มองออกอย่างชัดเจน ทว่าเขาไม่เคยพูดมันออกมา เธอก็แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง แต่วันนี้เขาพูดแบบนี้ออกมา เธอควรจะตอบกลับยังไงดี
“รั่วปิง อย่าโทษที่แต่ก่อนผมโหดเหี้ยมกับคุณ ถ้าสองมือของคุณไม่ได้แปดเปื้อนเลือด คุณจะไม่สามารถยืนอยู่บนโลกใบเดียวกับผม”
เหลิ่งรั่วปิง “…”
“รั่วปิง อย่าบอกคุณไม่รู้ว่าผมคิดยังไงกับคุณ!” สุญญตาอวี้จับจ้องไปที่เหลิ่งรั่วปิง “กลับมาเป็นผู้หญิงของผม! ผมรอคุณมาหกปีแล้ว!”
“!!!” จู่ๆ หัวใจของเหลิ่งรั่วปิงก็เหมือนโดนค้อนทุบลงไปเต็มแรง มือของเธอสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ เธอนึกไม่ถึงเลยว่าสุญญตาอวี้ที่ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา จู่ๆ จะมาสารภาพรักกับเธอแบบนี้ “ไม่… เจ้าวิหาร ฐานะตำแหน่งของท่านสูงศักดิ์ ฉันไม่คู่ควร”
“ผมบอกว่าคุณคู่ควรก็ต้องคู่ควร!” สุญญตาอวี้พูดด้วยน้ำเสียงที่ต่อต้าน เขาได้เห็นว่าเธอเป็นสมบัติส่วนตัวของเขาไปนานแล้ว “รั่วปิง คุณถูกกำหนดว่าต้องเป็นผู้หญิงของผม ผมรักษาร่างกายให้บริสุทธิ์ผุดผ่องมาโดยตลอด ดังนั้น คุณห้ามไปแปดเปื้อนกับผู้ชายคนอื่นเด็ดขาด!”
เขากังวลมาตลอด เธอใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลงตามลำพัง และไม่ได้อยู่ในสายตาเขา รอบตัวเธอต้องมีผู้ชายคนอื่นเข้ามาแน่นอน ดังนั้นเขาเลยรีบสารภาพความรู้สึกของเขาออกมาแบบนี้ ถ้าบอกว่าเป็นการสารภาพรัก ให้พูดว่าเป็นการออกคำสั่งจะดีกว่า ความบ้าอำนาจและความยิ่งใหญ่ของเขา ทำให้ยากที่จะต้านทานได้
หัวใจของเหลิ่งรั่วปิงเต้นรัวขึ้นมาทันที สายตาของสุญญตาอวี้กำลังบอกเธอ ถ้าเธอไปแปดเปื้อนกับผู้ชายคนอื่น เขาจะทำลายทุกอย่าง
แน่นอนว่าเขาเองก็ไม่เคยมีผู้หญิงคนอื่น เขาบอกว่าเขารักษาร่างกายให้บริสุทธิ์ผุดผ่องมาโดยตลอด จุดๆ นี้ทำให้เธอคาดคิดไม่ถึงจริงๆ
แต่ว่าเธอเป็นผู้หญิงที่เคยมีคนอื่นมาแล้ว และเธอก็ได้เสียพรหมจรรย์ไปแล้ว เธอทำแบบนี้ก็เพื่อที่จะให้เขารู้สึกรังเกียจเธอ และทำให้เขามีความคิดที่จะปล่อยเธอไป ทว่าตอนนี้ เธอยังไม่อยากให้เขารู้ ถ้าเขารู้ แล้วเกิดเขาทำอะไรที่บ้าคลั่งขึ้นมา แผนการล้างแค้นของเธอก็คงดำเนินต่อไปไม่ได้
“ได้ยินที่ผมพูดหรือยัง!” สุญญตาอวี้ทำน้ำเสียงที่หนักแน่น แววตาของเขาเต็มด้วยความร้อนรุ่ม
“ค่ะ” เหลิ่งรั่วปิงพยักหน้า
สุญญตาอวี้สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วปรับสีหน้าของตัวเอง ทำให้ตัวเองดูอ่อนโยนขึ้น “งั้นก็แค่นี้ รีบไปพักผ่อนเถอะ สีหน้าของคุณดูไม่ค่อยดี”
เหลิ่งรั่วปิงพยักหน้า กำลังจะปิดคอม ทว่าสุญญตาอวี้กลับพูดขึ้นต่อ “รั่วปิง ผมรักคุณ รักมากๆ ผมสามารถตามใจคุณทุกอย่าง แต่ว่าคุณห้ามทรยศหักหลังผมเด็ดขาด ดังนั้นคุณอย่าคิดหนี ถ้าคุณกล้าหนี ต่อให้คุณหนีขึ้นไปบนฟ้า ผมก็จะจับตัวคุณกลับมาให้ได้”
เหลิ่งรั่วปิงที่กำลังนิ่งเงียบอยู่นั้น จู่ๆ สุญญตาอวี้ก็หัวเราะอย่างโหดเหี้ยมแล้วตัดสายทิ้งไป
ทันทีที่ใบหน้าของสุญญตาอวี้หายไป เหลิ่งรั่วปิงก็รู้สึกโล่งอกขึ้นมา ทว่าเธอยังคงรู้สึกเหมือนลมหายใจของเขากำลังรอบล้อมเธออยู่ ทำให้เธอหายใจลำบาก
ถ้าเธอกล้าหนี ต่อให้หนีไปบนฟ้าเขาก็จะจับเธอกลับมา!
เหลิ่งรั่วปิงรู้สึกเหมือนไหล่ทั้งสองข้างมีภูเขาใหญ่สองลูกกำลังกดทับบนตัวเธอ
เธอจึงปิดคอมแล้วเดินไปตรงริมหน้าต่าง ด้านนอกเต็มไปด้วยหิมะที่ตกกระหน่ำ มันขาวโพลนจนทำให้เธอแสบตา และทำให้เธอลืมตาไม่ขึ้น
เส้นทางแห่งความอิสระของเธอคือเส้นทางไหน
จู่ๆ เสียงมือถือก็ดังขึ้น เวินอี๋เป็นคนโทรหาเธอ
เหลิ่งรั่วปิงรีบรับสาย แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “เวินอี๋ ทำไมถึงโทรหาฉันล่ะ”
“พี่รั่วปิง ฉันได้งานทำแล้ว!” เห็นชัดว่าเวินอี๋รู้สึกดีใจมาก
“เรื่องดีหนิ แล้วไปทำงานที่ไหน”
“เป็นพนักงานแคชเชียร์ของเสิ้งหวาค่ะ ดาบตำรวจมู่เป็นคนหางานให้ฉันเอง เขาเป็นคนดีจริงๆ อีกอย่าง เขายังบอกเรื่องสวัสดิการให้ฉันว่ามีที่พักให้ฟรีด้วย อีกสองวันจะย้ายเข้าไปอยู่ที่นั่นแล้วนะคะ”
เหลิ่งรั่วปิงขมวดคิ้ว มู่เฉิงซีมีวิธีมากมายที่จะเอาใจผู้หญิง วิธีที่โง่ขนาดนี้ก็คงจะหลอกได้แค่เวินอี๋ สวัสดิการที่พักยื่นคำขอได้เร็วขนาดนี้เลยหรอ ทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่านั่นมันบ้านของเขาเอง
“เวินอี๋ มู่เฉิงซีเป็นคนที่ซับซ้อนเกินไป เธออยู่ห่างจากเขาหน่อยจะดีที่สุด” เหลิ่งรั่วปิงไม่เตือนเธอไม่ได้ เพราะว่าเธอใสซื่อเกินไป
“อ่า?” เวินอี๋รู้สึกสงสัยเล็กน้อย “แต่ฉันรู้สึกว่าเขาคือคนดีจริงๆ นะ พวกพี่สองคนมีเรื่องอะไรกันหรอคะ ทำไมถึงมองหน้าไม่ติดกันเลย เขาบอกให้ฉันอย่าสนิทสนมกับพี่ แล้วพี่ก็บอกให้ฉันอยู่ห่างจากเขา แต่ฉันรู้สึกว่าพวกพี่ทั้งสองคนคือคนที่ฉันควรเข้าหาทั้งคู่”
“เวินอี๋ มู่เฉิงซีเป็นคนมีฐานะ และมีจิตใจที่อำมหิตกับคนอื่น เขาเคยเป็นห่วงเป็นใยใครแบบนีซะที่ไหน สิ่งที่เขาทำให้เธอมันมากเกินกว่าปกติ เธอต้องระวังตัวให้มาก เขาเป็นคุณชายที่อยู่ดีกินดีแบบนั้น เขาจะเห็นความสำคัญของความรักได้ยังไง เธออย่าโดนเขาหลอกล่ะ”
“…” เวินอี๋หยุดชะงักไปสักพัก “อืม ได้ค่ะ ฉันจะฟังพี่รั่วปิงนะคะ” ระหว่างมู่เฉิงซีและเหลิ่งรั่วปิง เวินอี๋ต้องเลือกที่จะเชื่อเหลิ่งรั่วปิงเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว ยังไงพวกเธอก็มีความสัมพันธ์กันมาสิบสองปี ทว่าเธอกับรู้จักมู่เฉิงซีแค่ไม่กี่วันเท่านั้น
“งั้นก็ดี ฟังฉัน อย่าไปอยู่บ้านที่เขาเตรียมไว้ให้ ใช้เงินที่ฉันให้ไปซื้อบ้านอีกหลังเถอะ”
“ค่ะ ฉันเข้าใจแล้วค่ะ” เวินอี๋เชื่อใจเหลิ่งรั่วปิงอยู่แล้ว “ใช่แล้ว พี่รั่วปิงคะ วันนี้ฉันได้เจอลั่วซูเยียง เขามาซื้อเสื้อผ้าที่ห้างเสิ้งหวา รอบตัวเขามีบอร์ดี้การ์ดติดตามมาด้วย ดูเป็นการมาที่ยิ่งใหญ่มาก
ม่านตาของเหลิ่งรั่วปิงหดลงเล็กน้อย พอนึกถึงเรื่องในอดีต เธออยากจะถลกหนังและกระชากเส้นเอ็นของลั่วซูเยียงจนใจจะขาด เธอยังไม่เคยลืมสิ่งเลวๆ ที่ลั่วซูเยียงทำไว้กับเธอ หลังจากที่พ่อของเธอล้มป่วยจนลุกไม่ขึ้น ลั่วซูเยียงก็ทำตามวิธีในละครสงครามนางใน เธอใช้เข็มฉีดเข้าเนื้อเธอ แล้วใช้แส้ตีเธอ มีหลายครั้งที่ยัยนั่นแทบจะทำให้เธอเสียโฉม
ลั่วซูเยียง แกมีสิทธิ์อะไรในการใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย!
เหลิ่งรั่วปิงกัดฟันไว้แน่นๆ ถึงแม้ตอนนี้เธอยังไม่สามารถให้อาหารมื้อใหญ่ให้กับครอบครัวของพวกเขาได้กิน ทว่าเธอสามารถส่งของหวานให้พวกเขาได้ลิ้มลองก่อน!
“เวินอี๋ ถ้าเธอได้เจอลั่วซูเยียงก็ทำเป็นไม่รู้จัก อย่าไปมีเรื่องกับเธอเด็ดขาด เข้าใจไหม” เหลิ่งรั่วปิงไม่อยากให้เวินอี๋ได้รับบาดเจ็บอีก
“ค่ะ ฉันเข้าใจแล้วค่ะ”
“ดี ถ้าอย่างนั้นก็ตั้งใจทำงานนะ แค่นี้ก่อน”
“ค่ะ”
พอวางสายลง นัยน์ตาของเหลิ่งรั่วปิงเคล้าไปด้วยความอาฆาตแค้น ลั่วซูเยียง ฉันจะให้แกได้รับความเจ็บปวดในสิ่งที่แกทำกับฉัน ฉันจะเอาคืนแกเป็นสิบเท่า!
*****
หลายวันที่ผ่านมานี้ เหลิ่งรั่วปิงตั้งใจทำการวิจัยเกี่ยวกับเอกสารในการสร้างสิ่งปลูกสร้างที่เป็นแลนด์มาร์กของเมืองหลง
ประเทศต้าหย่าเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและเป็นประเทศที่เจริญที่สุดของโลก และเมืองหลงก็คือเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศต้าหย่า และเป็นเมืองชั้นนำระหว่างประเทศ สิ่งปลูกสร้างที่เป็นแลนด์มาร์กจึงต้องแสดงให้เห็นถึงความเป็นเอกลักษณ์ของเมืองหลง ซึ่งเป็นตึกที่มีหกสิบชั้น และชั้นใต้ดินอีกสามชั้น สิ่งปลูกสร้างที่เป็นแลนด์มาร์กมีประโยชน์ในการใช้สอยก็คือเป็นจุดศูนย์กลางของการจัดกิจกรรมสาธารณะ เลยมีเงื่อนไขว่าข้างในต้องมีพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ สวนหย่อมบนดาดฟ้า โรงหนังและอื่นๆ
สำหรับสิ่งปลูกสร้างที่เป็นแลนด์มาร์กของเมืองหลวง เหลิ่งรั่วปิงมีความรู้สึกที่ลึกซึ้งกับมันมาก เพราะว่านี่เป็นความปรารถนาจากพ่อของเธอเจียงเฉิง
ตอนนั้น ถึงแม้เจียงเฉิงจะเป็นเจ้าของบริษัทรับเหมาก่อสร้าง ทว่าเขาชื่นชอบในการออกแบบสิ่งปลูกสร้างมาก และเพราะว่าชื่นชอบในการออกแบบสิ่งปลูกสร้าง จึงรักในสิ่งพวกนั้น เขาจึงได้กลายเป็นเพื่อนสนิทที่คอยเข้าอกเข้าใจเหลิ่งเย่ว์ซึ่งเป็นพ่อเลี้ยงของเหลิ่งรั่วปิง
เจียงเฉิงคิดอยากจะเป็นคนออกแบบสิ่งปลูกสร้างที่เป็นแลนด์มาร์กของเมืองหลงด้วยตัวเอง เสียดายที่โชคร้าย ทำให้ต้องหลงกลพวกคนเลว และสุดท้ายก็ต้องเสียชีวิตไปอย่างน่าเสียดาย
“พ่อคะ หนูจะทำความปรารถนาของพ่อให้เป็นจริง พ่อเชื่อใจหนู หนูจะทำให้ดีที่สุด” เหลิ่งรั่วปิงสาบานกับฟ้า
เพราะว่ามีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับสิ่งปลูกสร้างนี้ ดังนั้นไอเดียของเหลิ่งรั่วปิงจึงแตกต่างกันไป และหลังจากผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ เธอก็มีไอเดียว่าต้องดีไซน์ออกแบบสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดนี้ออกมายังไง จากนั้นเธอครุ่นคิดอย่างละเอียด แล้วเริ่มขยับมือวาดรูปออกมา
เวลาที่เธอทำงาน เธอจะตั้งใจและมีไฟในการทำงานสูงมาก นอกจากไปโรงอาหารสำหรับพนักงานตรงชั้นสามเพื่อกินมื้อเที่ยงในตอนกลางวันแล้วนั้น เธอแทบจะไม่ออกจากออฟฟิศของเธอ และตอนกลางคืนก็มักจะทำงานจนดึก
เธอคิดว่าเธอจะสามารถคงชีวิตที่สงบสุขแบบนี้ จนกว่าวันที่เธอได้แก้แค้น ทว่า เธอกับหนานกงเยี่ยก็เหมือนมีด้ายเส้นหนึ่งที่ไม่สามารถตัดขาดจากกันได้ พวกเขากลับมาเจอกันใหม่อีกครั้ง