ตอนที่ 63 จะเอามือของเขาข้างหนึ่ง

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

เฉินซูหลานยกมือทาบขึ้นที่หน้าอก รู้สึกหน้ามืดจนแทบจะสลบไป

 

 

พยาบาลซึ่งดูแลอยู่ข้างกายพยุงเธอไว้อย่างรวดเร็ว

 

 

เฉินซูหลานไม่เคยโมโหใครมาก่อนในชีวิต เธอนิสัยอ่อนโยน นานๆ จะโกรธที

 

 

หัวสมองของหนิงฉิงยุ่งเหยิงไปหมด คว้าตัวเธอไว้อย่างรีบร้อน “แม่คะ แม่ไม่เป็นอะไรนะ”

 

 

มือเฉินซูหลานยันกับโต๊ะ ร่างกายสั่นระริก เงยหน้าขึ้นด้วยอาการหอบ “มือของหรานหร่านเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”

 

 

แม้เธอไม่ค่อยถาม และไม่ค่อยเข้าใจเรื่องของวัยรุ่น แต่เธอก็รู้ว่าฉินหร่านเล่นไวโอลินได้ดี อาจารย์จากเมืองจิงคนนั้นถึงมาหาครั้งแล้วครั้งเล่า

 

 

“แม่ แม่นั่งก่อนค่ะ” หนิงฉิงคิดไม่ถึงว่าเฉินซูหลานใส่ใจกับการบาดเจ็บที่มือของฉินหร่านขนาดนี้ หนิงฉิงพยุงเธอมานั่งบนเตียง “มือของแกไม่เป็นอะไรมากหรอก ตอนนี้ยังนั่งเรียนที่โรงเรียนอยู่เลย แม่วางใจเถอะ”

 

 

เฉินซูหลานถอนหายใจ

 

 

“แม่ เมื่อกี้แม่บอกว่าหรานหร่านไม่ได้ถนัดข้างซ้าย มันหมายความว่าอย่างไรคะ” หนิงฉิงหลังรินน้ำหนึ่งแก้วส่งให้เฉินซูหลาน กระแอมแล้วเอ่ยขึ้น

 

 

เฉินซูหลานไม่ได้รับไว้ เธอแค่จ้องมองหนิงฉิง

 

 

ดวงตาขุ่นมัวครู่นั้นกลับรับรู้ทุกสิ่ง

 

 

“เธอไม่ชอบหรานหร่านสินะ” เสียงเฉินซูหลานเบาหวิว สีหน้าซีดเซียวไม่มีชีวิตชีวาเท่าไหร่

 

 

หนิงฉิงสีหน้าเปลี่ยน “แม่ ฉันยอมรับว่าฉันเข้าข้างอวี่เออร์ แต่หรานหร่านก็เป็นลูกแท้ๆ เป็นเลือดเนื้อของฉันเหมือนกัน”

 

 

“ถ้าเกิดว่าเปลี่ยนเป็นอวี่เออร์ล่ะ มือของเธอบาดเจ็บเพราะสวี่เซิ่น เธอจะยอมให้เรื่องของอวี่เออร์จบไปง่ายๆ เหรอ” เฉินซูหลานเอียงศีรษะถามเสียงเบา

 

 

“นั่นมัน…”

 

 

นั่นมันจะเหมือนกันได้อย่างไร

 

 

ฉินอวี่ได้รับความรักใคร่เอ็นดูจากบ้านหลิน มีความแตกฉานทางไวโอลินมาก แถมหลินหว่านปกป้องเธอสุดๆ หากรู้ว่ามือของเธอบาดเจ็บเพราะสวี่เซิ่นละก็ อย่าว่าแต่หลินหว่านเลย พวกหลินฉีก็ไม่ปล่อยสวี่เซิ่นไปหรอก

 

 

เพียงแค่คำพูดยังไม่ทันออกจากปาก หนิงฉิงก็ชะงักแล้ว

 

 

“เห็นไหม นี่คือความแตกต่าง” ขณะที่เฉินซูหลานพูดอยู่นั้น ก็ไอออกมาแรงๆ อีกครั้ง สายตามองไปนอกหน้าต่าง “หรานหร่านเด็กคนนี้ต้องมีคนดูแล ตอนแรกฉันคิดอยู่ว่าก่อนตายจะฝากหล่อนไว้กับเธอ…”

 

 

“แม่ แม่…” หนิงฉิงสะอึก รู้สึกแย่ในใจ เธอยื่นมือประคองเฉินซูหลาน

 

 

เฉินซูหลานปัดมือเธอออก

 

 

เธอยันเตียงลุกขึ้นด้วยตัวเอง ให้พยาบาลช่วยหยิบเสื้อผ้าของเธอมา

 

 

“แม่ แม่จะทำอะไรคะ” หนิงฉิงอึ้งไปแล้วลุกขึ้นตาม

 

 

“ฉันตะ…ต้องไปเยี่ยมหรานหร่าน” เฉินซูหลานหายใจหอบ ดวงตาเปียกชื้น “ถ้าแม้แต่ฉัน…ถ้าแม้แต่ฉันยังไม่ปกป้องไม่ยืนข้างหล่อนละก็ เธอจะปล่อยให้หล่อนอยู่ตัวคนเดียวจริงๆ อย่างนั้นเหรอ!”

 

 

“แม่ ร่างกายแม่เป็นหนักขนาดนี้แล้ว จะออกไปอย่างไร” หนิงฉิงประคองเฉินซูหลานไว้ พูดขึ้นอย่างตื่นตกใจว่า “ฉันเชื่อแม่ค่ะ ฟังแม่ทุกอย่างเลย ฉันจะปฏิบัติต่อเธอดีๆ แม่อย่าโกรธนะคะ…คุณหมอ! คุณหมอ! รีบเรียกคุณหมอเร็ว!”

 

 

……

 

 

ฉินหร่านนอนฟุบอยู่บนโต๊ะ กลิ่นหอมดอกไม้ด้านนอกลอยเข้ามาจางๆ

 

 

เธอแทบไม่ได้นอนมาสองคืนแล้ว

 

 

แม้จะทานยานอนหลับเกือบหมดแต่ก็ไม่ได้ผลอยู่ดี

 

 

แต่ตอนนี้กลับง่วงอยากจะหลับ

 

 

เฉิงเจวี้ยนทำแผลให้ฉินหร่านเสร็จ เงยหน้าขึ้นจึงพบว่าฉินหร่านฟุบโต๊ะหลับไปแล้ว

 

 

แขนซ้ายของเขาถูกแขนเสื้อเธอทับไว้

 

 

ในมุมนี้มองเห็นได้เพียงใบหน้าครึ่งซีกที่ถูกเงาบดบังของเธอ ขนตายาวๆ หลุบลง ใต้ดวงตาคือสีดำคล้ำจางๆ

 

 

เฉิงเจวี้ยนนั่งอยู่ตรงข้ามครู่หนึ่งแล้วเยาะเบาๆ ว่า “ยังจะหลับได้อีก…”

 

 

ลู่จ้าวอิ่งดับบุหรี่แล้วเดินเข้ามาจากด้านนอก

 

 

เขาเคยเห็นแผลบนมือของฉินหร่านครั้งเดียว ลู่จ้าวอิ่งเคยบาดเจ็บมาไม่น้อยทั้งแผลเล็กแผลใหญ่ แผลตรงท้องของเขา ในปีนั้นเรียกได้ว่าแทบจะคร่าชีวิตของเขาไป

 

 

แต่พอเห็นแผลซึ่งถูกเย็บไว้ของฉินหร่านนั้นแล้วก็ไม่อยากจะมอง

 

 

พลันลู่จ้าวอิ่งเข้าใจขึ้นมาเล็กน้อยว่าทำไมคืนนั้นเป็นคุณหมอที่เย็บแผลให้ฉินหร่าน

 

 

เมื่อเดินเข้ามาก็เห็นเฉิงเจวี้ยนชักมือออกเบาๆ ลู่จ้าวอิ่งอ้าปากถามอย่างไร้เสียงว่า “หลับไปแล้วเหรอ”

 

 

เฉิงเจวี้ยนพยักหน้า แสดงออกทางสายตาว่าให้ลู่จ้าวอิ่งตามเขาออกไป

 

 

ทั้งสองยืนอยู่ในสวน เฉิงเจวี้ยนหยิบบุหรี่ออกมาหนึ่งมวน คาบไว้ในปากไม่ได้จุด “ชีเฉิงจวินถึงหรือยัง”

 

 

ลู่จ้าวอิ่งหยิบโทรศัพท์ออกมาดูเวลาพลางลูบต่างหู “ขึ้นเครื่องบินไปตั้งแต่ตอนคุยโทรศัพท์ น่าจะลงเครื่องแล้วล่ะ เฉิงมู่ตรวจสอบดูแล้ว หลินหว่านนั้นเป็นคนบ้านเสิ่นเมืองจิง”

 

 

“บ้านเสิ่น?” เฉิงเจวี้ยนเหลือบตาแล้วหรี่ลงมองเขาอย่างไม่เข้าใจเล็กน้อย

 

 

ราวกับกำลังครุ่นคิดว่าบ้านเสิ่นคืออะไร

 

 

“…อันที่จริงฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน” ลู่จ้าวอิ่งกระแอมสองที ทั้งเมืองจิงมีหลายร้อยตระกูล คุณชายลู่ก็จำได้แค่ไม่กี่ตระกูลเท่านั้น เขาจับศีรษะแล้วพูดว่า “อย่างไรเสียจัดการพวกมันก็จบเรื่องแล้ว”

 

 

“อืม” เฉิงเจวี้ยนขานรับอย่างหงุดหงิดและหนักอึ้ง สุดท้ายก็ไม่ได้จุดบุหรี่ “ไอ้สวี่เซิ่นนั้น ฉันจะเอามือของเขาข้างหนึ่ง”

 

 

“เหมาะสมเหรอ” ลู่เจ้าอิ่งรู้ข่าววงในอยู่บ้าง “ได้ยินมาว่าคนบ้านสวี่คนนั้นเป็นอาจารย์ของฉินเสี่ยวหร่าน”

 

 

รู้จักกันไม่นาน แต่ลู่จ้าวอิ่งรู้ว่าฉินหร่านให้ความสำคัญกับมิตรภาพมาก

 

 

ดูท่าแล้วบ้านสวี่นั่นมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับฉินหร่าน

 

 

เฉิงเจวี้ยนหมุนตัวมาช้าๆ แววตาคุกรุ่นพอสมควร เขาพูดเย้ยอย่างไม่รีบร้อนว่า “แล้วอย่างไร”

 

 

ลู่จ้าวอิ่งหลุดหัวเราะ

 

 

เขาลืมไปแล้วว่านี่คือคุณชายเจวี้ยน ไม่มีอะไรที่เขากลัว

 

 

……

 

 

วันต่อมา

 

 

หนิงฉิงอยู่เป็นเพื่อนเฉินซูหลานที่โรงพยาบาลตลอดคืน นึกถึงมือข้างขวาของฉินหร่านเป็นครั้งคราว เธอเองก็รู้สึกผิดค่อนข้างมาก

 

 

มากที่สุดคือคำพูดของเฉินซูหลาน

 

 

มือข้างขวาของฉินหร่าน…

 

 

เธอกุมขมับ หงุดหงิดพอควรเมื่อตอนเข้าไปบ้านหลิน

 

 

หลินหว่านนั่งอยู่บนโซฟา

 

 

เห็นได้ชัดว่าหลินหว่านพักผ่อนดี แต่งหน้าสวยงามประณีต กำลังทาลิปสติกให้ตัวเองอยู่

 

 

อวี๋กวงเห็นหนิงฉิงกลับมาก็เหลือบมองตามไป “เป็นอย่างไรบ้าง แม่คุณบอกว่าอย่างไร”

 

 

“แม่ฉัน…” หนิงฉิงมือเกร็ง เธอกลัวหลินหว่านเล็กน้อย โดยเฉพาะเฉินซูหลานไม่ยอมเกลี้ยกล่อมฉินหร่าน ด้วยนิสัยของฉินหร่านแล้ว ต้องไม่ยอมปล่อยวางแน่

 

 

“พอแล้ว ฉันรู้แล้วล่ะ” หลินหว่านหัวเราะออกมา “ในเมื่อเป็นแบบนี้ คุณก็อย่าโทษฉันที่ไม่คำนึงถึงลูกสาวคนโตของคุณแล้วกัน”

 

 

“คุณน้อง!” แววตาหนิงฉิงเป็นกังวล “หรานหร่านไม่ได้เจ็บแค่มือซ้าย มือขวาของเธอก็ด้วย…”

 

 

หลินหว่านเก็บลิปสติกแล้วยืนขึ้น ไม่ฟังคำพูดต่อมาของหนิงฉิง

 

 

อย่างไรเสีย ไม่ว่าจะเป็นฉินหร่านหรือหนิงฉิง ก็ไม่ถือเป็นคู่ต่อสู้ในชีวิตของเธอ ซัดคลื่นให้กระเพื่อมไม่ขึ้นสักนิดเดียว

 

 

คนบ้านหนิงพวกนี้ หลินหว่านไม่แยแสใครทั้งนั้นนอกจากฉินอวี่

 

 

ทว่าในเวลานี้ โทรศัพท์ในกระเป๋าหลินหว่านดังขึ้น เห็นว่าเป็นรองอธิบดีเสิ่นเธอจึงกดรับสาย

 

 

หลังจากฟังจบแล้ว สีหน้าก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก