ตอนที่ 64 ผมไม่ได้มาช้าใช่ไหม

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

“คุณบอกว่าฉินหร่านไม่เอาความต่อไม่ใช่เหรอ” น้ำเสียงของรองอธิบดีเสิ่นสั่นระริก “หมายศาลมาถึงแล้ว ผลศาลครั้งแรกจะออกมาวันนี้ ผมถูกหัวหน้าพักงานเพื่อรอสอบสวนแล้ว!”

 

 

หลินฉีตกลงแค่ช่วยรองอธิบดีเสิ่นบอกต่อเท่านั้น แต่หลินหว่านไม่ใช่

 

 

ขอเพียงมีโอกาสน้อยนิด หลินหว่านก็จะคว้าเอาไว้หมด

 

 

ในสายตาเธอฉินหร่านเป็นตัวถ่วงของพี่สะใภ้ ไม่เหมือนกับฉินอวี่ หลินหว่านไม่ยอมรับพวกคนอย่างฉินหร่านเพราะสัมผัสอิทธิพลมากมายของเมืองจิงจนเคยชินแล้ว

 

 

เดิมทีนึกว่าเรื่องเล็กๆ นี้จะจัดการได้ง่าย แต่ใครจะไปรู้ว่าเมื่อวานเพิ่งหาฉินหร่านเจอ

 

 

วันนี้หมายศาลก็มาถึงแล้ว!

 

 

ทำอะไรรวดเร็วจริงๆ

 

 

หักหน้าเธออย่างโจ่งแจ้ง

 

 

สีหน้าหลินหว่านถมึงทึง

 

 

ในบ้านหลิน แม้แต่หลินฉียังต้องไว้หน้าเธอ ยกตนเองไว้เหนือคนอื่นจนชินแล้ว ยังไม่เคยถูกใครอกตัญญูใส่ขนาดนี้มาก่อน

 

 

“ลูกสาวคุณทำเรื่องงามหน้าจริงๆ!” หลังจากตัดสาย หลินหว่านหายใจแรงแล้วยิ้มเย็น

 

 

“ทำไมเหรอ” หนิงฉิงก็อึ้งเหมือนกัน

 

 

หลินหว่านถือกระเป๋า เก็บของเสร็จแล้วเดินไปด้านนอก “สวี่เซิ่นเกิดอุบัติเหตุรถยนต์ระหว่างเดินทางไปศาล แต่บังเอิญเบรกรถเสีย คุณว่าการฆาตกรรมโดยเจตนานี่ต้องตัดสินติดคุกกี่ปีกันล่ะ หนิงฉิง”

 

 

“แล้วก็” หลินหว่านเดินมาถึงปากประตูแล้วเอียงศีรษะยิ้มเย็น “คุณเดาว่าวันนี้หล่อนจะหาทนายความได้ไหม”

 

 

ป้าจางเดินตามไปส่งหลินหว่านด้วยความเคารพนบน้อม

 

 

หนิงฉิงล้มนั่งบนโซฟา ในใจร้อนรน มือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอย่างสั่นระริกแล้วโทรศัพท์ไปหาฉินหร่าน

 

 

……

 

 

“หรานหร่าน วันนี้พวกเราจะปรึกษาเนื้อหาของการแข่งโต้วาที เธอจะมาด้วยไหม” เลิกเรียนคาบเช้า หลินซือหรานหยิบดินสอและสมุดแล้วถามฉินหร่านเสียงเบา

 

 

ฉินหร่านนั่งอยู่บนเก้าอี้ราวกับไร้กระดูก ก้มหน้าก้มตาตัดสายโทรศัพท์ที่ดังกระหน่ำ ด้านซ้ายมือมีหนังสือต่างประเทศเป็นตั้งๆ

 

 

“ฉันก็แค่ไปโชว์หน้าเอง ถึงเวลาแล้วเอาบทสุนทรพจน์ให้ฉันก็พอ พวกเธอไปเถอะ” ฉินหร่านเอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ

 

 

หลินซือหรานรู้สึกว่าปรึกษาฉินหร่านไปก็อะไรไม่ได้เหมือนกัน จึงพยักหน้าแล้วกอดสมุดเดินไปข้างหลัง

 

 

การแข่งขันสุนทรพจน์ครั้งนี้ห้องเก้ามีแรงผลักดันอันแรงกล้า

 

 

เฉียวเซิงเลี้ยงลูกบาสแล้วนั่งลงบนโต๊ะของหลินซือหราน จากนั้นเอียงศีรษะพูดว่า “ไม่คิดว่าเธอจะเข้าร่วมกิจกรรมน่าเบื่อขนาดนี้ด้วย ถ้ารู้แต่แรกฉันลงสมัครด้วยดีกว่า”

 

 

ฉินหร่านเก็บหนังสือต่างประเทศ ตอบเนือยๆ ว่า “ก็แค่มาโชว์หน้า”

 

 

เธอหยิบโทรศัพท์แล้วยืนขึ้น

 

 

สองวันนี้เธอใส่แต่กางเกงนักเรียนที่หลวมโคร่ง ไม่ได้ใส่เสื้อโค้ต มีเพียงเชิร์ตสีขาวตัวเดียว กางเกงนักเรียนที่หลวมโคร่งขับให้เธอดูผอมแห้งอย่างมากเมื่อมองจากด้านข้าง

 

 

เฉียวเซิงหัวเราะพรืด เขาหมุนลูกบาสไว้บนมือ “ไปโรงอาหารไหม หลินซือหรานให้ฉันเข้าแถวให้เธอ”

 

 

“ไม่ล่ะ” ฉินหร่านยัดโทรศัพท์เข้ากระเป๋าแล้วหยิบกระติกน้ำร้อน น้ำเสียงอู้อี้เล็กน้อย “ฉันไปเปลี่ยนยาที่ห้องพยาบาล”

 

 

สวีเหยากวงเคยบอกเฉียวเซิงอย่างชัดเจนว่าถ้าไม่มีเรื่องอะไรก็เลี่ยงห้องพยาบาลของโรงเรียนไว้เสียหน่อย

 

 

เฉียวเซิงจดจำไว้ในใจอยู่ตลอด เขาส่งฉินหร่านมาถึงประตูห้องพยาบาลของโรงเรียนแล้วเลี้ยงลูกบาสไปที่สนามบาสแล้ว

 

 

เช้าตรู่ ในห้องพยาบาลไร้ผู้คน

 

 

ฉินหร่านเมื่อผลักประตูออกก็ได้กลิ่นหอม…

 

 

เธอมองไปด้านใน ลู่จ้าวอิ่งกำลังพูดคุยกับเฉิงมู่เบาๆ เฉิงเจวี้ยนกำลังยืนด้วยท่าทางเกียจคร้านหน่อยๆ อยู่ตรงข้ามหุ่นมนุษย์ ในมือถือมีดผ่าตัดไว้

 

 

ได้ยินเสียงเปิดประตู เขาหันศีรษะมาเล็กน้อย เสียงเบาพอสมควร “มาแล้วเหรอ ในหม้อมีโจ๊ก”

 

 

ลู่จ้าวอิ่งเตะเฉิงมู่ไปหนึ่งที

 

 

เฉิงมู่รีบวิ่งตลบไปห้องครัวแล้วตักโจ๊กซึ่งมีเม็ดเก๋ากี้ มาถ้วยหนึ่งจากนั้นเอาออกมาไว้บนโต๊ะ พร้อมวางอาหารเช้าสองสามอย่าง เป็นมื้อเช้าที่ธรรมดาทั่วไปมาก

 

 

ในระหว่างนั้นใช้สายตาเหลือบมองฉินหร่านเป็นครั้งคราว

 

 

โทรศัพท์ในกระเป๋าของฉินหร่านยังคงดังขึ้นระรัว

 

 

เธอมองโจ๊กที่วางอยู่บนโต๊ะซึ่งมีไอร้อนลอยฟุ้ง จากเดิมทีที่ไม่ค่อยสดใสกับร่างกายอันเย็นเฉียบก็แทบจะอุ่นขึ้นมาทันที

 

 

รอให้เธอทานเสร็จ เฉิงเจวี้ยนจงจะวางมีดผ่าตัดลงแล้วค่อยๆ เดินเข้ามาดูแผลบนมือของเธอ

 

 

ฉินหร่านหลุบตามองแผลตรงแขนซ้าย

 

 

คุณยายไม่รู้เกี่ยวกับแผลที่แขนของเธอ นอกจากคุณยายแล้ว คนรอบกายแทบทุกคนต่างนึกว่าเธอถนัดซ้าย แม้แต่เธอยังสับสนเล็กน้อยแล้ว เพราะปกติชอบทำอะไรตามใจชอบ

 

 

จึงไม่ค่อยสังเกตแขนข้างขวาที่บาดเจ็บของเธอ

 

 

สองวันก่อนชนโน่นชนนี่ มักจะมีเลือดออก

 

 

เธอหยาบกระด้างจนชินแล้วจึงไม่รู้สึกว่ามีอะไร

 

 

แต่เฉิงเจวี้ยนกลับบอกให้ไปห้องพยาบาลทุกเที่ยง เขาจะดูแผล

 

 

เวลาฉินหร่านทำอะไรก็มักจะจดจ่อกับมือข้างขวาเป็นพิเศษอย่างไม่รู้ตัว พอนึกถึงคำพูดที่เฉิงเจวี้ยนเคยบอกเธอจึงพยายามไม่ออกแรง

 

 

“ไม่มีเลือดออก” เฉิงเจวี้ยนปล่อยมือ รินน้ำใส่กระติกน้ำร้อนแล้วส่งให้เธอ ใบหน้าที่งดงามเจือด้วยความเย่อหยิ่ง “วันนี้พอใช้ได้”

 

 

รอให้ฉินหร่านเข้าเรียนแล้ว เฉิงเจวี้ยนมองเงาแผ่นหลังของเธอหายวับไปจากสายตา จึงค่อยๆ ละสายตากลับมา

 

 

“วันนี้ศาลเปิดพิจารณาคดี” ลู่จ้าวอิ่งอ่านข้อความบนโทรศัพท์เสร็จ พิงกายไปด้านข้างแล้วยิ้มออกมา “น้าเจียงทำอะไรรวดเร็วดี”

 

 

“อืม” เฉิงเจวี้ยนหยิบมีดผ่าตัดขึ้นมาต่อ กดนิ้วชี้ลงบนสันมีดสองทีจากนั้นเอ่ยขึ้นอย่างเนือยๆ ว่า “ก็เร็วดี”

 

 

เฉิงมู่ฟังบทสนทนาของทั้งสองอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้านิ่งเฉยเหมือนเดิม

 

 

แต่ในใจวิพากษ์วิจารณ์สุดฤทธิ์ว่าเจียงหุยเขาจะกล้าชักช้าเหรอ

 

 

หากเขาไม่ทำอะไรเร็วหน่อยละก็ คุณชายเฉิงถล่มได้แม้กระทั่งเมืองหยุนของเขานี้

 

 

……

 

 

ณ ศาลเมืองหยุน

 

 

ฉินหร่านไม่รับสายของหนิงฉิง เธอก็จนปัญญา ได้แต่เดินตามหลังหลินหว่าน

 

 

ชั่วโมงเร่งด่วนของวันทำงานวันนี้ผ่านพ้นไปแล้ว ถนนของเมืองหยุนไม่ติดขัดเท่าไหร่

 

 

ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็เดินทางมาถึงศาลแล้ว

 

 

ทางด้านฉินหร่านไม่มีคนมาเข้าร่วม

 

 

เห็นว่าทางฝั่งของเธอไม่มีทนายความ หนิงฉิงกระวนกระวายขึ้นมาจริงๆ แล้ว

 

 

เธอตัวสั่นระริก ตอนนี้ไม่สนศักดิ์ศรีแล้ว โทรศัพท์ไปหาหลินฉี

 

 

เดินไปด้านข้าง กดเสียงลงต่ำ พูดขึ้นอย่างรีบร้อนว่า “ขอแค่เธอบอก มีทนายความคนไหนยอมทำคดีของฉินหร่าน…”

 

 

บ้านหลินเปิดตลาดการค้าใหม่ ช่วงนี้ยุ่งวุ่นวาย หลินฉีไม่รู้ท่าทีของหลินหว่าน

 

 

ได้ยินหนิงฉิงพูดตะกุกตะกัก จึงพูดเสียงต่ำหลังทำความเข้าใจกับสถานการณ์แล้ว “คุณส่งโทรศัพท์ให้น้องสาวผม”

 

 

“พี่ เรื่องนี้พี่อย่ายุ่ง” หลินหว่านไร้ความเกรงกลัว

 

 

เธอตัดสายไปทันทีแล้วมองหนิงฉิงอย่างราบเรียบ จากนั้นยิ้มเยาะ “ฉันเคยบอกแล้วว่าไม่มีใครกล้าทำคดีของลูกสาวคุณหรอก”

 

 

และในเวลานี้เอง ศาลที่เดิมทีมีเสียงเซ็งแซ่ก็เงียบลง

 

 

ทุกคนมองไปยังทิศทางนั้น

 

 

ณ ปากประตูใหญ่ ผู้ช่วยตำรวจเปิดประตูออก มีหนุ่มวัยรุ่นคนหนึ่งเดินเข้ามา ด้านหลังยังตามด้วยคนสองคน

 

 

เมื่อรับเอกสารที่คนข้างหลังส่งมาให้แล้ว เขาจึงเงยหน้าขึ้นยิ้ม “ผมคือทนายความของคุณฉิน น่าจะไม่ได้มาสายหรอกใช่ไหมครับ”

 

 

ในศาลเงียบสนิท!