ตอนที่ 65 พวกคุณนึกว่าฉันแหย่ได้ง่ายๆ ใช่ไหม

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

ชายหนุ่มก้มหน้ามองนาฬิกาบนข้อมือแวบหนึ่งแล้วระบายยิ้มบาง “เก้าโมงพอดี”

 

 

เขานั่งลงตรงที่นั่ง เปิดเอกสารที่วางไว้บนโต๊ะ จากนั้นมองไปยังผู้พิพากษา พูดอย่างมีมารยาทว่า “เริ่มได้เลยครับ”

 

 

คนบ้านสวี่เชิญทนายความวัยกลางคนคนหนึ่งมา เขาสวมแว่นตามีกรอบ มีความน่ายำเกรงมาก

 

 

แต่ชายหนุ่มตรงหน้าใบหน้าเปื้อนยิ้ม อบอุ่นสะอาดสะอ้าน กิริยาท่าทางสบายๆ จนเรียกได้ว่าสง่าผ่าเผยเหมือนกับดารา

 

 

ไม่ค่อยมีออร่าน่ายำเกรงที่ชัดเจนแบบทนายความบ้านสวี่

 

 

ทนายความวัยกลางคนแสดงหลักฐานแล้วพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ ต่อสู้เพื่อสวี่เซิ่นด้วยเหตุผล กัดเรื่องที่สวี่เซิ่นได้รับบาดเจ็บไว้ไม่ปล่อย

 

 

มือของชายหนุ่มวางไว้บนเอกสาร เงยหน้ามองทนายความวัยกลางคนเป็นครั้งคราว ท่าทางสุภาพ ไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงของสีหน้าที่ชัดเจน

 

 

เขาไม่ได้พูดอะไร

 

 

ทนายความวัยกลางคนแสดงเอกสารต่างๆ เรียบเรียงข้อกฎหมายแต่ละข้ออย่างมีเหตุมีผล

 

 

เขาพูดจนคอแหบแห้ง หลังพูดจบแล้วก็ดื่มน้ำหนึ่งแก้ว จากนั้นพยักหน้าให้ผู้พิพากษา “ท่านครับ ผมอภิปรายจบแล้ว”

 

 

หนิงฉิงจดจ้องชายหนุ่มคนนั้นไว้ มีความไม่แน่นอนเล็กน้อยในใจ

 

 

ชายหนุ่มคนนี้ทำไมถึงไม่พูดสักประโยคเดียว

 

 

เขาเป็นทนายความของฉินหร่านไม่ใช่เหรอ

 

 

ไม่คัดค้านไม่หาเหตุผลเลยเหรอ

 

 

แถมยังหนุ่มขนาดนี้ คงไม่ใช่เป็นทนายความที่ไร้ความสามารถหรอกนะ

 

 

ขณะที่เธอกำลังคิดอยู่ ชายหนุ่มก็ยืนขึ้นในที่สุด เขาไม่ได้แสดงเอกสารอะไร เพียงแค่ระบายยิ้มออกมาก่อน “ได้รับการไหว้วานและการมอบอำนาจจากคุณฉิน ผมจึงเป็นตัวแทนเข้าร่วมการต่อสู้คดีในครั้งนี้ของคุณฉิน ก่อนหน้านี้ผมอ่านเอกสารคดีอย่างละเอียดรอบคอบแล้ว ผมมีข้อสงสัยสามประการต่อหลักฐานความเป็นจริงที่ฝ่ายตรงข้ามเอ่ยถึง”

 

 

“ประการแรก ตามข้อกฎหมาย การทำให้ผู้ซึ่งกำลังกระทำความผิด ฆาตกรรม ปล้นทรัพย์ เรียกค่าไถ่ รวมถึงความรุนแรงซึ่งส่งผลอันตรายต่อความปลอดภัยของบุคคลเกิดการบาดเจ็บหรือเสียชีวิตโดยผิดกฎหมาย ไม่ถือเป็นการป้องกันตัวเกินกว่าเหตุ การป้องกันตัวเกินกว่าเหตุที่ฝ่ายตรงข้ามอ้างถึงนั้นไร้ซึ่งประโยชน์ใดๆ”

 

 

“ประการที่สอง สำหรับ…”

 

 

“ประการที่สาม…”

 

 

ประเด็นของชายหนุ่มแจ่มชัด หลักฐานเพียงพอ เหตุผลชัดเจน ชำนาญภาษา

 

 

ราวกับมีพลังวิเศษที่ชัดเจนอย่างหนึ่ง ดึงดูดความสนใจของทุกคนแม้กระทั่งหลินหว่านมาอย่างไร้ร่องรอย

 

 

คำพูดและโครงสร้างของเขาละเอียดรอบคอบ เห็นได้ชัดว่าเตรียมตัวมาเต็มที่

 

 

ชายวัยกลางคนหาจุดสอดแทรกกระทั่งข้อโต้เถียงไม่ได้เลยสักนิด บนศีรษะผุดเหงื่อเม็ดเล็กขึ้นมาบางๆ

 

 

“ทั้งหมดนี้ ท่านผู้พิพากษาที่เคารพครับ ผมเชื่อว่าท่านต้องได้รับผลอุทธรณ์ที่รอบคอบและเคร่งครัดที่สุดนี้แน่นอน” ชายหนุ่มระบายยิ้ม

 

 

การอภิปรายไม่ถึงยี่สิบนาที เขาก็พาคณะลูกขุนชมการแสดงครั้งใหญ่เสียแล้ว

 

 

ทนายความฝ่ายตรงข้ามถูกคำอภิปรายชุดใหญ่นี้ทำให้มึนไปหมดแล้ว

 

 

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคณะลูกขุน

 

 

การขึ้นศาลครั้งนี้จบลงอย่างรวดเร็วผิดปกติ

 

 

หลินหว่านยังอยู่ในสภาพงงงวย

 

 

ทนายความวัยกลางคนยันโต๊ะแล้วลุกขึ้น เขาจ้องมองใบหน้าที่คุ้นตาเล็กน้อยของชายหนุ่ม “ไม่ทราบว่าคุณ…คุณคือ…”

 

 

“ชีเฉิงจวินของสำนักทนายความจวินฝานแห่งเมืองจิงครับ” ชายหนุ่มเก็บเอกสารเรียบร้อยแล้วเอียงศีรษะ เอ่ยขึ้นอย่างสุภาพสุดๆ

 

 

ความสามารถซึ่งเปิดเผยออกมาในตอนที่พูดเมื่อครู่ราวกับภาพลวงตา

 

 

เมืองหยุนและเมืองจิงห่างกันไม่ไกล ทนายความของที่นี่ต่างจบการศึกษาจากเมืองจิงเป็นส่วนใหญ่

 

 

ผู้ที่ทำงานด้านกฎหมาย ไม่มีใครไม่รู้จักชีเฉิงจวินที่มีชื่อเสียงขึ้นมาอย่างรวดเร็วในเมืองจิง

 

 

เมื่อครู่หลินหว่านยังรู้สึกว่าชายหนุ่มคนนี้ดูคุ้นตา ตอนนี้พอฝ่ายตรงข้ามพูดออกมา เธอก็ล้มนั่งลงบนเก้าอี้

 

 

รอบข้างไม่มีใครพูดอะไร สีหน้าของหลินหว่านซีดเผือดทันที

 

 

ชีเฉิงจวิน?

 

 

ไม่คิดว่าเป็นเขาจริงๆ

 

 

ในเมืองจิงชีเฉิงจวินได้รับการยอมรับว่าเก่งกาจไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงหรือความสามารถ

 

 

เขาเป็นทนายที่ปรึกษาของบริษัทใหญ่โตหลายแห่ง

 

 

ตอนนั้นบ้านเสิ่นเสียแรงเยอะแค่ไหนเพื่อเชิญชีเฉิงจวิน แต่ตอนนี้เธอกลับเห็นชีเฉิงจวินในเมืองหยุนที่ยังไม่นับเป็นเมืองระดับสองด้วยซ้ำ

 

 

หากเถ้าแก่บ้านเสิ่นรู้เข้าละก็…

 

 

หลินหว่านตัวสั่นระริก จู่ๆ เธอก็รู้ตัวว่าคราวนี้เธอทำพลาดไปแล้วจริงๆ!

 

 

……

 

 

ยามเย็น ณ ห้องพยาบาลโรงเรียน

 

 

“ตั้งนาฬิกาปลุกแล้ว อย่าลืมทานยาด้วย” เฉิงเจวี้ยนเอียงตัวพิงโซฟา ส่งโทรศัพท์ไปให้ฉินหร่าน “ให้เฉิงมู่ขับรถไปส่ง…”

 

 

ฉินหร่านรับโทรศัพท์มาแล้วยิ้ม พูดอย่างสบายๆ ว่า “ไม่เป็นไร ฉันโบกรถไปก็พอ”

 

 

เธอจะไปเยี่ยมเฉินซูหลานที่โรงพยาบาล อันที่จริงเธอไม่อยากไปหรอก

 

 

แต่จู่ๆ เฉินซูหลานโทรศัพท์หาเธอ บอกว่าอยากพบเธอ

 

 

หากฉินหร่านปฏิเสธอีก คุณยายก็น่าจะสงสัยแล้ว เธอสวมเสื้อโค้ตแขนยาวแล้วเตรียมไปโรงพยาบาล

 

 

เฉิงเจวี้ยนไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่มองเธอแวบหนึ่ง แววตานั้นเย็นเฉียบราวกับทะเลสาบลึก ทำให้เดาความคิดของเขาไม่ออก

 

 

“งั้นระวังตัวด้วย” เฉิงเจวี้ยนไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

 

 

อย่างกับเขาจะจับตัวเด็กขึ้นรถไปอย่างไรอย่างนั้น

 

 

รอให้ฉินหร่านจากไปแล้ว ลู่จ้าวอิ่งถึงจะชะโงกหน้ามา พูดเสียงเบาว่า “นายว่าแขนของหล่อนขยับไม่ได้แล้ว ยังจะทำเท่ขนาดนี้ทำไม อ้อนพวกเราสักหน่อยไม่ได้เหรอ เฮ้อ”

 

 

พอนึกถึงหนิงฉิง ลู่จ้าวอิ่งก็หงุดหงิดอีกครั้ง

 

 

แต่พอคิดดูแล้ว มีแม่แบบนี้ เธอยังจะไปแสดงความอ่อนแอให้ใครได้…

 

 

เฉิงเจวี้ยนมองเขาแวบหนึ่ง อารมณ์ไม่ค่อยดี “ไสหัวไปไกลๆ เลย”

 

 

จบแล้วก็กระตุกคอเสื้อ พูดขึ้นอย่างรำคาญว่า “แล้วชีเฉิงจวินล่ะ ให้เขามาที่นี่”

 

 

นอกประตูโรงเรียน

 

 

ฉินหร่านย่อตัวลงนั่งรอรถอยู่ข้างทาง

 

 

มือซ้ายถือโทรศัพท์เปิดดูนาฬิกาปลุก

 

 

มือของเธอทายาลดการอักเสบและยาสมานแผลหลายตัว คุณหมอยังจ่ายยาใช้ภายในให้สองชนิด เพียงแต่เธอไม่ค่อยนึกจะกิน

 

 

เธอไม่สนใจเรื่องพวกนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว นึกขึ้นได้ก็กิน ไม่กินก็ไม่ตาย

 

 

เฉิงเจวี้ยนรู้สึกว่าความคิดของเธอไม่ดีเท่าไร

 

 

เมื่อครู่จึงให้เธอกลับไปเอาขวดยาที่หอแล้วเทออกมาตั้งใจนับจำนวนยาที่เหลืออยู่ทีละขวด พบว่าเธอกินยาขาดไปหกเม็ด

 

 

จึงหยิบโทรศัพท์ตั้งนาฬิกาปลุกให้เธอ ชัดเจนแจ่มแจ้งว่าทานยาเมื่อไหร่และทานยาอะไร

 

 

รถมาถึงแล้ว

 

 

ฉินหร่านเก็บโทรศัพท์

 

 

ครึ่งชั่วโมงต่อมา เดินทางมาถึงโรงพยาบาล

 

 

ฉินหร่านเพิ่งถึงอาคารพักผู้ป่วยก็เห็นหนิงฉิงและหลินหว่านที่อยู่ตรงโซนชำระเงิน

 

 

“หรานหร่าน” หนิงฉิงเห็นเธอแล้วรีบโบกมือให้

 

 

หลินหว่านกำลังครุ่นคิดธุระอะไรอยู่ ได้ยินเสียงก็เงยหน้าขึ้นเช่นกัน ปกติเธอไม่ค่อยมองฉินหร่านตรงๆ แต่คราวนี้เธอระบายยิ้มให้ฉินหร่านอย่างหาพบได้ยาก

 

 

“น้าของลูกกำลังจ่ายค่าห้องพักให้ยายลูกอยู่” หนิงฉิงเดินเข้ามาจับมือของฉินหร่าน

 

 

แต่ฉินหร่านหลบ

 

 

ท่าทางของหนิงฉิงชะงักกึก

 

 

ฉินหร่านเงยหน้าเหลือบมองทั้งสองแวบหนึ่ง

 

 

“สำหรับเรื่องของสวี่เซิ่นนั้น เธอก็อย่าโกรธฉันเลย” แต่หลินหว่านเคยผ่านเรื่องราวใหญ่โตมา สีหน้าไม่อึดอัดเลยสักนิด พอพูดถึงตรงนี้ก็เปลี่ยนประเด็นไป “คนบ้านเดียวกัน อยู่ร่วมกันอย่างเป็นมิตรจะนำพาโชคลาภมา ค่าใช้จ่ายที่พี่ชายของฉันจ่ายไปคราวก่อนหมดแล้ว ฉันเลยมาจ่ายค่าพยาบาลให้ยายเธอ…”

 

 

เธออยากใช้วิธีนี้เกลี้ยกล่อม…หรือจะกล่าวได้ว่าขู่บังคับให้ฉินหร่านยอมความ

 

 

ฉินหร่านจ้องหลินหว่านแล้วหรี่ตาลง หัวเราะเสียงเบา “ฉันให้คุณยายมาเมืองหยุนเพื่อให้คุณดูแล ไม่เคยยุ่งเรื่องของคุณยายมาก่อน ฉันอาจจะยอมหลีกทางสำหรับเรื่องของคุณยายมากเกินไป ทำให้พวกคุณเกิดประสาทหลอน พวกคุณนึกว่าฉันจะถูกบังคับให้เชื่อฟังพวกคุณ ปล่อยให้พวกคุณคอยชักใยจริงๆ เหรอ”

 

 

เธอยัดโทรศัพท์กลับเข้ากระเป๋าแล้วดึงบัตรเครดิตใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋า

 

 

พูดขึ้นอย่างไม่หันศีรษะว่า “รบกวนชำระเงินห้อง 1102 ค่ะ”