ตอนที่ 66 คุณหนูฉินคนนั้นเป็นคนวิเศษวิโสมาจากไหน

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

เวลานี้พยาบาลยังไม่เลิกเวร กำลังนั่งอยู่ที่แคชเชียร์ พอรับบัตรมาแล้วก็ชะงักงัน

 

 

ชั้นที่สิบเอ็ดในอาคารพักผู้ป่วยนี้ล้วนเป็นห้องพักผู้ป่วยพิเศษระดับวีไอพีทั้งนั้น ผู้ที่พักอยู่ถ้าไม่ใช่คนมีเงินก็เป็นคนมีอิทธิพล นางพยาบาลเห็นพวกบอดีการ์ดกับพวกพ่อบ้านจนชินตาแล้ว

 

 

เธอได้สติขึ้นมาแล้วถามว่า “ไม่ทราบว่าต้องการจ่ายสำหรับระยะเวลาเท่าไหร่คะ”

 

 

อาคารพักผู้ป่วยนี้ต่างมีพยาบาลเฉพาะด้านคอยดูแลทุกห้อง แค่ค่าพยาบาลในการพักค้างคืนก็อยู่ที่สามหมื่นเจ็ดต่อเดือน บวกกับค่ายา ค่าอุปกรณ์ทางการแพทย์และค่าตรวจสองสามวันต่อหนึ่งครั้ง ฉะนั้นอย่างน้อยก็ต้องห้าหมื่นขึ้นไปต่อเดือน

 

 

ฉินหร่านพูดอย่างเนือยๆ ว่า “หนึ่งปี”

 

 

ค่ารักษาพยาบาลสำหรับหนึ่งปี รวมแล้วเป็นเงินสี่แสนกว่าเลยทีเดียว พยาบาลรูดบัตรเสร็จ ก็ให้ฉินหร่านกดรหัสบัตร จากนั้นจึงออกใบเสร็จให้

 

 

เมื่อจ่ายเงินไปแล้ว ฉินหร่านก็หยิบใบเสร็จ หมุนตัวเดินไปยังห้องพักผู้ป่วยของเฉินซูหลาน

 

 

หลินหว่านกับหนิงฉิงยืนอยู่ในที่ไม่ไกลกันนัก ต่างนิ่งอึ้งไปทันที

 

 

ในขณะที่เหม่อลอยอยู่นั้น หนิงฉิงเหมือนจะมองเห็นฉินหร่านที่มีกลิ่นอายชั่วร้ายและใช้ก้อนอิฐทุบตีคนตามที่บรรยายไว้ในเอกสารข้อมูล

 

 

ชื่อเสียงเรียงนามแหย่ไม่ได้ของฉินหร่านนี้ไม่ใช่เล่นๆ หากเอาจริงขึ้นมา น้อยคนในโรงเรียนที่กล้าจะหาเรื่องเธอ ออร่าแรงเกินไป หลินหว่านและหนิงฉิงสองคนมองแล้วไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ

 

 

ในห้องพักผู้ป่วยของเฉินซูหลาน คุณหมอถือประวัติคนไข้ไว้แล้วถามไถ่อาการก่อนเลิกเวร

 

 

ฉินหร่านเองก็ไม่ได้รบกวน ยืนอยู่ที่ปลายเตียง เอียงศีรษะเล็กน้อย ฟังคำวินิจฉัยของคุณหมออย่างตั้งใจ

 

 

รอจนคุณหมอจากไปแล้วฉินหร่านถึงจะลากเก้าอี้ตัวเตี้ยๆ ตัวหนึ่งมานั่งอยู่ที่ข้างเตียง จากนั้นรินน้ำให้เฉินซูหลาน

 

 

แขนเสื้อโค้ตที่เธอใส่วันนี้ยาวมาก ตอนที่ไม่ได้ม้วนขึ้น สามารถคลุมไปถึงมือ มือขวาถูกแขนเสื้อบังไว้ มองไม่เห็นผ้าพันแผล

 

 

เฉินซูหลานแค่ยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติ เหมือนกับไม่รู้ว่ามือของฉินหร่านได้รับบาดเจ็บ

 

 

“พักนี้นอนหลับสบายดีไหม” เฉินซูหลานลูบศีรษะของเธอ พลางถามเสียงเบา

 

 

ฉินหร่านนอนหลับไม่ค่อยเพียงพอในสองวันแรกจริงๆ นั่นแหละ อาจเป็นเพราะเหนื่อยเกินไป แต่จากเมื่อวานเป็นต้นมาก็นอนหลับเต็มอิ่มกว่าแต่ก่อนมาก มือซ้ายของเธอค้ำเตียงไว้ พูดคุยจิปาถะกับเฉินซูหลานแล้วผล็อยหลับไปอย่างไม่รู้ตัว

 

 

รอจนเธอหลับไปแล้ว เฉินซูหลานถึงเก็บรอยยิ้ม

 

 

เธอค่อยๆ เลิกผ้าห่มออกแล้วลงจากเตียง โบกมือให้พยาบาลที่จะเข้ามาช่วยออกไป จากนั้นจึงย่อตัวลงข้างกายฉินหร่าน ดึงแขนเสื้อที่ห้อยตกของเธอขึ้น มือขวาซึ่งถูกปิดไว้จึงได้ปรากฏออกมา

 

 

พันผ้าพันแผลไว้ชั้นแล้วชั้นเล่า

 

 

เฉินซูหลานมองดูเงียบๆ พักใหญ่

 

 

เธอรู้ดีว่าฉินหร่านเป็นคนอย่างไร ปล่อยให้ตัวเองใช้ชีวิตแย่ๆ สมัยเด็กเธอไปต่อยตีกับใคร ไม่ว่าได้รับบาดเจ็บตรงไหนฉินหร่านก็ไม่แคร์ หากไม่ใช่เพราะเธอไปพบเข้าเป็นครั้งคราว ฉินหร่านก็ไม่เคยพูดถึงบาดแผลเหล่านั้นเลย

 

 

ต่อให้พันแผลแล้วเลือดซึมอีกก็เป็นเรื่องปกติ

 

 

ไม่เหมือนฉินอวี่ หกล้มร้องไห้แล้วยังมีหนิงฉิงกับฉินฮั่นชิวคอยปลอบอยู่ตั้งนาน

 

 

มือข้างขวาของฉินหร่านพันผ้าพันแผลไว้รอบหนึ่ง เฉินซูหลานรู้ว่ายังเย็บไปหลายเข็ม รู้สึกย่ำแย่ในใจ ผ่านไปไม่กี่วินาที เฉินซูหลานก็เห็นถึงความผิดปกติ

 

 

บาดแผลนี้สะอาดสะอ้าน ไม่มีรอยเลือดซึมออกมาแม้แต่น้อย

 

 

ดูก็รู้ว่าได้รับการดูแลอย่างดี ไม่เหมือนกับที่เฉินซูหลานคิดไว้แม้แต่นิดเดียว

 

 

เฉินซูหลานมองผ้าพันแผลที่สะอาดนี้แล้วครุ่นคิด

 

 

……

 

 

ณ บ้านหลิน

 

 

หนิงฉิงและหลินหว่านจ่ายค่ารักษาพยาบาลไม่สำเร็จ และไม่กล้าไปเยี่ยมเฉินซูหลาน เธอจึงกลับบ้านหลินตามหลังหลินหว่านอย่างเงียบๆ

 

 

ในใจของเธอสับสนมาก

 

 

วันนี้หลินฉีปัดงานประชุมไปหลายงานจึงกลับบ้านมาเร็ว

 

 

เขาคิดถึงไม่ถึงว่าคดีของฉินหร่านจะขึ้นศาลเร็วขนาดนี้ กระทั่งผลพิจารณาคดีก็ออกมาแล้ว แต่ในความเป็นจริงการยื่นเรื่องต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองสัปดาห์ในการตรวจสอบคดี

 

 

สายตาของเขาหยุดอยู่ที่ร่างของหลินหว่าน ปลายนิ้วเกี่ยวฝาปิดถ้วยชา เอ่ยถามเสียงขรึมว่า “วันนี้เธอเป็นอะไร”

 

 

“พี่ ฉันนึกว่า…” หลินหว่านคิดมาตลอดว่าฉินหร่านเป็นแค่เด็กม.6 ที่ฐานะการเงินไม่ดี เมื่อก่อนเธอเลยไม่เห็นเธออยู่ในสายตา

 

 

แต่ใครจะรู้ว่าเรื่องราวจะกลายมาเป็นแบบนี้ได้?

 

 

“ฉันเคยบอกไปแล้วว่าควรจัดการกับความคิดเห็นของหรานหร่านอย่างไร” หลินฉีวางถ้วยชาไว้บนโต๊ะ เสียงดังปั้ง ดวงตาประจักษ์ชัด “ที่นี่คืออวิ๋นเฉิง ไม่ใช่จิงเฉิงของพวกเธอ อะไรคือมีเธออยู่ก็จะไม่มีทนายความคนไหนรับทำคดีของหรานหร่าน หลินหว่าน เธอลองฟังดูสิ คำพูดนี้เหมือนคำพูดที่ผู้ใหญ่พูดไหม ฮะ!”

 

 

เขาเป็นนักธุรกิจ แต่ทำอะไรเด็ดขาดตรงไปตรงมาโดยตลอด ถ่อมเนื้อถ่อมตัวมากแม้กระทั่งการพูดจา

 

 

น้อยครั้งที่จะโกรธขนาดนี้

 

 

คนใช้ไม่กล้าแม้แต่หายใจแรง

 

 

หลินหว่านไม่ได้โดนหลินฉีตำหนิเช่นนี้มาหลายปีแล้ว แทบจะไม่ไว้หน้าเธอเลย หน้าของหลินหว่านแดงก่ำไปชั่วขณะ

 

 

หลินฉีเบนสายตาไปยังร่างของหนิงฉิง “คุณก็อีกคน คุณเข้ามายุ่งด้วยทำไม นั่นลูกสาวคุณนะ ไม่ใช่ศัตรูของคุณ คุณไม่เชื่อแม้แต่ลูกตัวเอง มีแม่แบบคุณด้วยเหรอ”

 

 

“หลินหว่าน พรุ่งนี้เธอก็ช่วยฉันเก็บข้าวของกลับจิงเฉิงเลยแล้วกัน!” เขาโมโหจนปวดหัว และขี้เกียจจะคุยเรื่องไร้สาระกับผู้หญิงสองคนนี้แล้ว

 

 

หยิบโทรศัพท์ขึ้นชั้นบนแล้วโทรศัพท์หาฉินหร่าน

 

 

หลินจิ่นเซวียนเม้มริมฝีปาก ก้มหน้ามองโทรศัพท์

 

 

สองวันมานี้เขาโทรศัพท์หาฉินหร่าน ไถ่ถามเรื่องราวบางอย่าง เธอพูดจาค่อนข้างดี แต่ไม่ได้บอกว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับตัวเอง จนตอนนี้เขาเพิ่งจะรู้ว่ามือของฉินหร่านเย็บไปหลายเข็ม

 

 

เขาขึ้นชั้นบนไปเปลี่ยนชุดลำลองด้วยสีหน้าเรียบเฉยแล้วหยิบกุญแจรถ

 

 

เมื่อครู่หลินฉีกำลังคุยโทรศัพท์กับฉินหร่าน เห็นกุญแจรถในมือของเขาก็รู้สึกประหลาดใจ “จะไปเยี่ยมหรานหร่านเหรอ”

 

 

ลูกชายของเขาคนนี้ดูเฉยเมยมาแต่ไหนแต่ไร หนิงฉิงแต่งเข้าบ้านหลินมาตั้งหลายปี ยังไม่เคยได้ยินเขาเรียกว่าแม่สักครั้ง

 

 

แม้แต่ฉินอวี่ก็ยังต้องใช้เวลาหลายปีกว่าให้เขาเปลี่ยนคำเรียกได้

 

 

หลินจิ่นเซวียนพยักหน้าแล้วขมวดคิ้ว นึกถึงท่าทีนิ่งเงียบของเธอในสถานีตำรวจเมื่อคืนวันนั้น “ไม่รู้ว่ามือของเธอเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”

 

 

“รอก่อน” หลินฉีครุ่นคิดแล้วไปหยิบบัตรเครดิตที่ห้องทำงานออกมา “รหัสคือเลขศูนย์หกตัว แกเอาไปให้หรานหร่านใช้ได้ตามสบายเลย”

 

 

หลินจิ่นเซวียนพยักหน้า

 

 

ฉินอวี่กำลังฝึกเล่นไวโอลินอยู่ แต่ที่จริงแล้วสติล่องลอยอยู่ล่างตึก ตอนที่ฉินจิ่นเซวียนลงไปชั้นล่าง เธอก็ดึงประตูห้องไวโอลินออก

 

 

“พี่คะ พี่จะไปไหน” ฉินอวี่ถือคันชักไวโอลินออกมาด้วย หัวเราะพลางพูดว่า “ฉันกำลังฝึกเล่นเพลงใหม่ ตอนนี้คล่องขึ้นเยอะแล้ว พี่จะฟังไหมคะ…”

 

 

ช่วงนี้หลินจิ่นเซวียนชอบฟังเธอเล่นไวโอลินมาก

 

 

“ไม่ล่ะ ฉันเพิ่งจะตกลงกับฉินหร่านว่าจะไปหาเธอที่โรงเรียน” หลินจิ่นเซวียนยักคิ้ว พูดเสียงเบามาก

 

 

ฉินอวี่จับคันชักไวโอลินไว้แน่น แต่แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ “อ๋อ…”

 

 

……

 

 

ณ ห้องพยาบาลในโรงเรียน

 

 

ชีเฉิงจวินวางเอกสารลงแล้วมองประเมินสถานที่แห่งนี้ อยากจะดูว่าที่นี่มีเวทมนตร์อะไรกันแน่ ถึงสามารถทำให้เฉิงเจวี้ยนเดินทางมาแต่ไกล

 

 

เฉิงเจวี้ยนพิงโต๊ะอย่างเกียจคร้าน นิ่งเงียบและจดจ่อกับหุ่นมนุษย์ ใบหน้าที่ก้มลงแลดูเหมือนกับภาพวาด

 

 

“สหาย พวกเราต่างก็รู้ใจกัน เมื่อวานฉันเพิ่งจะโทรไปหา วันนี้นายก็ขึ้นเครื่องบินมาเลยนะ” ลู่จ้าวอิ่งตบไหล่ชีเฉิงจวินแล้วหัวเราะ

 

 

ชีเฉิงจวินขมวดคิ้วแล้วหลบมือของเขาอย่างรังเกียจสุดๆ “ไปให้พ้น ใครมันไปรู้ใจแกกัน”

 

 

แต่คิดดูแล้ว ก็หันไปมองเฉิงเจวี้ยน “เฉิงเจวี้ยน คุณหนูฉินคนนั้นเป็นคนวิเศษวิโสจากไหนกันแน่”

 

 

เฉิงเจวี้ยนโยนมีดผ่าตัดลงบนโต๊ะ เอียงศีรษะเล็กน้อย นึกว่าตนเองฟังผิดไป “อะไรนะ”

 

 

“วิเศษอะไรกัน ก็แค่เด็กน้อยน่าสงสารคนหนึ่ง” ลู่จ้าวอิ่งส่งเสียงฮึเบาๆ “แถมยังอ้อนไม่เป็นอีก”

 

 

“เอ๊ะ ไม่สิ…” ชีเฉิงจวินชะงัก “งั้นสำนักงานหนักสืบ 129 จะมาเชิญฉันด้วยตัวเองแล้วให้ฉันมาอวิ๋นเฉิงเพื่อคลี่คลายคดีนี้ทำไม”