บทที่ 64: การพบกันอย่างเป็นทางการครั้งที่ 1

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

บทที่ 64: การพบกันอย่างเป็นทางการครั้งที่ 1

“แล้วเหตุใดเราจึงต้องรีบเช่นนี้ด้วยเล่า?” ชายสูงวัยปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง

“รอดูไปก่อนว่าทางรัฐบาลจะจัดการกับความยุ่งเหยิงภายในเมืองเป่าอันอย่างไร….สิ่งนี้จะเป็นตัวบอกเองว่าเราควรจะทำอะไรต่อ นอกจากนี้ นี้จะเป็นการเปิดเผยระดับของการป้องกันที่พวกเขาจะใช้กับพวกเราด้วยเช่นกัน…จงเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง…บอกนางด้วยว่าหากนางไม่อยากจะถูกขังอยู่ในเส้นทางของผีเร่ร่อนผู้หิวโหย นางจะต้องเรียนรู้ที่จะรอ”

ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา

หลังจากผ่านไปไม่นาน น้ำเสียงเย็นยะเยือกก็ดังขึ้น แตกต่างจากเสียงที่พูดก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง “เราต่างเวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสาร [1] มาเป็นเวลาหลายพันปี และข้าก็มิอาจปักใจเชื่อได้ว่าในแดนมนุษย์นั้นมีสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังกว่าเรา!”

ชายชราหัวเราะเบา ๆ “เจ้าลืมเรื่องที่เมืองชิงซีไปแล้วหรือ?”

“นางน่ะหรือ?” เสียงนั้นเอ่ยออกมาอย่างเย้ยหยัน “มันไม่ใช่ว่าข้าดูถูกเหล่าตุลาการนรก แต่ตอนที่พวกเราต้องถูกทำให้เข้าสู่วงจรแห่งวัฏสงสาร นางยังไม่เกิดด้วยซ้ำ”

ชายชราไล่นิ้วไปตามขอบของถ้วยชา “พวกตุลาการนั้นหาได้น่ากลัวไม่ สิ่งที่น่ากลัวก็คือความเป็นไปได้ที่อื่น ๆ เองก็จะยังมีคนรอดชีวิตเช่นกัน เพราะหากผู้ที่อยู่ขั้นตุลาการสามารถรอดมาจากการล่มสลายครั้งใหญ่ครั้งนั้นได้ เจ้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่ามันจะไม่มีฝู่จวินตนใดที่แข็งแกร่งพอ ๆ กับเรารอดชีวิตมาได้เช่นกัน?”

“เจ้าลืมความเจ็บปวดที่พวกเราได้รับภายใต้พิภพทั้ง 6 ไปแล้วอย่างนั้นหรือ? เจ้าลืมความทรมานจากการต้องจมอยู่ในน้ำมันเดือด หรือการถูกเข็มนับหมื่นเล่มทิ่มแทงดวงวิญญาณในทุก ๆ วันไปแล้วหรือ? เจ้าอยากที่จะประสบกับความทรมานพวกนี้ไปอีกหลายพันปีหรืออย่างไร?”

“จงอย่าลืมมันแม้แต่อย่างเดียว หากพวกยมทูตที่มีพลังขั้นเดียวกับพวกเราปรากฏตัวขึ้น ชะตากรรมของพวกเราก็จะถูกปิดผนึกทันที!”

ทุกอย่างเงียบลงอีกครั้ง

ในท้ายที่สุด ก็เป็นน้ำเสียงเย็นยะเยือกที่เอ่ยขึ้นมาอีกครั้งว่า “ไม่แปลกใจที่ชายคนนั้นที่อยู่ในเสฉวนถึงขาดการติดต่อไปอีกครั้ง ทั้ง ๆ ที่เขาได้เตรียมการทั้งหมดไว้เรียบร้อยแล้ว”

“ใช่…” แววตาของชายสูงวัยวูบไหวเล็กน้อย “มีเพียงแค่พวกเรา คนแก่หัวโบราณทั้งหลาย ที่รู้ดีที่สุดว่านรกหมายถึงอะไร…พวกภูตผีสมัยนี้ไม่รู้อะไรเลยสักนิด…พวกมันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าขีดจำกัดของตัวเองอยู่ตรงไหน…”

ร่างทั้งร่างของเขาสั่นเทาเล็กน้อย “ทหารหยินหลายแสนล้านตน พระยมแห่งพระตำหนักทั้งสิบ ราชันย์วิญญาณทั้งหก…ข้าไม่คิดว่าพวกนั้นจะยังมีชีวิตอยู่อีกต่อไป…”

พระพุทธรูปทองไม่ได้เอ่ยอะไรอีก

ชายชราเองก็เงียบไปเช่นกัน

หลังจากนั้นประมาณสิบนาที เสียงไก่ขันก็ดังขึ้นให้ได้ยินจากจุดที่อยู่ห่างออกไป ชายชราลุกยืนขึ้นและค่อยๆเดินออกจากวัดไป

ต้อนรับแสงแรกแห่งรุ่งอรุณ

เมื่อแสงแดดยามเช้าสาดส่องเข้ามาภายใน เผยให้เห็นอย่างชัดเจน…ว่าหอแห่งความแข็งแกร่งนั้นเต็มไปด้วยคราบเลือดที่สาดกระเซ็นไปทั่วอย่างน่ากลัว ตั้งแต่คานไปถึงเสา ตำแหน่งเดียวที่ปราศจากคราบเลือดมีเพียงพระพุทธรูปทองคำเท่านั้น

เนื่องจากระยะเวลาที่ผ่านมาเนิ่นนาน คราบเลือดพวกนั้นก็ได้เปลี่ยนเป็นสีม่วงเข้มเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ที่แย่ที่สุดก็คือมีร่างของพระสงฆ์ในชุดจีวรที่มีเลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ดห้อยลงมาจากคานที่อยู่ถัดจากเสาอย่างน่าสะพรึงกลัว!

……………………………

ดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าในที่สุด

ในเวลานี้ ฉินเย่รู้สึกผ่อนคลายเป็นอย่างมาก ในที่สุดปมในใจของเขาก็คลายออก เหตุการณ์ในเมืองเป่าอันเองก็ถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว แม้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานจะมีผู้คนมากมายพบเห็น และทั้งเมืองก็ลงเอยด้วยความยุ่งเหยิง แต่เรื่องพวกนี้ก็แทบจะไม่ใช่สิ่งที่เขาให้ความสนใจเลยสักนิด

และท้องถนนในวันนี้เงียบสงบอย่างไม่น่าเชื่อ

ไม่เพียงแต่รถยนต์บนท้องถนน แต่ความวุ่นวายของผู้คนที่รีบออกจากบ้านในตอนเช้าเองก็ไม่มีให้เห็นเช่นกัน ฉินเย่เหลือบมองนาฬิกาของตน ตอนนี้เป็นเวลา 07.00 น. แล้ว

แต่บนถนนกลับไม่มีใครลงมาเดินสักคน

หากพูดกันตามจริง มันยังมีร่องรอยของการต่อสู้เมื่อคืนหลงเหลืออยู่เต็มไปหมด แม้กระทั่งรถทหารเองก็ยังไม่ได้เคลื่อนย้ายไปไหน เมื่อเด็กหนุ่มเงยหน้ามองด้านบน ฉินเย่ก็พบว่ามีผู้คนจำนวนมากกำลังจับกลุ่มอยู่ภายในละแวกบ้านของตนและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อถ่ายรูปเหตุการณ์ที่น่าเศร้านั้นจากด้านนอกของถนน

“ทางกองทัพเริ่มถอนกำลังแล้ว แต่ทางฝั่งของรัฐบาลกลับยังไม่วางมาตรการรักษาความปลอดภัยเพื่อทำให้ทุกอย่างกลับคืนสู่สภาวะปกติ…” แววตาของฉินเย่สั่นไหวเล็กน้อยขณะที่เขาอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง

“หรือว่าพวกเขา….เตรียมจะเปิดเผยทุกอย่างให้สาธารณชนได้รับรู้?!”

การเปิดเผยความจริง!

“มีความเป็นไปได้สูงมาก” ซากปรักหักพังบนท้องถนนได้ทำให้บรรยากาศโดยรอบเคร่งขรึมขึ้น ต้นไม้ขนาดใหญ่ล้มลง ในขณะที่เสาไฟบนถนนบางจุดพักเป็นสองส่วน มันไม่มีทางที่สิ่งเหล่านี้จะสามารถทำให้กลับคือสู่ปกติได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง!

นอกจากนี้…ผู้คนพบเห็นการเกิดของเหตุการณ์เหนือธรรมชาติจะต้องมีจำนวนมากกว่าหนึ่งหรือสองคนแน่ ๆ อันที่จริง มันน่าจะมีอย่างน้อยประมาณหมื่นคนด้วยซ้ำ!

หากมันไม่สามารถปิดบังได้ ทางรัฐบาลก็คงเลือกที่จะเปิดเผยมันสู่สาธารณะแทน!

แววตาของฉินเย่เคร่งขรึมขึ้น หากหน่วยสอบสวนพิเศษแห่งชาติตั้งใจยกระดับการป้องกัน มันก็มีแนวโน้มว่าเมืองเป่าอันจะตกสู่สภาวะกดดันสูงและทุกอย่างก็จะถูกตรวจสอบทั้งหมด! เขาไม่รู้แน่ชัดว่าทางหน่วยสอบสวนพิเศษแห่งชาติวางแผนที่จะทำอะไรต่อไป แต่เขารู้ดีว่าตัวเองคงจะต้องถูกวางไว้ในจุดที่ค่อนข้างละเอียดอ่อนเป็นแน่!

เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะเรียกแท็กซี่ได้ในเวลานี้ เมื่อมองรอบ ๆ แล้วพบว่าไม่มีคนอื่นอยู่ในละแวกนั้น ฉินเย่จึงรีบวิ่งที่โรงแรมทันที ขณะที่วิ่ง…เขาก็ไถหน้าจอโทรศัพท์ไปด้วย

ไม่มีสัญญาณ

โทรศัพท์ของเขาไม่มีสัญญาณเลยสักนิด เด็กหนุ่มขมวดคิ้วเข้าหากันมากกว่าเดิม

แย่แน่…

โทรศัพท์ของเขาไม่ได้มีปัญหาอะไร อันที่จริงเขาค่อนข้างมั่นใจว่ามันน่าจะเป็นฝีมือของหน่วยสอบสวนพิเศษแห่งชาติแน่ ๆ ที่ปิดกั้นสัญญาณโทรศัพท์เอาไว้

และความขัดข้องนี้ก็ไม่ใช่ผลที่เกิดจากการขัดข้องของกลไก แต่มันคือการป้องกันไม่ให้คนในเมืองเปิดเผยเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้ผู้คนที่อยู่ภายนอกได้รับรู้

ในเวลานี้ เว็บไซต์เพียงเว็บเดียวที่ยังสามารถเข้าถึงได้ก็คือ เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของเมืองเป่าอันเอง

อย่างไรก็ตาม บนหน้าเว็บกลับไม่มีข้อมูลอะไรปรากฏเลยสักนิดในเวลานี้ แม้แต่ข้อมูลพื้นฐานทั่วไปก็ไม่มีให้เห็น สิ่งเดียวที่ปรากฏอยู่มีเพียงการประกาศที่ถูกเขียนด้วยตัวอักษรขนาดใหญ่ว่า

“เมื่อคืนที่ผ่านมาได้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น ประชาชนทุกคนโปรดอยู่ในความสงบและอย่าตื่นตระหนก ทางรัฐบาลจะตอบคำถามทั้งหมดภายในอีกสามวันหลังจากนี้”

ตอบคำถามทั้งหมด?

ฉินเย่รู้สึกได้เลยว่าหางตาของเขากระตุกเล็กน้อย

ไม่…ดูเหมือนว่าเขาน่าจะหาทางเอาตัวรอดยากขึ้นกว่าเดิมเสียแล้ว…

แทบจะเหมือนกับว่าเขากำลังเผชิญหน้ากับคนของรัฐบาลทั้งองค์กร…มันคงจะดีกว่าหากเขาจะทำตัวให้ไม่เป็นจุดสนใจ…

ทว่าเมื่อเขาเดินเลี้ยวที่หัวมุมแห่งหนึ่ง ฝีเท้าที่กำลังก้าวเดินอยู่เป็นต้องหยุดชะงัก

นายหอยทอดกับคุณหนูไฮโซ [2]

ความรักนั้นมาเร็วดั่งพายุหมุน…[3]

มันเป็นถนนสายเล็กที่ทอดตัวอยู่ในเงามืดระหว่างอาคารสองหลัง ชายในชุดสูททรงตรงยืนเอามือไพล่หลังกำลังยืนรอฉินเย่อยู่กลางถนน

“คุณฉิน” อีกฝ่ายยิ้มบางเบาก่อนที่ฉินจะทันได้เอ่ยอะไร “ผมชื่อจางเชิงไห่ เป็นเจ้าหน้าที่พิเศษของหน่วยสอบสวนพิเศษแห่งชาติประจำเมืองเป่าอัน….”

ทว่าก่อนที่จางเชิงไห่จะเอ่ยแนะนำตัวจบ เขาก็ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างประหลาดใจว่า “ขั้นนักล่าวิญญาณเหรอ?”

“คุณ…อยู่ขั้นนักล่าวิญญาณเหรอ?”

อาร์ทิสที่ได้ยินเช่นนั้นเอ่ยออกมาอย่างตกตะลึง “เป็นไปได้อย่างไร? เขารู้ได้อย่างไร? ทั้งที่พลังหยินของเจ้าถูกปกปิดโดยเศษตราจ้าวนรก และเจ้ายังเปลี่ยนเสื้อผ้าและสวมหน้ากากแล้วด้วย…นี่ถือเป็นการปลอมตัวชั้นยอดเมื่อไม่กี่ศตวรรษที่ผ่านมาเลยนะ….”

ท่านจะพูดว่ามันเป็นการปลอมตัวของเมื่อหลายร้อยปีก่อน เพื่อเยาะเย้ยข้าหรือไร?!

จู่ ๆ ฉินเย่ก็รู้สึกเสียดายขึ้นมา เขาน่าจะผนึกปากของยายเฒ่าไปด้วยเสียก็ดี!

ฉินเย่คิดอย่างรำคาญใจ ด้วยรอยยิ้มที่ฝืดเคืองบนใบหน้า “คุณคงจะจำคนผิดแล้วละครับ ผมจำไม่ได้ว่าเราเคยพบกันมาก่อน”

นี่มันเรื่องตลกร้ายอะไรกัน?​ เขากำลังจะโทรหาหวังเฉิงห่าวให้เตรียมตัวหนีออกจากเมืองไปด้วยกันอยู่รอมร่อ

แต่ทางรัฐบาลกลับคิดจะเปิดเผยเรื่องในสู่สาธารณชน ซึ่งจะทำให้ในไม่ช้าทั่วทั้งเมืองต้องกลายเป็นถ้ำของหมาป่า แล้วหมาฮัสกี้โง่ ๆ อย่างเขาจะซ่อนตัวอยู่ในฝูงหมาป่าแบบนั้นได้อย่างไรกัน?

ทว่าจางเชิงไห่กลับทำหูทวนลม เขาเดินเข้าไปใกล้ฉินเย่มากกว่าเดิม ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลาย “ผมไม่คิดเลยว่าเมื่อคืนนี้ คุณจะสามารถบรรลุเป็นขั้นนักล่าวิญญาณได้สำเร็จ คุณเพิ่งอายุ 18 เองใช่ไหม? คุณจะต้องเป็นนักล่าวิญญาณที่อายุน้อยที่สุดในศตวรรษที่ผ่านมาแน่ ๆ! แม้แต่พวกที่มีพรสวรรค์ในมณฑลอันฮุ่ยก็ยังไม่สามารถทำได้แบบคุณ!”

“คุณครับ ผมว่าคุณคงจำผิดคนแล้ว….”

จางเชิงไห่ส่ายศีรษะยืนกราน “ใช้เวลานานมากทีเดียวกว่าที่เราจะหาตัวคุณพบ”

ให้ตายเถอะ…นี่เขาจะไม่ปล่อยเขาไปจริง ๆ ใช่หรือไม่? จู่ ๆ ฉินเย่ถึงรู้สึกเหมือนเขากำลังคุยอยู่กับกำแพง

หลังจากพยายามข่มความรู้สึกอึดอัดใจ สุดท้ายฉินเย่ก็เลือกที่จะรับฟังสิ่งที่คนตรงหน้าอยากจะพูดอย่างเงียบ ๆ

“หลังจากที่พวกเราตรวจสอบภาพเหตุการณ์เมื่อคืนจากกล้องวงจรปิดทั้งหมด พร้อมกับความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่หน่วยสืบสวน ในที่สุดพวกเราก็สามารถยืนยันตัวตนของคุณได้ แต่ไม่ต้องห่วงครับ พวกเราไม่ได้มีเจตนาร้าย”

เขาก้มลงมองนาฬิกาข้อมือของตนเอง “เมื่อคืนนี้ ทางเราได้รับจดหมายที่มีตราประทับสีแดงจากพวกระดับสูง เมืองเป่าอันกำลังจะได้รับการชำระล้างใหม่ทั้งหมดภายในสามวันนี้ ดังนั้นผมไม่แนะนำให้คุณออกจากเมืองเป่าอันไปในเวลานี้ เพราะความสามารถของคุณ เป็นสิ่งพวกเราหน่วยสอบสวนพิเศษแห่งชาติต้องการมากที่สุด และต่อให้คุณคิดจะที่ออกไปจากเมืองในตอนนี้…ผมเกรงว่าคุณจะไม่สามารถทำเช่นนั้นได้”

จากนั้น ก่อนที่ฉินเย่จะทันได้ตอบอะไร จางเชิงไห่ก็ก้มหน้ามองนาฬิกาข้อมือของตนอีกครั้งและชี้ไปที่ท้ายซอยที่พวกเขายืนอยู่ “ที่หน้าศาลากลางมีร้านน้ำชาอยู่ มันค่อนข้างเงียบ และมีชาให้เลือกหลายชนิด หาคุณไม่ว่าอะไรพวกเราเปลี่ยนที่คุยกันดีไหมครับ? และบังเอิญ อาหารเช้าที่นั่นก็อร่อยมากด้วย”

ฉินเย่มองตามสายตาของอีกฝ่าย และก็เห็นรถโฟร์วีลสีดำคันหนึ่งจอดรออยู่แล้ว

“ดูเหมือนว่าคุณอยากจะคุยกับผมให้ได้เลยนะ” ฉินเย่แค่นหัวเราะ

จางเชิงไห่เพียงยิ้มนิดโดยไม่พูดอะไรมากกว่านั้น

“ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ ผมเองก็เริ่มรู้สึกหิวขึ้นมาแล้วเหมือนกัน” เขาล้มเลิกความคิดที่จะขัดขืน และเดินตามจางเชิงไห่ไปที่รถ

ไม่นานทั้งสองก็เดินทางมาถึงศาลากลาง ตัวอาคารกลางเก่ากลางใหม่ดูเหมือนว่ามันจะถูกใช้งานมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว ที่นี่ไม่ได้ตั้งอยู่ในตัวเมือง ทำให้สภาพแวดล้อมโดยรอบดูเปลี่ยวร้างเล็กน้อย

สิ่งเดียวที่ควรค่าพอให้เอ่ยถึงก็คือสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหลัง ความพยายามในการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม และอาคารสองชั้นแปลกตาหลังหนึ่งก็ตั้งอยู่กึ่งกลางของสวน ช่วยเพิ่มให้กับพื้นที่บริเวณนั้นดูน่าอยู่อาศัยยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม ที่นี่กลับมีผู้คนบางตา เนื่องจากตั้งอยู่ใกล้กับหน่วยงานราชการ นอกจากนี้สวนสาธารณะแห่งนี้เองก็ไม่ได้เปิดกว้างทั้งหมด มันล้อมรอบไปด้วยรั้วเหล็กทั้งหมดอย่างแน่นหนา

จางเชิงไห่จอดรถที่ฝั่งประตูหลังของสวนและเดินนำฉินเย่ไปที่อาคารสองชั้นดังกล่าว

ร้านน้ำชาหลังถูกออกแบบด้วยสไตล์จีนโบราณ ทว่าหน้าปราศจากป้ายชื่ออย่างที่ควรจะเป็น มีเพียงคำว่า ‘ชา’ ที่ปักด้ายสีเขียวเข้มเรียบง่ายอยู่บนผืนผ้าที่แขวนอยู่บนประตูทางเข้าเท่านั้น

และร้านน้ำชาแห่งนี้ดูเหมือนจะไม่ได้เปิดให้บริการมานานแล้ว

จางเชิงไห่เดินไปที่หน้าประตู ร่างกายที่กำยำสูงใหญ่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูที่ปิดสนิท เขาหยิบการ์ดสีดำออกมาและรูดบริเวณช่องเล็ก ๆ ที่ฉินเย่เองก็ไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำว่ามีมันอยู่หนึ่งครั้ง

ติ๊ด! ประตูไม้ตรงหน้าเลื่อนออกโดยอัตโนมัติ

“ที่นี่ถูกสร้างขึ้นโดยหน่วยสอบสวนพิเศษแห่งชาติ” พื้นที่ด้านในนั้นค่อนข้างกว้างพอสมควร โคมไฟสีแดงสดถูกแขวนอยู่เหนือศีรษะ ในขณะที่ผ้าม่านลายปักอย่างประณีตถูกแขวนอยู่ทั้งสองฝั่ง ทุกจุดจะมีแจกันเคลือบทองที่ใส่ดอกพลับพลึงสีแดงสดเอาไว้ภายใน

จางเชิงไห่เอ่ยอธิบายขณะที่เดินนำเด็กหนุ่มเข้าไปว่า “ตอนแรกพวกเราตั้งใจจะใช้ที่นี่เป็นห้องสำหรับพักผ่อน หรือห้องประชุมเฉพาะ แต่พ่อครัวที่นี่มีฝีมือมากเกินไป พวกเราเลยเปลี่ยนที่นี่ให้เป็นห้องอาหารอย่างเป็นทางการของหน่วยสอบสวนพิเศษแห่งชาติแทน”

ฉินเย่พยักหน้า การตกแต่งของที่นี่นั้นมีชีวิตชีวาและน่าประทับใจจริง ๆ และมันยังมีความหรูหราด้วย ทั้งสองเดินขึ้นบันไดและไปยังห้องอาหารส่วนตัวที่มีพนักงานยืนรออยู่ก่อนแล้ว

จางเชิงไห่ส่งรายการอาหารให้กับฉินเย่ “สั่งได้ตามต้องการเลย ที่นี่เป็นเขตเฉพาะสำหรับเจ้าหน้าที่เท่านั้น และเจ้าหน้าที่ของหน่วยสอบสวนพิเศษแห่งชาติทุกคนก็สามารถทานข้าวที่นี่ได้โดยไม่ต้องจ่ายเงิน”

หึหึ…นี่อีกฝ่ายคิดหรือว่าการเอาใจเล็กน้อยแค่นี้ จะเพียงพอให้เขายอมเข้าร่วมกับฝูงหมาป่าได้?!

ต่อให้เขาตาย…หรือต่อให้เขาต้องกระโดดหนีไปจากที่นี่ เขาก็จะไม่มีทางสั่งอาหารเด็ดขาด!

“ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นก็เอาเมนูทั่วไปก็แล้วกัน…ทาร์ตไข่ โจ๊กหมูผักโขม คัพเค้กลูกเกด ขนมจีบกุ้ง ซี่โครงนึ่งซอสถั่วดำ ตีนไก่นึ่ง ฟองเต้าหู้นึ่งน้ำมันหอย ไข่ลวก ข้าวปั้นกุ้ง เต้าหู้ทอด หม้อไฟ ซาลาเปาหมูแดง แล้วก็ขนมปังหน้าหมูอบน้ำมันสับปะรดอีกชิ้นหนึ่ง”

สิ้นเสียงทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบชั่วขณะ

[1] เส้นทางแห่งกรรมทั้งหกที่นำไปสู่การกลับไปเกิดใหม่ ซึ่งแบ่งออกเป็นสามเส้นทางดีและสามเส้นทางร้าย จะมีการอ้างอิงเพิ่มเติมในภายหลังในนิยาย

[2] ซีรีส์ไต้หวันเกี่ยวกับความโรแมนติกที่น่าประทับใจระหว่างเจ้าหญิงและศิลปินที่พบกันในช่วงหนึ่งของชีวิต

[3] เนื้อเพลงจากเพลง Tornado(龍捲風) ของเจย์โจว