บทที่ 65: ความลับตั้งแต่โบราณกาล

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

บทที่ 65: ความลับตั้งแต่โบราณกาล

“…ศักดิ์ศรีของยมทูตของเจ้าหายไปไหนหมด?” อาร์ทิสตกตะลึงไปเกือบสามวินาทีก่อนที่นางจะเอ่ยขึ้นมาว่า “ของเพียงเท่านี้ก็สามารถซื้อใจเจ้าได้แล้วอย่างนั้นหรือ?”

จางเชิงไห่เองก็ดูตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัดก่อนที่เขาจะหัวเราะออกมาเบา ๆ “ดูเหมือนว่าคุณคงจะหิวมากสินะ”

“เอ่อ…” หลังจากสามวินาทีแห่งความเงียบจบลง บริกรก็ถามขึ้นมาอย่างไม่แน่ใจว่า “คุณแน่ใจหรือครับว่าจะกินหมด?”

“ทั้งหมดนี่น่าจะได้ประมาณ 80% ของท้องผม” ฉินเย่ตอบด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย ในชีวิตที่ยากจนและแร้นแค้นของเขา ครั้งสุดท้ายที่เขาได้ดื่มด่ำกับอาหารเช้าแบบกวางตุ้งแบบนี้ก็คือเมื่อประมาณเมื่อ 20 ปีก่อน…

“ถ้าเช่นนั้นก็ไปจัดการตามนี้ได้เลย” จางเชิงไห่พยักหน้า และไม่นานจานอาหารมากมายก็ถูกนำมาวางบนโต๊ะ

แต่กลับไม่เป็นอย่างที่คาด ฉินเย่ไม่ได้กินอาหารทันทีด้วยความมูมมาม กลับกันเด็กหนุ่มทานด้วยท่วงท่าที่ถูกต้องและดูมีมารยาทด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ

ดวงตาของฉินเย่หรี่เล็กลงจนคล้ายกับพระจันทร์เสี้ยว ขณะกำลังเพลิดเพลินไปกับอาหารตรงหน้า กุ้งตรงหน้าที่ส่งกลิ่นหอมและความสดใหม่ของรสชาติ จนไม่สามารถหยุดทานได้!

อร่อยมาก

“สีหน้าของเจ้าในตอนนี้…หากจะเรียกมันว่าลามกอนาจารก็คงจะไม่เป็นการพูดเกินจริงแต่อย่างใด” อาร์ทิสอดไม่ได้ที่จะบ่นออกมาอย่างเหยียดหยามกับพฤติกรรมอันน่าขายหน้าของเด็กหนุ่ม

“ท่านจะไปรู้อะไร?” ฉินเย่ตักไข่ลวกขึ้นมาและกระซิบเบา ๆ “นี่เป็นเพียงการชดเชยให้กับอดีตที่น่าเศร้าของข้า…”

“…ข้าอยากจะรู้จริง ๆ ว่าเจ้าผ่านอะไรมากบ้าง…มีบางอย่างบอกข้าว่าชีวิตของเจ้าเมื่อก่อนน่าจะไม่ต่างอะไรกับพวกเร่ร่อนตามท้องถนน…”

จางเชิงไห่กินโจ๊กในชามของตนจนหมด และนั่งรอคนตรงหน้าอีกประมาณ 20 นาที ในที่สุด จานอาหารตรงหน้าก็ถูกกินจนหมดเกลี้ยง ฉินเย่เช็ดปากของตนและถามออกมาตรง ๆ

“แล้ว…คุณจางต้องการจะคุยอะไรกับผม?”

อ่า….แค่อาหารเข้าปากเจ้าเด็กนี้ ก็สามารถได้รับการเรียกขานอย่างให้เกียรติจากปากของเจ้าเด็กนี่ได้แล้ว?! อาร์ทิสหลับตาลง นางตัดสินใจที่จะเลิกมองยมทูตที่ไร้ยางอายที่สุดในประวัติศาสตร์อย่างฉินเย่สักพัก

จางเชิงไห่ที่เห็นเช่นนั้นก็สั่นกระดิ่งเรียกบริกร เมื่อเห็นอาหารบนโต๊ะถูกฉินเย่กินคนเดียวจนเรียบภายในเวลาไม่กี่นาที บริกรเป็นต้องแอบเคลือบมองฉินเย่อย่างหวาดกลัวนิด ๆ ขณะที่เก็บจานและทำความสะอาดโต๊ะ พร้อมทั้งยกกาน้ำชามาวางและรินชาสองแก้ว

ด้วยความใจกว้าง ฉินเย่จึงเมินเฉยต่อสายตานั้นและยกน้ำชาที่จางเชิงไห่เลื่อนมาให้ตรงหน้าเขาจิบเงียบ ๆ หลังจากบริกรเดินจากไปแล้ว ภายในห้องก็ตกสู่ความเงียบ

“คุณฉิน คุณสงสัยหรือไม่ว่าทำไมผมจึงพาคุณมาที่นี่ในวันนี้?” จางเชิงไห่จุดบุหรี่ของตนและเอ่ยขึ้นช้า ๆ “เหตุผลข้อแรก มันเป็นเพราะว่าคุณเป็นมนุษย์เหมือนกันกับผม เหตุผลข้อที่สอง….”

เขาโน้มตัวมาข้างหน้า “เพราะว่า….ผมมีความรู้สึกว่าคุณไม่น่าจะเรียกแท็กซี่ได้”

“ทางรัฐบาลไม่ได้ทำการปกปิดเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้เลยสักนิด ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ทำให้มันมีเวลาไม่มากพอ คนสติดีคนไหนจะยังมีอารมณ์มาขับรถรับส่งผู้โดยสารอยู่อีก? นอกจากนี้…เริ่มตั้งแต่เช้าของวันนี้ ทุกการเข้าออกภายในเมืองเป่าอันจะถูกสั่งห้ามทั้งหมด”

“ทำไม?” แววตาของฉินเย่ไหววูบเล็กน้อย

จางเชิงไห่ดึงแฟ้มหนังออกมาจากกระเป๋าเอกสารของตนและวางมันลงบนโต๊ะ จากนั้น ด้วยนิ้วสองนิ้วที่กดลงบนแฟ้ม เขาอธิบายด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “เมืองเป่าอันจะตกอยู่ภายใต้การบริหารงานโดยตรงจากทางรัฐบาลกลางหลังจากสามวันนี้เป็นต้นไป”

ประโยคที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมาทำให้ฉินเย่รู้สึกตึงเครียดขึ้นมาทันที

แต่ถึงกระนั้นจางเชิงไห่ก็ไม่ได้ให้เวลาเขาได้คิดนาน น้ำเสียงของอีกฝ่ายดังก้องไปทั่วทั้งห้อง “ประชาชนมีสิทธิที่จะได้รู้ความจริง ดังนั้นแทนที่จะปกปิดเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด ทำไมถึงไม่ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติเสียเลย? เพราะไม่ช้าก็เร็ว….พวกเขาก็จะได้รู้ความจริงอยู่ดี ไม่เชื่อคุณลองดูนี่สิ”

เขาหยิบรีโมทคอนโทรลขึ้นมาจากโต๊ะและกดปุ่ม และผ้าม่านทั้งหมดภายในห้องก็ถูกปิดลงทันที ม่านพวกนี้เป็นผ้าม่านที่ถูกสั่งทำพิเศษที่บดบังแสงจากภายนอกทุกอณู จากนั้นโปรเจคเตอร์ที่อยู่บริเวณมุมห้องก็ค่อย ๆ ฉายภาพของแผนของที่ประเทศจีนขึ้นบนผนัง

“นั่นมันอะไรน่ะ?” อาร์ทิสถามอย่างประหลาดใจ “โทรทัศน์หรือ? ไม่สิ…มันใหญ่กว่าโทรทัศน์มาก หรือว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องใหญ่?”

ฉินเย่แทบจะไม่สนใจอีกฝ่ายเลยสักนิด

“แผนที่นี้แสดงให้เห็นถึงค่าพลังหยินของทั่วทั้งประเทศตั้งแต่ที่ประกาศห้ามออกจากบ้านถูกเผยแพร่”

ฉินเย่มองภาพตรงหน้าอย่างละเอียด ส่วนใหญ่ของประเทศถูกปกคลุมด้วยสีเขียว และไม่มีร่องรอยของสีแดงเลยสักแห่ง มีเพียงทางขอบด้านตะวันตกและตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศและพื้นที่ชายฝั่งบางแห่งเท่านั้นที่เป็นสีเหลือง นอกจากนี้ แม้ว่าเมืองบางแห่งจะไม่ได้เป็นสีเขียว แต่พวกมันก็แค่เป็นจุดสีเหลืองประปรายเท่านั้น

“สถานะที่ใช้แจ้งเตือนเหตุการณ์เหนือธรรมชาติมีอยู่ทั้งหมด 3 ระดับ สีเขียวคือปลอดภัย มีเหตุการณ์เหนือธรรมชาติเล็กน้อยหรือไม่มีเลย สีเหลืองหมายถึงเหตุการณ์เหนือธรรมชาติกำลังแพร่กระจายและยังไม่ถูกตรวจสอบ สีส้มหมายถึงสถานการณ์รุนแรง และสุดท้าย สีแดงหมายถึงสถานการณ์ระดับทำลายล้าง” เสียงของจางเชิงไห่เคร่งเครียดขึ้นเรื่อย ๆ เขาสูดหายใจเข้าจนเต็มปอด กดรีโมท และโปรเจคเตอร์ก็ได้ฉายภาพถัดไปขึ้นบนผนัง

ภาพตรงหน้าแสดงให้เห็นว่า มีมณฑลหลายแห่งที่ได้กลายเป็นสีเหลืองทั้งหมดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นอกจากนั้น…พื้นที่สีแดงก็ได้ปรากฏอย่างเด่นชัดขึ้นมาแล้วด้วยที่บริเวณหนึ่ง!

มันคือที่บริเวณเทือกเขาฉินหลิง!

ซึ่งตอนนี้ถูกปกคลุมไปด้วยสีแดงทั้งหมด!

“ค่าดัชนีพลังหยิน…6 ล้าน?” ฉินเย่ขมวดคิ้วกับตัวเลขที่ได้เห็น

“มันเป็นตัวเลขของสมัยเมื่อยุค 60” จางเชิงไห่พึมพำเสียงเรียบ “คุณพอจะจำ…เหตุการณ์ข้าวยากหมากแพงครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นกับประเทศจีนในปี ค.ศ. 1958 และจบลงในปี ค.ศ. 1960 ได้หรือเปล่า?”

แน่นอนว่าฉินเย่จำได้ หากจะพูดให้ถูกจริง ๆ ก็คือเขาได้เห็นเหตุการณ์ในครั้งนั้นด้วยตาของตัวเอง

“หลังจากการเก็บเกี่ยวในปีคริสต์ศักราช 1958 จำนวนตัวเลขผลผลิตที่เกินจริง ส่งผลให้เกษตรกรตกอยู่ในความยากลำบาก การรายงานที่เกินจริงจะไม่เป็นเรื่องใหญ่หากไม่ใช่เพราะระบบนารวม ซึ่งระบุเอาไว้ว่าส่วนแบ่งของผลผลิตเมล็ดพันธุ์ที่ต้องนำส่งเข้าสู่ประเทศนั้นขึ้นอยู่กับปริมาณเมล็ดพันธุ์ที่ผลิตได้ในตอนแรก เกษตรกรทั้งหมดจึงถูกสั่งให้ทำงานหนักขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ และทำให้ภาษีทางการเกษตรนั้นเพิ่มสูงขึ้นอย่างไม่สามารถจินตนาการได้”

“แต่ในฤดูร้อนของปี 1959 จีนก็ได้ประสบกับภัยแล้งครั้งใหญ่ ส่งผลให้เกิดความอดอยากที่เลวร้ายอย่างที่พวกเราทุกคนรู้” จางเชิงไห่เอ่ย “อย่างน้อยนั่นก็คือสิ่งที่ทุกคนคิด”

ฉินเย่ไม่ได้เอ่ยขัดอะไร เพราะตัวของเขาเองก็คิดว่ามันมีบางอย่างผิดปกติเช่นกัน

ภาพบนผนังเปลี่ยนไปอีกครั้ง และครั้งนี้มันก็เป็นภาพของประวัติศาสตร์ที่เต็มไปด้วยโทนสีที่ผิดเพี้ยน

“นี่…” ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้า ๆ ภาพตรงหน้าเผยให้เห็นป่าหนาทึบ ตรงกลางของป่า มันเจ้าหน้าที่ ทหาร และแม้แต่บุคคลที่สวมเสื้อแล็บสีขาวจำนวนนับไม้ถ้วนที่กำลังยืนอยู่รอบ ๆ บริเวณที่ดูคล้ายกับกำลังขุดค้นสถานที่บางอย่าง

มันเป็นพื้นที่ขนาดที่ค่อนข้างใหญ่ ทอดยาวประมาณ 1,000 เมตร พื้นที่ด้านในเต็มไปด้วยโครงกระดูกและแผ่นหินที่มีคำจารึกและรูปสลักปีศาจจำนวนมาก แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดก็คือสิ่งที่อยู่จุดกึ่งกลาง

โลงศพสีแดงขนาดใหญ่ ที่มีความยาวสามเมตรและกว้างหนึ่งเมตร วางอยู่กึ่งกลางของพื้นที่ขุดค้น!

ตะเกียงน้ำมัน 81 ดวงถูกจุดให้สว่างขึ้นอยู่รอบโลงศพนั้น นอกจากนี้…แม้แต่สายลมก็ไม่สามารถดับเปลวไฟพวกนั้นได้เลย!

“อาณาเขตพิพากษาของราชันย์วิญญาณทั้ง 6!!” ก่อนที่ฉินเย่จะประหลาดใจเสียงอุทานของอาร์ทิสก็ดังขึ้น “เหตุใดถึงของแบบนี้ถึงมาอยู่บนโลกมนุษย์?!”

“มันคืออะไร?” ฉินเย่ถามเสียงเบา แสร้งทำเป็นถามจางเชิงไห่ทั้ง ๆ ที่ความจริงเขากำลังถามอาร์ทิส

อาร์ทิสไม่ได้ตอบคำถามของชายหนุ่มอย่างทันทีทันใด มันใช้เวลาอยู่หลายวินาทีกว่าที่นางจะสงบลงและเอ่ยว่า “มันคือสิ่งที่ข้าเคยได้ยินและเคยเห็นผ่านบันทึกเท่านั้น ตามตำนานเล่าว่าราชันย์วิญญาณทั้ง 6 จะเดินทางไปทั่วโลกเพื่อขับไล่ภูตผีปีศาจที่กลับชาติมาเกิดใหม่หรือเหนือกว่านั้น แต่มันก็ยังมีวิญญาณร้ายที่พวกเขาไม่สามารถจัดการได้ และทำได้เพียงสะกดเอาไว้….”

ดวงตาของฉินเย่ฉายแววดูถูกออกมาครู่หนึ่ง

ใครบางคนแถวนี้ถูกสังหารทันทีที่ราชันย์วิญญาณทั้งหกเข้าสิงร่าง….เหอะ! อ่อนแอจริง ๆ….

“…สายตาแบบนั้นของเจ้ามันหมายความว่าอย่างไร?! ข้าถูกขังให้อยู่ในหุบเหวอันไร้ก้นบึ้งมานานกว่าร้อยปี ถูกปลดออกจากพลังอำนาจทั้งหมดและยังเอาชีวิตรอดมาจากการล่มสลายครั้งใหญ่ของนรกในครานั้น ซึ่งมันก็สมเหตุสมผลว่าทำไมข้าถึงสู้กับราชันย์วิญญาณทั้ง 6 ไม่ได้! ช้าก่อน….แล้วเจ้าจะมาพูดเรื่องนี้เพื่ออะไรกัน?”

มันเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายให้ความสำคัญกับศักดิ์ศรีมากเพียงใด

อาร์ทิสเอ่ยลอดไรฟัน “มันไม่ใช่เรื่องสำคัญ สิ่งที่สำคัญก็คือความจริงที่ว่าเหล่าภูตผีปีศาจที่มีคุณสมบัติที่จะถูกสะกดโดยราชันย์วิญญาณ อย่างน้อยก็ต้องเป็นวิญญาณที่อยู่ในขั้นตุลาการนรก! แดนมนุษย์ไม่สามารถจัดการกับพวกมันได้ ทันทีที่พวกมันถูกปล่อยออกมา เจ้าจะต้องจินตนาการถึงผลที่จะตามมาไม่ออกแน่!”

จางเชิงไห่นึกว่าฉินเย่ถามตน หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาจึงตอบว่า “ฮ่านป๋า…ปีศาจแห่งความแห้งแล้ง”

“ศพที่อยู่ในโลกคือผู้หญิงสวมชุดกระโปรงสีฟ้า เป็นเครื่องแต่งกายในสมัยราชวงศ์เซี่ย [1] เนื้อของเธอไม่ย่อยสลาย และเสื้อผ้าก็ยังครบถ้วนสมบูรณ์ ที่ปากของเธอมีเขี้ยวยาวงอกออกมาและผิวสีเหมือนทองคำบริสุทธิ์ เธอดูเหมือนกับปีศาจแห่งความแห้งแล้งที่พวกเราเคยเห็นในบันทึกประวัติศาสตร์”

“เหตุการณ์ครั้งนี้ถูกจดบันทึกและเก็บเป็นความลับสุดยอดในหอจดหมายเหตุของจีน 2 มีนาคม ในช่วงฤดูใบไม้ผลิของปี 59 บนยอดเขาปาเซียนของภูเขาไท่ไป๋บริเวณเทือกเขาฉินหลิงมีซากปรักหักพังเต็มไปหมด มีข้อสันนิษฐานว่ามันน่าจะเป็นสุสานโบราณ หนึ่งในหลุมฝังศพหายากของราชวงศ์เซี่ย แต่หลังจากการขุดค้นก็ทำให้เราพบว่าที่จริงแล้วสุสานนี้เป็นเพียงอาณาเขตพลังเวทที่ผู้ฝึกตนสร้างขึ้นเพื่อสะกดมารร้าย!!!”

ฉินเย่ถอนหายใจออกมายาวเหยียด นี่แสดงให้เห็นถึงอำนาจของนรก แค่คิดว่าคนพวกนั้นสามารถสะกดมารร้ายที่น่ากลัวเอาไว้ที่ยอดเขาปาเซียนของภูเขาไท่ไป๋มาเป็นเวลานานขนาดนี้ บางทีที่เทือกเขาฉินหลิงมีสภาพเป็นอย่างที่เห็นในปัจจุบันก็อาจเพราะนรกก็ได้….

จางเชิงไห่ไม่รู้ว่าฉินเย่กำลังคิดอะไรอยู่ ดังนั้นเขาจึงเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “หลังจากนั้น…มันก็เกิดวิกฤติการณ์ข้าวยากหมากแพงขึ้นครั้งใหญ่….”

ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้า ๆ เขาไม่คิดเลยว่าสาเหตุที่แท้จริงของภาวะอดอยากครั้งใหญ่ในปี 60 จะมาจากการที่ปีศาจฮ่านป๋าถูกขุดขึ้นมาจากเทือกเขาฉินหลิง!

“เดี๋ยวก่อนนะ…” ฉินเย่กะพริบตาอ้าปากและส่ายศีรษะไปมา “ไม่ใช่ว่าปีศาจฮ่านป๋ายังถูกสะกดอยู่เหรอ? แล้วมันเกิดภาวะอดอยากขึ้นได้อย่างไร? หรือว่า….”

ใบหน้าของจางเชิงไห่เผยแววขมขื่น “ในสมัยนั้น จำนวนโลงศพของปีศาจฮ่านป๋าที่ถูกขุดขึ้นมาทั้งหมด…มีจำนวน 18 โลง…”

ฉินเย่รู้สึกว่าลำคอของเขาแห้งผาก ไม่แปลกใจ…ไม่แปลกใจเลยจริง ๆ ที่ความอดอยากในตอนนั้นถึงรุนแรงขนาดนั้น จำนวนผู้คนที่ต้องตายจากการอดอยากในปีนั้นมีมากถึง 28 ล้านคน ปรากฏว่า….สาเหตุที่แท้จริงมันมาจากการขุดค้นโลงศพทั้ง 18 โลงของปีศาจฮ่านป๋าขึ้นมา!

“พวกคุณ… เป็นคนเปิดมันเหรอ?”

จางเชิงไห่หัวเราะเบา ๆ อย่างขมขื่น “มันอาจจะมีบางที่ที่รู้ทันทีว่าโลงศพพวกนี้คืออะไร และตะเกียงน้ำมันที่เรียงเป็นตารางเก้าคูณเก้าเป็นผนึกคืออะไร อย่างไรก็ตาม มันยังมีบางแห่งที่ไม่รู้ถึงข้อเท็จจริงข้อนี้ ซึ่งผลที่ออกมาก็คือครึ่งหนึ่งของโลงศพทั้งหมดถูกนักโบราณคดีเปิดออกเพื่อดูสิ่งที่อยู่ด้านใน…”

ฉินเย่ส่ายศีรษะและหลับตาลงทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น

จางเชิงไห่เอ่ยต่อว่า “เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้หน่วยสอบสวนพิเศษแห่งชาติถูกจัดตั้งขึ้นมา อันที่จริงแล้ว ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1960 เป็นต้นมา งานขุดค้นทางโบราณคดีทั้งหมดจำเป็นจะต้องได้รับการอนุมัติจากหน่วยของเราก่อนถึงจะเริ่มงานจริงได้”

“และมันก็เป็นช่วงปี ค.ศ. 1960 เช่นกันที่ประเทศจีนได้ประสบกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง”

“4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1975 เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 7.3 ริกเตอร์ขึ้นที่เมืองไห่เฉิงและเมืองหยิงโข่วในมณฑลเหลียวหนิง จุดศูนย์กลางอยู่ใต้ดินลึกลงไป 16,000 เมตร และกินพื้นที่ 9,000 ตารางกิโลเมตร บ้านเรือนและอาคารในที่อยู่ในพื้นที่ 2,734 ตารางกิโลเมตรต่างพังลงมาในชั่วพริบตา ส่งผลให้มีคนเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บมากกว่า 8 ล้านคน…ค่าพลังหยินจากเหตุการณ์ครั้งนี้ทำลายสถิติ 100 ล้านเป็นครั้งแรก!”

“หน่วยสอบสวนพิเศษได้เข้าไปตรวจสอบจุดกึ่งกลางระหว่างทั้งสองเมือง บริเวณนั้น เราตรวจพบศพของคนกว่าหมื่นคนอยู่ในถ้ำที่อยู่ใต้ดินลึกลงไป 700 เมตร ใครก็ตามที่ลงไปในถ้ำจะไม่กลับมา และพื้นที่บริเวณนั้นก็ถูกปิดตายมาจนถึงตอนนี้”

“ในปีต่อมา เกิดเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ขึ้นอีกครั้งที่ถังซาน รอยเท้าของสิ่งมีชีวิตที่คล้ายกับมนุษย์ถูกพบอยู่ใต้ใจกลางเมืองหลวงลึกลงไปแค่ 600 เมตรเท่านั้น…”

“3 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1996 เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 7.0 ริกเตอร์ขึ้นที่เมืองลี่เจียง ประชาชนคนหนึ่งเห็นชายสวมเสื้อผ้าโบราณสีทองเดินออกมาจากใต้พื้นดิน การสืบสวนเผยว่าค่าพลังหยินที่วัดได้จากบริเวณจุดศูนย์กลางของแผ่นดินไหวสูงถึง 10 ล้าน!”

“คุณพอจะรู้เรื่องน้ำท่วมในปี 1998 ใช่ไหม? แต่มันมีสิ่งที่คุณไม่รู้….ก็คือความจริงที่ว่าก่อนหน้านั้น บริเวณต้นน้ำมีโลงศพสีดำสนิทวางขวางเอาไว้ และสร้างความเสียหายให้กับจุดที่แม่น้ำทุกสายมาบรรจบกัน จากนั้น เมื่อมันหายไปอย่างกะทันหัน มันก็ทำให้กระแสน้ำจำนวนมหาศาลไหลทะลักออกมา…ความลับทั้งหมดนี้ถูกบันทึกเป็นความลับสุดยอดที่มีเพียงเจ้าหน้าที่ของหน่วยสอบสวนพิเศษเท่านั้นที่รู้”

“ประเทศจีนต้องการคนอย่างพวกเรา คนอย่างคุณและผม” จางเชิงไห่ถอนหายใจออกมาขณะที่ชี้นิ้วไปที่ฉินเย่และตัวเอง “ตอนนี้ ค่าพลังหยินโดยรวมของทั้งประเทศสูงกว่า 1.1 พันล้าน! และปีที่แล้วมันก็เพิ่มสูงขึ้นถึง 100 ล้าน ผมกลัวเหลือเกินว่าปีนี้มันจะรุนแรงยิ่งกว่านั้น! ทันทีที่พลังงานหยินในจีนสูงเกิน 1.5 ล้าน…แดนมนุษย์จะต้องสูญเสียสมดุลอย่างแน่นอน และมนุษย์ก็จะไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ที่ส่วนใหญ่ของประเทศได้อีกต่อไป! ”

“ดังนั้น คุณฉินครับ…ผม จางเชิงไห่ เจ้าหน้าที่พิเศษของหน่วยสอบสวนพิเศษประจำสาขาเมืองเป่าอัน อยากจะขอเชิญคุณให้เข้าร่วมกับเราที่หน่วยสอบสวนพิเศษ มนุษยชาติ…กำลังเหลือเวลาน้อยลงไปทุกที!”

[1] ประมาณ 2,070-1,600 ปีก่อนคริสตกาล