บทที่ 73 กลับอาณานิคม
หลังจากออกจากถ้ำ เฉินเฉียงได้กลับไปตามทางที่เขาจากมาเพื่อที่จะพยายามรวมกลุ่มกับศิษย์พี่ของตนและทีมภารกิจคนอื่น
อย่างไรก็ตาม นี่ก็ผ่านมาห้าวันแล้ว กัวเหลียงและพวกก็ยังไม่ตามเขามา แถมตลอดทางมานี้ เขาพบว่าแม้แต่สัตว์ประหลาดระดับทหารขั้นกลางก็ยากจะพบเห็น
หลังจากสำรวจรอบๆอยู่สักพัก ในที่สุดเขาก็ได้พบและฆ่าหมาป่าไฟไปตัวหนึ่ง ถึงแม้ตัวมันจะไม่ใหญ่ แต่รสชาติของมันนั้นยังดีกว่ามื้ออาหารในวันนี้ที่เขากินที่อาณานิคมเขาอูฐซะอีก
ครึ่งวันผ่านไป เฉินเฉียง ในที่สุดก็กลับมาถึงอาณานิคมเขาอูฐ
“ศิษย์สำนักเต่าดำ เฉินเฉียง ได้สังหารวานรเขี้ยววายุสำเร็จ โปรดรายงานนายพลฮั่นเปียวด้วย”
ที่ด้านนอกประตูทางเข้าอาณานิคม เฉินเฉียงตะโกนอย่างดังลั่น
แต่หลังจากผ่านไปนาน เขากลับพบว่าไม่มีการตอบสนองจากด้านในประตู
หลังจากผ่านไปอีกสักพัก แม้แต่ยามเฝ้าเขาก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงา นี่ทำให้เฉินเฉียงลองเดินไปผลักประตูดูในทันที
ประตูเปิดอยู่
ทันทีที่ประตูแง้มเปิด เฉินเฉียงได้สัมผัสกลิ่นเลือดที่ลอยคละคลุ้งมาแตะจมูกในทันที
ไม่จริงน่า
เฉินเฉียงรีบเปิดประตูเข้าไป
ฉากนองเลือดที่เห็นตรงหน้าทำให้เฉินเฉียงต้องนิ่งอึ้งไปในทันที
นอกจากนักรบสายเลือดเกือบร้อยคนแล้ว อาณานิคมแห่งนี้ยังมีคนทั่วไปอาศัยอยู่เกือบสองพันคน
แต่ในตอนนี้ เขาแยกไม่ออกเลยสักนิดว่าศพไหนคือนักรบสายเลือด ศพไหนคือชาวอาณานิคม
เกิดห่าเหวอะไรขึ้นกัน
นี่พึ่งจะผ่านไปห้าวันเท่านั้น แต่ช่วงที่ผ่านมานี้กลับเปลี่ยนอาณานิคมเขาอูฐให้กลายเป็นสุสานขนาดใหญ่
ร่างกายของทุกคนนั้นไม่มีใครเลยที่มีชิ้นส่วนร่างกายอยู่ครบถ้วน กลิ่นเลือดที่รุนแรงทำให้ทักษะการดมกลิ่นของเขาแทบจะเป็นหมันไป
เขาค่อยๆก้าวเข้าไปสำรวจศพทีละศพเพื่อดูว่ายังมีใครพอที่จะรอดชีวิตอยู่บ้าง
แต่หลังจากสำรวจไปพอสมควร แม้แต่เด็กอายุไม่กี่ขวบปีก็ยังถูกหั่นเป็นชิ้นๆ
นี่จะบอกว่าบริเวณหุบเขาอูฐแห่งนี้ยังมีสัตว์ประหลาดที่แกร่งกว่าวานรเขี้ยววายุอยู่อีกรึไงกัน
เฉินเฉียงได้หน้าเปลี่ยนสีในทันทีและรีบตรงไปที่พักของนายพลฮั่นเปียว
นั่นก็เพราะหากมีสัตว์ประหลาดที่ทรงพลังมาที่นี่จริง นายพลฮั่นเปียวย่อมต้องสู้จนตัวตายอย่างไม่ต้องสงสัย
“นายพลฮั่น นายพลฮั่น”
ที่บ้านของฮั่นเปียว เฉินเฉียงทำการตรวจสอบหาร่องรอยของฮั่นเปียวไปทั่วทุกที่
หลังจากผ่านไปสักพัก ในที่สุดเขาก็ได้พบฮั่นเปียว
เงาร่างของฮั่นเปียวได้ปรากฏขี้นที่มุมห้อง
“นายพลฮ….”
เมื่อเฉินเฉียงได้เห็นฮั่นเปียวในตอนนี้ เขาก็รู้สึกถึงความร้อนที่แผ่ออกมาจากดวงตาและลำคอของตนในทันที
นั่นก็เพราะฮั่นเปียว ผู้ซึ่งเป็นนักรบสายเลือดระดับนายพลวิญญาณนั้น ในตอนนี้ ถูกหั่นร่างออกเป็นห้าส่วน
แขนขาทั้งสี่ถูกตัดออก ลำคอถูกเฉือน ท้องของเขาถูกแหวะกว้าง มีเพียงหัวใจเท่านั้นที่ยังอยู่ดีแต่เต้นอย่างรวยริน หากไม่ใช่ว่าเป็นเพราะเขานั้นมีระดับการบ่มเพาะที่สูง เขาคงตกตายไปนานแล้ว
“นายพล เกิดอะไรขึ้นกัน ไม่ใช่ว่าศิษย์พี่ของข้ากลับมาแล้วหรอกเหรอ
ฮั่นเปียวที่บาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ย่อมรู้ตัวดีว่าไม่มีโอกาสรอดแล้ว ที่เขายังคงอยู่ได้นี้เป็นเพราะยังมีเรื่องที่ค้างคาในใจอยู่ แต่ด้วยสภาพของเขาเองก็สามารถตกตายได้ทุกเมื่อเช่นเดียวกัน
ฮั่นเปียวไม่ได้ตอบคำถามของเฉินเฉียง เขานำแผนที่หนึ่งออกมาก่อนที่จะพูดอย่างยากลำบาก “น้อง…น้องเฉิน รีบ..ส่งข้อความไปสำนัก…ของเจ้า….กองโจร…ถูหมั่นเถียน..แห่ง…ดินแดนหมอก…โลหิตกลับมาแล้ว….รีบให้สำนัก…..จัดการพวก….มัน…..ก่อนที่จะสายยย….เกินไป”
“และ…โปรดช่วย…อาหยู…ด้วย”
“หยูเหรอ เกิดอะไรขึ้นกับเธอ” เป็นตอนนี้ที่เฉินเฉียงพึ่งจะได้นึกถึงสาวน้อยน่ารักที่สดใสขึ้นมาเมื่อได้ยิน เขาทบทวนความทรงจำในครั้งสุดท้ายที่ได้เจอ “พี่ใหญ่เฉิน…พาข้าไปด้วย…”
“หยู..ถูกหัวหน้าโจรจับไป….ถูหมั่นเถียน..และผู้หญิงคนอื่นของอาณานิคมด้วยเช่นกัน น้องเฉิน….ได้โปรดแจ้งสำนัก…ก่อนที่จะ….สาย…”
ก่อนที่เขาจะได้พูดจบ ฮั่นเปียวก็ไม่อาจทนไหวได้อีกต่อไป เขาได้ใช้ลมหายใจสุดท้ายเพื่อถ่ายทอดในสิ่งที่ค้างคาและหมดลมไปด้วยความเกลียดชัง
“นายพลฮั่น นายพล…”
เฉินเฉียงได้ร้องเรียกอีกสองสามครั้ง ในที่สุดเขาก็ตัดใจ
“นายพลฮั่น อย่าได้เป็นกังวลไป ยังไงข้าก็จะช่วยน้องสาวของท่านให้ได้”
เขากัดฟันแน่นก่อนที่จะทำการปิดตาฮั่นเปียวที่ยังคงหลับไม่สนิทให้ปิดลง
ก่อนหน้านี้ เฉินเฉียงคิดมาตลอดว่าอาณานิคมแห่งนี้ต้องล่มสลายเพราะสัตว์ประหลาดที่ทรงพลัง แต่ไม่คิดว่าจะมาล่มสลายเพียงเพราะกลุ่มโจรชั่วช้าที่มาจากเผ่าพันธุ์เดียวกัน
เมื่อมองดูจากจำนวนที่ตกตายไปของชาวอาณานิคมแล้ว ระดับของภัยพิบัตินี้ไม่ต่างไปจากการถูกรุกรานโดยสัตว์ประหลาดเลยแม้แต่น้อย
เป็นไปได้ไหมว่าไอ้โจรพวกนี้อาศัยชื่อของสัตว์ประหลาดในการก่อการ
แต่เดิมเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ต้องอาศัยอยู่รอดในสภาพแวดล้อมแบบนี้อย่างยากลำบากอยู่แล้ว คงไม่มีใครคิดว่าจะมีคนจากเผ่าพันธุ์เดียวกันมาซ้ำเติมและฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เดียวกันเป็นแน่
กับการที่มาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ด้วยกันเองแบบนี้ คนเหล่านี้เป็นภัยคุกคามเสียยิ่งกว่าสัตว์ประหลาดเสียอีก
เพราะยังไงซะหากว่าต้องเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดยังรู้ว่าสู้กับอะไร หากประเมินแล้วว่าไม่อาจสู้ได้ก็สามารถที่จะขอให้เผ่าพันธุ์เดียวกันที่แข็งแกร่งกว่าช่วยเหลือได้ทุกเมื่อ
แต่กับโจรพวกนี้มันต่างกัน พวกมันคือผู้ร่วมเผ่าพันธุ์แต่กลับโหดร้ายเสียยิ่งกว่าสัตว์ประหลาด หากพวกมันคิดจะก่อการร้ายแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสามารถป้องกันได้ทัน
เมื่อนึกถึงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ด้วยกันเองแบบนี้อยู่ตรงหน้าทำให้เฉินเฉียงบังเกิดความโกรธถึงขีดสุด
เขาได้กางแผนที่ที่ฮั่นเปียวให้มาและเดินออกจากอาณานิคมอย่างเงียบเฉียบ
แต่เขาไม่ได้ฟังคำพูดของฮั่นเปียวที่ว่าให้แจ้งสำนักในทันที
นั่นก็เพราะหากเขาต้องกลับไปสำนักต้องใช้เวลาอย่างน้อยก็สามวัน และนั่นนับเฉพาะการใช้ความเร็วแบบสุดขีดของเขา และต้องใช้เวลาอีกสามวันเพื่อกลับมาที่นี่
แต่หากดูจากสภาพของฮั่นเปียวและคนอื่นๆที่ตายไปนั้น พวกโจรน่าจะจากไปได้ไม่ไกลนัก หากเขาไปตามไปตอนนี้ล่ะก็ ฮั่นหยูและเด็กผู้หญิงคนอื่นๆสมควรจะต้องตกนรกทั้งเป็นในระหว่างที่เขากลับสำนักไป
กองโจรถูหมั่นเถียนที่ว่าน่าจะมีรังอยู่ในเขตแดนหมอกโลหิตซึ่งอยู่ห่างจากที่นี่ไปอีกพันไมล์
นั่นคือเขตแดนที่ตั้งอยู่ระหว่างตึกจอมพลเมืองเหมันต์จันทราและตึกจอมพลแดนใต้ ซึ่งนั่นเป็นเขตแดนที่ไม่มีใครอยากจะสนใจ
และนี่เองจึงเป็นเหตุผลให้ถูหมั่นเถียนอาศัยบริเวณนี้ในการสร้างอาณาจักรโจรของตนและก่อปัญหามานานหลายปีแล้ว
และภายในเขตหมอกโลหิตนี้ ไม่มีอาณานิคมไหนที่กล้าจะมาตั้งรกรากอยู่ที่นี่
ต่อให้ตึกจอมพลเมืองเหมันต์จันทราและตึกจอมพลแดนใต้จะรู้ตัวและส่งคนไปจัดการเพื่อฆ่าพวกมัน แต่พวกเขานั้นต่างก็ล้มเหลวไปเสียทุกครั้งด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันไป
ยิ่งไปกว่านั้นคือด้วยสถานการณ์ปัจจุบันที่เผ่าพันธุ์มนุษย์และสัตว์ประหลาดที่เริ่มรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ตึกจอมพลทั้งสองไม่อาจแบ่งพลังออกมาเพื่อจัดการโจรที่ตั้งฐานที่มั่นในเขตแดนหมอกโลหิตแห่งนี้ และนี่ทำให้กองโจรของถูหมั่นเถียนยิ่งกำเริบเสิบสาน และในตอนนี้พวกมันกล้าที่จะเดินทางมาไกลเพื่อปล้นชิงอาณานิคมจนถึงเขาอูฐแห่งนี้
ด้วยความโกรธที่ยากจะทานทน เฉินเฉียงได้ใช้ก้าวย่างสวรรค์พุ่งตรงไปยังเขตแดนหมอกโลหิต ด้วยความหวังที่ว่าเขานั้นจะสามารถจับไอ้โจรพวกนี้กลับไปยังสำนัก
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมานี้ เขาได้เข้ามายังเขตแดนหมอกโลหิตแล้ว แต่ก็ยังไม่พบกลุ่มโจรแต่อย่างใด
เมื่อเห็นภูเขาที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าแล้ว สายตาของเฉินเฉียงก็เปลี่ยนเป็นแดงก่ำ ก่อนที่จะพุ่งตรงเข้าไปอย่างไม่ลังเล
เหตุผลที่ทำไมตึกจอมพลทั้งสองถึงไม่อาจจะกำจัดกองโจรกลุ่มนี้ได้ต่อให้อยากสักแค่ไหนก็ตาม ไม่ใช่ว่าพวกเขานั้นขาดกำลังแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะสภาพแวดล้อมของที่นี่ที่เป็นหุบเขาสูงชัน
แถมหุบเขานี้ยังมีหมอกปกคลุมตลอดทั้งปี ใครก็ตามที่ไม่คุ้นชิน ย่อมสามารถตกลงมาได้อย่างง่ายดาย
ถึงแม้เขาลูกนี้จะไม่ใหญ่มากแต่มันกลับสูงถึงหมื่นฟุต
จากตีนเขาถึงยอดเขาแบ่งได้ห้าระดับ แต่ละระดับมีหมอกโลหิตที่แตกต่างกันไป แต่ที่เหมือนกันคือกลิ่นอายแห่งการฆ่าฟันสามารถพบได้ทุกที่