บทที่ 661 ไหนล่ะหลักฐาน?

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

บทที่ 661 ไหนล่ะหลักฐาน? โดย Ink Stone_Fantasy

มู่ถานพยักหน้าอย่างไม่บ่งบอกอารมณ์ เขาเหลือบมองอวี่เหวินซวนหนึ่งที แล้วเดินผ่านเขาเข้าไปในห้อง

แต่เกาเวยกลับทำหน้าโกรธจัดขณะเดินผ่านอวี่เหวินซวน

เขาแอบยื่นมือข้างหนึ่งออกมาเงียบๆ แล้วทำท่าท้าทายอวี่เหวินซวน

“นั่นหมายความว่าไง?” อวี่เหวินซวนหันไปถาม

จางอวี่กระเถิบเข้าไปข้างหูอวี่เหวินซวน แล้วบอกเสียงเบาว่า “เป็นกลอุบายที่คณะตรวจสอบใช้กันเป็นประจำ จะต้องมีคนหนึ่งตีหน้าเข้ม อีกคนอารมณ์ฉุนเฉียว คนแซ่เกานิสัยใจคอไม่ดีคนนี้ ทำหน้าที่สอบสวนเรา”

“แล้วถ้ามีคนตีหน้าเข้มทั้งสองคนล่ะ?” อวี่เหวินซวนเกาท้ายทอย แล้วถาม

“ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็หมายความว่าพวกเขาไม่เพียงไม่ไว้ใจนายแล้ว…” จางอวี่ยืนตัวตรง แล้วบอก

เขามองส่งสมาชิกคณะเข้าห้องไปทีละคนๆ แล้วจู่ๆ ก็พูดอย่างแปลกใจว่า “น่าแปลก นึกไม่ถึงว่าวันนี้ผู้บัญชาการซูจะไม่มาด้วย ตอนแรกเธอเป็นคนสนับสนุนนายสุดความสามารถ ถึงแม้จะถูกบังคับอย่างช่วยไม่ได้ และทำไปเพื่อฐานทัพที่ 1 ก็ตาม แต่ถ้าหากรายงานที่คณะตรวจสอบทำออกมามีผลเสียกับนาย ก็เท่ากับว่าเป็นการโจมตีครั้งใหญ่สำหรับเธอเหมือนกันนี่”

อวี่เหวินซวนกระพริบตาปริบๆ จากนั้นก็โบกมือไปมาอย่างไม่สนใจนัก

เขาหมุนกายหมายจะเดินเข้าห้อง แต่ถูกจางอวี่ดึงไว้ก่อน และถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า “ฉันถามจริง นายคิดยังไงกันแน่?”

อวี่เหวินซวนครุ่นคิด แล้วบอกว่า “ยังไงฉันจะทำตามที่หลิงม่อบอกไว้ก่อนแล้วกัน อย่างไรการอยู่ร่วมกับฐานทัพฟอลคอนอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย ก็ช่วยส่งเสริมพัฒนาการของพวกเราได้ดี แต่ถ้าหากเรื่องราวดำเนินไปในทิศทางที่เหนือความคาดหมายของฉัน ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะปกป้องที่นี่ไว้ให้หลิงม่ออย่างสุดความสามารถ”

“เพื่อหลิงม่อ? แต่เขา…” จางอวี่อยากพูดบางอย่าง แต่กลับเห็นอวี่เหวินซวนยิ้มประหลาด

“สองคนนั้นไปตามหาเขาแล้วไม่ใช่หรือไง?” พูดไป เขาก็ยกสองมือสอดเข้ากระเป๋าเสื้อ แล้วเดินเข้าห้องไปอย่างสบายใจ

จางอวี่ยืนอึ้งอยู่กับที่ แล้วสีหน้าของเขาก็ดูสับสนขึ้นอย่างไม่รู้ตัว

ไม่น่าล่ะ…เจ้าหมอนี่มีเจตนาแอบแฝงตั้งแต่แรกแล้ว!

ตามหาหลิงม่อเจอ ก็เท่ากับว่าตามหาหลี่ย่าหลินเจอ…

บรรยากาศในห้องประชุมกดดันมาก คนสิบกว่าคนที่นั่งเต็มสองฝั่งโต๊ะประชุม กำลังจับจ้องไปยังที่นั่งซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุด

ด้านหน้าของคนเหล่านี้มีกระดาษและปากกาวางไว้ สายตาแฝงไปด้วยความจับผิดและเคลือบแคลง

ทว่าเมื่ออวี่เหวินซวนกระแอมเบาๆ แล้วหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ในแนวเฉียง ในสายตาเหล่านี้ก็มีความขุ่นเคืองเพิ่มขึ้นมา

สีหน้าของเกาเวยแสดงออกถึงความเกลียดชังชัดเจนที่สุด คิ้วของเขาแทบจะผูกันเป็นปมอยู่แล้ว

ถ้าหากมีความสามารถประเภทที่สามารถฆ่าคนด้วยสายตา ป่านนี้อวี่เหวินซวนคงจะร่างพรุน และตายอย่างไร้ที่ฝังไปนานแล้ว

กลับเป็นมู่ถานที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะซึ่งยังคงใบหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ไว้ได้เหมือนเดิม เขากางเอกสารวางไว้บนมือด้วยท่าทางจริงจัง พร้อมกับจ้องหน้าอวี่เหวินซวนเขม็ง

คนทั่วไปหากถูกจ้องด้วยสายตาอย่างนี้ คงจะรู้สึกไม่เป็นตัวเองไปนานแล้ว แต่อวี่เหวินซวนยังคงพิงพนักเก้าอี้ แล้วมองหน้าเขากลับพร้อมยิ้มหน้าระรื่น

กลับเป็นเหล่าสมาชิกคณะตรวจสอบมากกว่าที่ถูกอวี่เหวินซวนจ้องจนรู้สึกหนังศีรษะชา แล้วสุดท้ายก็ต้องเบือนหน้าหนีอย่างทนไม่ไหว

เพิ่งเคยเห็นใครยิ้มได้น่ากลัวอย่างนี้…

เมื่อบรรยากาศประหลาดๆ และหนักอึ้งนี้ดำเนินต่อเนื่องไปถึงสองนาที ในที่สุดมู่ถานก็กระแอมหนึ่งเสียง แล้วเปิดฉากพูด “ครั้งนี้ผมผู้แซ่หมี่เป็นตัวแทนของฐานทัพฟอลคอน มาสอบถามปัญหาบางอย่างก่อน กรุณาตอบตามความจริง”

แล้วก็เงียบอีกครั้ง…

ในที่สุดจางอวี่ก็ทนไม่ไหว เขาดันอวี่เหวินซวนเบาๆ

แล้วอวี่เหวินซวนก็ตื่นจากภวังค์เหม่อลอยของเขา จากนั้นก็ลนลานตอบว่า “ตกลงๆ…”

ทุกคนถึงกับโมโหจนแทบมึน ที่แท้ที่เขายิ้มได้น่ากลัวขนาดนี้ เป็นเพราะกำลังเหม่อลอยหรอกหรอ!

คนแบบไหนถึงจะเหม่อลอยในสถานการณ์อย่างนี้ได้นะ! เป้าหมายไม่มีความรู้สึกเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย แม้แต่พวกเขาก็ยังรู้สึกหมดแรงแล้วตอนนี้!

เกาเวยมองซ้ายมองขวา แล้วจู่ๆ ก็ตบโต๊ะเสียงดัง “ท่าทีอะไรกัน! การแสดงออกอย่างนี้ของคุณ ต้องถูกจดบันทึกไว้!”

“เขียนเถอะ เขียนเลย เขียนให้น่าฟังหน่อยแล้วกัน” อวี่เหวินซวนพูดอย่างให้ความร่วมมือเต็มที่

“คุณ…” เกาเวยหมายจะบันดาลโทสะ แต่พอเขาเห็นสีหน้าจริงใจของอวี่เหวินซวนเข้า จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าเวลาอย่างนี้ ใครจริงจังคนนั้นแพ้…

เจ้าหมอนี่มันคนบ้าจริงๆ!

“ตอบตามปกติ ไม่ต้องกังวล” มู่ถานยกหนังตาขึ้นมองอวี่เหวินซวน แล้วพูด

ทว่าพอคำนี้พูดออกไป ในสมองของทุกคนก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาอัตโนมัติ : หมอนี่เคยกังวลด้วยหรอ?!

เมื่อคำพูดเกรงใจหมดไป อาหารจานหลักก็ต้องถูกเสิร์ฟเป็นรายการต่อไป

ถึงแม้มู่ถานจะพูดช้า แต่ก็ฟังชัดเจนทุกคำ

ภายในห้องประชุมที่ไม่ใหญ่ เสียงพูดของเขาลอยกระทบโสตประสาทการได้ยินของทุกคนอย่างถ้วนหน้า

“เรื่องที่ฐานทัพที่ 2 มีปฏิสัมพันธ์กับกองกำลังภายนอก โดยไม่ผ่านฐานทัพที่ 1 เคยเกิดขึ้นจริงไหม?” มู่ถานอ้าปาก ก็โยนระเบิดลูกโตออกมาทันที

จางอวี่ได้ยินก็ใจเต้น “ตึกตัก” เขารู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว

ที่แท้ก็เรื่องนี้เอง…

แถมเริ่มคำถามแรกก็เป็นเรื่องร้ายแรงขนาดนี้เลย คำถามต่อๆ ไปคงจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แน่นอน

ตาแก่คนนี้เห็นเงียบๆ แต่พลังทำลายล้างสูงไม่เบา

กลับเป็นเกาเวยที่เอาแต่แยกเขี้ยวแยกเล็บ พูดอะไรออกมาก็เหมือนปุบฝ้ายไร้น้ำหนัก

คนอย่างอวี่เหวินซวนหรือจะกลัวถูก “จดบันทึก”?

“คือว่า…” จางอวี่เพิ่งจะอ้าปาก สายตาของมู่ถานก็ตวัดมองมาทางเขา

พอถูกชายแก่จ้องอย่างนี้ จางอวี่รู้สึกตัวเกร็งไปชั่วขณะ

สายตาคู่นั้น คมเหมือนมีดจริงๆ!

“ฉันพูดเองมา” อวี่เหวินซวนออกปากรับหน้าที่แทน เขาตอบว่า “คำว่าไม่ผ่านนั้นไม่ผิด แต่พวกเราไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มความสัมพันธ์ กลับกันผมอยากจะถามอะไรบ้าง พวกเขาเคยคุยกับฐานทัพที่ 1 มาก่อนแล้ว แต่ทำไมไม่เห็นมีใครแจ้งให้พวกเรารู้?”

งดงาม!

จางอวี่อดไม่ได้ที่จะแอบยกนิ้วโป้งให้อวี่เหวินซวนเงียบๆ

ตามคาด เจ้าทึ่มคนนี้เมื่อไหร่ที่ต้องทำเรื่องจริงจัง ก็กลายเป็นคนพึ่งพาได้ในพริบตาจริงๆ

คำถามโต้กลับนี้จี้จุดได้อย่างดี ทำให้สถานการณ์พลิกผันได้ในพริบตา

คนในคณะตรวจสอบพากันมองหน้ากัน คนที่เตรียมจะจดบันทึกก็ชะงักทันที

เกาเวยนั่งไม่ติดแล้ว เขาตบโต๊ะแล้วลุกขึ้น “นี่มันคำถามประเภทไหนกัน! ฐานทัพที่ 1 จะตัดสินใจอย่างไร หากถึงเวลาดำเนินการ ย่อมต้องแจ้งให้ฐานทัพที่ 2 รู้อยู่แล้ว แต่นี่คุณลงนามในข้อตกลงกับคนอื่น โดยที่ไม่บอกฐานทัพที่ 1 ก่อน คุณทำเหมือนตัวเองไม่ใช่คนของฟอลคอนอย่างนี้ได้อย่างไร!”

“เป็นอย่างที่เขาพูด” มู่ถานพยักหน้า

อวี่เหวินซวนกลับเบ้ปาก แล้วบอกว่า “จะโยงเรื่องไร้สาระพวกนี้ขึ้นมาทำไมกัน ใครก็รู้กันถ้วนหน้าว่าผมมีอำนาจกึ่งอิสระ…”

“…”

บรรยากาศในห้องประชุมเงียบกริบไปทันที เกาเวยกับเหล่าสมาชิกคณะตรวจสอบต่างอึ้งไปตามๆ กัน

ถึงแม้เรื่องที่เขาพูดจะเป็นเรื่องจริง เรื่องนี้เขากับคนระดับสูงต่างรู้ดีแก่ใจโดยไม่ต้องพูดออกมา แต่ไม่เห็นต้องพูดออกมาโต้งๆ อย่างนี้ก็ได้นี่! เหมือนขี้เกียจหาเหตุผลมาโต้แย้ง เลยพูดออกมาตรงๆ ซะเลย…

สมาชิกคณะตรวจสอบส่วนมากมาเพื่อสังเกตการณ์และจดบันทึกเท่านั้น พวกเขาไม่เคยเจอคนอย่างนี้มาก่อน แต่ละคนจึงปากอ้าตาค้าง เดาว่าคงจะอึ้งไปอีกสักพักเลยทีเดียว

เกาเวยกลับได้สติกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว เขากัดฟันกรอดแล้วรีบคิดหาทางรับมือทันที แต่ในเวลาอันสั้นเขากลับคิดหาถ้อยคำที่เหมาะสมมาโต้กลับไม่ได้

อีกฝ่ายเป็นคนหัวรั้นไม่ฟังใคร ใช้ไม้แข็งก็ไม่ได้ไม้อ่อนก็ไม่ดี แล้วเขาจะพูดอะไรได้อีก!

“อะแฮ่ม…” มู่ถานกระแอมอีกครั้ง เขายังคงดึงหน้าเข้ม จากนั้นก็พูดช้าๆ ด้วยเหตุและผล “แต่คุณเคยพูดไว้อย่างแน่นอน ว่าให้พวกเขาไปคุยกับคนที่ชื่อหลิงม่อใช่ไหม? ผมอยากถามคุณ หลิงม่อเป็นใครกันแน่ เขามีสิทธิตัดสินใจเรื่องในฐานทัพที่ 2 เชียวหรือ?”

จางอวี่นิ่งไปอีกครั้ง

เขารู้สึกเย็นสะท้านไปทั้งตัว รีบหวนนึกถึงคนที่เข้าร่วมการประชุมในครั้งนั้น รวมถึงคนที่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับคนในที่ประชุมแทบจะทันที

ขณะเดียวกันเขาก็มองอวี่เหวินซวนอย่างกระวนกระวาย ไม่รู้ว่าเขาจะรับมือกับปัญหานี้อย่างไร

เกาเวยถอนหายใจโล่งอก จากนั้นก็มองอวี่เหวินซวนอย่างท้าทาย

คราวนี้คงไม่มีอะไรจะพูดแล้วสินะ?

อวี่เหวินซวนบีบคลึงข้อต่อนิ้วเล็กน้อย เขาก้มหน้าครุ่นคิด จากนั้นก็ขยับปากเหมือนลังเลเล็กน้อย

“พูดมาสิ! ดูซิว่าจะพูดอะไรได้อีก!” เกาเวยหัวเราะหยันในใจ

“มีเรื่องอย่างนี้ด้วย? หลักฐานล่ะ?” อวี่เหวินซวนเบิกตากว้าง นึกไม่ถึงว่าสายตาที่แฝงแววบ้าคลั่งของเขา กลับฉายแววประหลาดใจจริงๆ

คราวนี้ไม่เพียงกลุ่มคนเท่านั้นที่ตะลึง แม้แต่มู่ถานก็ยังกระตุกคิ้วเล็กน้อย

เขาอุตส่าห์ใช้คำว่า “อย่างแน่นอน” แล้ว แต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมรับ…

ถ้าหากคนอื่นปฏิเสธข้อกล่าวหาก็ว่าไปอย่าง นี่เขาเป็นถึงหัวหน้าของฐานทัพที่ 2 แต่กลับทำตัวกลับกลอกเล่นลิ้นต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้…

จางอวี่ได้ยินก็หางตากระตุกยิกๆ คิดวิธีที่มันดีกว่านี้หน่อยไม่ได้รึไงวะ!

ขายหน้าหมดแล้ว…

“อวี่เหวินซวน คุณ…” เกาเวยโกรธจนตัวสั่นเทิ้ม ไม่รู้จะพูดอะไรดี

จะเอาหลักฐานมาจากไหน? หรือต้องให้พวกเขาชี้ตัวหนอนบ่อนไส้ที่พวกเขาส่งมา?

ทันใดนั้น อวี่เหวินซวนกลับเปลี่ยนสีหน้า น้ำเสียงพลันเย็นเยียบขึ้นมา “คุณเป็นใครมาจากไหน! กล้าเรียกชื่อผมตรงๆ ได้อย่างไร! กลับไปคิดดูนะ อยู่ที่ฐานทัพที่ 1 ผมก็เป็นถึงรองผู้บัญชาการเหมือนกัน!”

เกาเวยถูกตะคอกกลับ เขาถึงกับอึ้งงันไปทันที

ปกติจะเคยชินกับท่าทางและคำพูดบ้าๆ บอๆ ของอวี่เหวินซวน แต่กลับนึกไม่ถึงว่าเขาก็มีด้านที่อวดดีอย่างนี้ด้วย…

สิ่งสำคัญคือ เขาไม่อาจเถียงได้!

ถึงแม้จะโมโหจนต้องกัดฟันกรอดๆ แต่เกาเวยก็ต้องหุบปากอย่างช่วยไม่ได้

มู่ถานจ้องหน้าอวี่เหวินซวนด้วยแววตาลึกซึ้ง แล้วบอกว่า “ถ้าอย่างนั้น คำถามต่อไปคงไม่ต้องถามแล้ว มีโอกาส ก็หวังว่าจะได้เจอหลิงม่อซักครั้ง”

พูดไป เขาก็ลุกขึ้นยืน

สมาชิกคณะตรวจสอบก็ทยอยลุกตามกัน ทว่าพวกเขากลับทำหน้าสงสัย

จบแค่นี้หรอ? นี่เพิ่งจะเริ่มเองนะ!

“เดินทางปลอดภัยนะ” อวี่เหวินซวนนั่งโบกมืออยู่บนเก้าอี้ตัวเดิม

มู่ถานพนักหน้าเบาๆ จากนั้นก็หมุนกายเดินออกจากห้องไป

เกาเวยกลัวว่าหากมองหน้าอวี่เหวินซวนต่อแม้เพียงวินาทีเดียว ตัวเองอาจจะโมโหจนตาย จึงได้รีบเดินตามออกไป

เพิ่งจะเดินออกไป เขาก็อดถามเสียงเบาไม่ได้ “หัวหน้า เราจะจบเรื่องแค่นี้หรอ?”

“ท่าทีของเขาบ่งบอกชัดเจนแล้วไม่ใช่หรอ?” มู่ถานพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“บอกชัด?” เกาเวยงุนงง เจ้าคนบ้านั่นนอกจากพูดจาไร้สาระแล้ว ยังทำอะไรอีกงั้นหรือ?

มู่ถานชะงักฝีเท้า แล้วหันไปมองเกาเวย สายตาของเขาแปรเปลี่ยนเป็นลึกล้ำยากหยั่งถึงได้ทันที “เขาต้องการจะสื่อว่า ไม่อยากจะฉีกหน้าใคร และนี่ก็เป็นวิธีการหยั่งเชิงของเขาเหมือนกัน อย่างน้อยตอนนี้ก็เป็นอย่างนี้”

พูดจบ เขาก็เอามือไพร่หลัง แล้วเดินตรงไปข้างหน้า “ไปเถอะ อย่าหวังว่าพวกเขาจะปรนนิบัติเราเลย”

“แม้แต่เรื่องอาหารการกิน?!”

เกาเวยอึ้งค้าง เป็นคนแบบไหนวะเนี่ย!

เขาหันหน้ากลับไปมองในห้องประชุมอีกครั้ง

ท่าทางของอวี่เหวินซวนที่กำลังนั่งห้อยขาโตงเตง ทำให้เขาต้องขมวดคิ้วอีกครั้ง

“เป็นแบบนี้ สู้จัดการเจ้าหลิงม่อที่เป็นภัยแฝงนั่นทิ้งก่อนไม่ดีกว่าหรือ…”

เกาเวยอดคิดในใจไม่ได้

ทว่าไม่นานเขาก็ส่ายหน้า เรื่องนี้ เขาก็ทำได้แค่คิดเท่านั้น…

—————————————————————————–