บทที่ 662 ดอกไม้เลือดที่เบ่งบานระหว่างทาง โดย Ink Stone_Fantasy
“นึกไม่ถึงเลยนะ ว่านายจะยับยั้งชั่งใจได้ด้วย” หลังจากมองส่งคณะตรวจสอบออกจากห้องไป จางอวี่ก็มองอวี่เหวินซวนด้วยหน้ายุ่งเหยิง พลางพูดขึ้น
“แค่ยับยั้งชั่งใจหรอ?” อวี่เหวินซวนถามกลับ
“รับมือได้ดีมากด้วย…แต่ฉันไม่อยากชมนายหรอกนะ!” จางอวี่กลอกตาขาว จากนั้นก็ถามอย่างจริงจัง “พูดจริงนะ ถ้าเมื่อกี้พวกเขามีท่าทีแข็งขืน นายคิดจะทำอย่างไร?”
อวี่เหวินซวนบิดเอวขี้เกียจ แล้วหัวเราะคิกคัก “จะทำไงได้เล่า? ตอนนี้พวกนั้นทำอะไรเราไมได้ แล้วยังต้องการการช่วยเหลือทางอากาศที่เราเสนอให้อีก ส่วนพวกเราน่ะ…ก็ยังต้องพึ่งพาอาศัยอาหารธัญพืชจากพวกนั้น แต่ธัญพืชปลูกเอาใหม่ได้ แต่เครื่องบินจะสร้างอย่างไร? ใครอยู่เหนือกว่า มองแวบเดียวก็รู้แล้วไม่ใช่หรอ?”
“มันก็ใช่…” จางอวี่พยักหน้า แต่หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็อดถามขึ้นมาอีกครั้งไม่ได้ “ความจริงนายแค่อยากจะรอให้หาหลิงม่อเจอก่อน แล้วค่อยให้เขามาตัดสินใจใช่ไหมล่ะ?”
“ใช่แล้ว!” อวี่เหวินซวนรับคำ
ไม่คิดปิดบังซักนิด!
จางอวี่ตบหน้าผากตัวเอง แล้วพูดขึ้นอย่างปวดหัวว่า “ถึงจะเดาเหตุผลได้บ้าง แต่ฉันก็ยังอยากถามอยู่ดี…ทำไมนายต้องทำอย่างนี้กับหลิงม่อด้วย? นายมีสนามบิน มีทีมเป็นของตัวเอง มีอำนาจเหนือน่านฟ้าหนึ่งเดียวในเมืองเป็นของตัวเอง แต่เขาเป็นเพียง…”
“หัวหน้ากองกำลังเล็กๆ ใช่ไหม?” อวี่เหวินซวนพูดแทน
จางอวี่กระอักกระอ่วน แต่ก็ยังคงกัดฟันพยักหน้า “ใช่น่ะสิ ฉันไม่ปฏิเสธว่าเขามีความสามารถ แล้วก็รู้ดีว่าเขาเป็นคนมอบสนามบินแห่งนี้ให้นาย แต่ตอนนี้เราเป็นคนก่อสร้างและขยับขยายที่นี่ ถ้าหากจู่ๆ เขากลับนายก็ให้เขา…”
จางอวี่ได้พูดคำพูดที่เหลือออกมา แต่เขารู้ว่าอวี่เหวินซวนจะต้องเข้าใจ
ความดีความชอบเป็นของหลิงม่อ แต่หากจู่ๆ ก็เปลี่ยนหัวหน้ากะทันหัน คนภายใต้บังคับบัญชาจะจิตใจระส่ำระสายเอาได้
ยิ่งไปกว่านั้น อ้อยเข้าปากช้าง ไม่ว่าใครก็ยากจะปล่อยมือได้ง่ายๆ
ความคิดนี้เห็นแก่ตัวมาก จนถึงขั้นร้ายกาจเลยก็ว่าได้ แต่จางอวี่ต้องพูดออกไป
อวี่เหวินซวนขมวดคิ้วครุ่นคิด แล้วบอกว่า “ความจริงเหตุผลง่ายมาก ข้อหนึ่ง หากมีเขา ก็มีย่าหลิน ส่วนข้อสองน่ะ ฉันขอเก็บเป็นความลับให้นายลุ้นต่อไปแล้วกัน บางทีนายอาจไม่มีวันเข้าใจ แต่นายจะต้องจำเรื่องหนึ่งไว้ให้ดี ว่าสิ่งที่หลิงม่อมี มันมากกว่าที่นายจินตนาการไว้หลายเท่า”
หลังพูดจบ อวี่เหวินซวนก็หรี่ตาลงอย่างมีความหมายแฝง แล้วเขาก็เหม่อลอย
ความเชื่อใจโดยไร้เงื่อนไขที่เขามีให้หลิงม่อ คนอื่นไม่เข้าใจ และเขาก็จะไม่อธิบายด้วยเช่นกัน
แต่เมื่อคนคนหนึ่งสามารถอยู่ร่วมกับซอมบี้ได้อย่างสันติสุข เพียงข้อนี้ ก็ทำให้เขาคนนั้นมีคุณค่าที่สูงมากแล้ว
จางอวี่นิ่งอึ้งไป จากนั้นก็มองอวี่เหวินซวนอย่างครุ่นคิด
เขาเชื่อว่าคนบ้าอย่างอวี่เหวินซวนจะไม่พูดส่งๆ ในเรื่องแบบนี้ ยิ่งไปกว่านั้นพลังของหลิงม่อก็เป็นที่ประจักษ์อยู่แล้ว ถ้าหากจะบอกว่าเขายังมีความลับที่น่ากลัวซ่อนอยู่มากกว่านี้ ก็น่าจะพอฟังขึ้นอยู่…
“นี่นายแอบงีบหลับอยู่ไม่ใช่รึไง!” จางอวี่ตะคอกอย่างเดือดดาล
………..
ขณะเดียวกัน บนถนนหลวงเส้นหนึ่งที่อยู่ห่างจากฟอลคอนที่ 2 ไปประมาณหลายร้อยเมตร มีรถออฟโรดคันหนึ่งกำลังขับเคลื่อนด้วยความเร็วสูงอยู่
ซอมบี้ที่อยู่กลางถนนหรือไม่ก็ข้างถนน กระโจนเข้าใส่รถออฟโรดคันนี้ตัวแล้วตัวเล่า ราวกับแมงเม่าบินเข้ากองไฟ
ทว่าในขณะที่พวกมันใกล้จะกระแทกโดนรถออฟโรด ซอมบี้พวกนี้ก็จะกระโจนขึ้นสูงกะทันหันอย่างไม่มีสัญญาณเตือน ไม่เพียงหลบการพุ่งชนจากรถยนต์ได้ แต่พวกมันยังสามารถกระโดดเกาะหลังคาหรือไม่ก็ท้ายรถได้พอดี
แต่รถออฟโรดคันนี้มักหักเลี้ยวเปลี่ยนทิศทางในช่วงเวลาคับขันเสมอ และนั่นทำให้ซอมบี้พวกนั้นกระโจนใส่อากาศ และร่วงกระแทกพื้นอย่างแรง
หากไม่มีความเด็ดเดี่ยวในการตัดสินใจและประสบการณ์อันช่ำชอง ก็ยากที่จะทำอย่างนี้ได้
การเคลื่อนไหวของซอมบี้นั่นทั้งเร็วและแม่นยำ คนทั่วไปมักตอบโต้ไม่ทัน
หากอย่างหลีกเลี่ยงพวกมัน วิธีที่ดีที่สุดคือรักษาระยะห้างไว้
“ฮ่าฮ่า ล้มไปอีกหนึ่งตัวแล้ว” หลี่ย่าหลินยื่นหน้าออกนอกหน้าต่างอย่างตื่นเต้น พลางมองไปหลังรถ
หลังจากที่ร่วงกระแทกพื้น ซอมบี้ตัวนั้นก็ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วอีกครั้ง มันเดินขาเป๋แขนห้อยโตงเตง แล้ววิ่งตามท้ายรถอย่างไม่ยอมลดละ
ทว่ามันยังไม่ทันเร่งความเร็ว รูแผลรูหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้ามัน ทำเอาปากและจมูกของมันหายไปในพริบตา
เท้าทั้งสองข้างของมันยังคงก้าวออกไปข้างหน้าสองก้าว แล้วจึงค่อยล้มตึงลงไปกับพื้น
เหล่าซอมบี้ที่วิ่งตามหลังมาเหมือนกัน รีบวิ่งไปหาศพศพนั้น พวกมันนั่งลงไปแล้วเริ่มฉีกทึ้งศพ เพียงพริบตาภาพที่เห็นคือซอมบี้ที่จับตัวกันเป็นกลุ่ม และเลือดสดๆ ที่พุ่งออกจากกลางวงอย่างต่อเนื่อง
ในรถ เย่เลี่ยนเงยหน้าขึ้น แล้วมองไปที่ปากปืนซึ่งยังคงมีควันจางๆ ลอยอยู่ สีหน้าของเธอไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ
แต่ซย่าน่าที่กำลังขับรถอยู่กลับตื่นเต้นจนดวงตาประกายแดงจางๆ โดยเฉพาะเมื่อข้างหน้ามีซอมบี้เพิ่มมากขึ้น รอยยิ้มของเธอก็ยิ่งดูประหลาดมากขึ้น
หลังจากขับหลบซอมบี้สำเร็จมาหลายตัว ในที่สุดก็มีซอมบี้ตัวหนึ่งอาศัยการเสียสละของพวกเดียวกัน กระโดดเกาะกระจกมองหลังได้สำเร็จ จากนั้นมันก็แกว่งตัว หมายจะกระโจนขึ้นมาบนรถ
แต่ตอนที่มันกำลังจะกระโดดขึ้นรถมา กลับเหมือนถูกใครบางคนกระชากหลัง ร่างของมันปลิวออกไป จากนั้นก็กระแทกพื้นอย่างแรง
“พี่หลิงให้ความร่วมมือได้ไม่เลวเลยนี่!” ซย่าน่าเอ่ยชม
หลิงม่อที่นั่งตำแหน่งข้างที่นั่งคนขับมองเธอด้วยสีหน้างอง้ำ แล้วก็หันกลับไปมองที่นั่งแถวสามของรถ
มู่เฉินกำลังนั่งหน้าซีดอยู่ตรงนั้น เขาทำท่าทางเหมือนจะตายได้ทุกเมื่อ
“ให้ขับช้าหน่อยไหม?” ซย่าน่าสังเกตเห็นการกระทำของหลิงม่อ จึงถามขึ้น
“ขอเลือกแบบเจ็บแต่จบเร็วดีกว่า…” หลิงม่อพูดอย่างจริงจัง
“…นายมันไอ้เลว…อึก!” มู่เฉินเพิ่งจะค้านได้ครึ่งประโยค แต่จู่ๆ สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไป เขารีบยกมือขึ้นอุดปาก
หลิงม่อมองข้ามสายตาไม่พอใจของเขา แล้วเอามือถือออกมาเช็คดูอีกครั้ง ถามว่า “ใกล้จะถึงเมืองชุ่ยหูแล้วใช่ไหม?”
“ต้องถึงซินหลานก่อน แต่ก็เหมือนกันแหละ ยังไงก็อยู่เขตเมืองชุ่ยหูเหมือนกัน” ซย่าน่าตอบ
“ซินหลาน…” หลี่ย่าหลินพึมพำเหมือนนึกอะไรขึ้นได้
หลิงม่อรีบหันกลับไปถาม “ทำไม รุ่นพี่จำอะไรได้งั้นหรอ?”
“อืม…คุ้นมาก” หลี่ย่าหลินขมวดคิ้วครุ่นคิด แต่สุดท้ายกลับส่ายหน้า “ไม่รู้สิ ยังคิดไม่ออกอ่ะ”
“ไม่เป็นไร ค่อยๆ คิด” หลิงม่อบอก ด้วยความจุสมองอันน่ากลัวของซอมบี้ จะให้หาความทรงจำเล็กๆ เจอท่ามกลางความทรงจำมหาศาลในเวลาสั้นๆ นั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ
สำหรับซอมบี้ ความทรงจำไม่ได้แบ่งว่าสำคัญมากหรือน้อย ยิ่งไม่มีความทรงจำลึกซึ้ง โหยหา หรือเสียใจ
พวกเธอแค่แบ่งว่าความทรงจำเหล่านั้นมีประโยชน์หรือไม่ และสำหรับหลี่ย่าหลิน อำเภอซินหลานก็ถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่ความทรงจำที่ไม่มีประโยชน์
กลับเป็นเรื่องที่หลี่ย่าหลินมีปฏิกิริยาต่อซินหลาน ที่ทำให้หลิงม่อประหลาดใจ
ลองนึกย้อนดูแล้ว เขาไม่ค่อยรู้จักรุ่นพี่ของเขาคนนี้ดีเท่าไหร่
คนหนึ่งเป็นรุ่นพี่สาวสวยที่ได้รับความนิยมชมชอบ ส่วนอีกคนเป็นผู้ชายที่ไม่มีอะไรสะดุดตา ความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะมาบรรจบกันเดิมก็มีไม่มากอยู่แล้ว
แต่ปัจจุบันพวกเขาเป็นคู่ครองกันแล้ว หลิงม่อจึงสนใจเรื่องราวของหลี่ย่าหลินในสมัยที่ยังเป็นมนุษย์อยู่ หากไม่เข้าใจอดีตของเธอ แล้วจะช่วยเธอวิวัฒนาการให้เป็นอย่างที่เธออยากได้อย่างไรล่ะ?
ทว่าเรื่องอย่างนี้ทำได้เพียงต้องใจเย็น บางทีหลังจากเข้าไปในอำเภอซินหลานจริงๆ แล้ว เธออาจนึกเรื่องเมื่อก่อนออกก็ได้…
“เอี๊ยดด!”
เสียงล้อรถเสียดสีกับพื้นถนนดังลั่นอีกครั้ง เสียงที่ดังขึ้นพร้อมกันยังมีเสียงหัวเราะของซย่าน่าและหลี่ย่าหลินด้วย รวมถึงเสียงร้องแปลกๆ ของสวี่ซูหานที่ตอบสนองช้าไปครึ่งก้าว
“ถ้าหากไม่ใช่ว่าพลังควบคุมอัพเกรดแล้ว คงจะรักษาสายสัมพันธ์ทางจิตในขณะเคลื่อนที่เร็วขนาดนี้ไม่ได้แน่” หลิงม่อมองไปข้างหลัง แล้วอดคิดในใจไม่ได้
และในตอนนี้ ห่างออกไปประมาณ 1,500 เมตร เงาร่างกลมสีขาวขนาดใหญ่กำลังแบกเงาร่างเล็กๆ คนหนึ่งไว้บนคอและกำลังทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง
ถึงแม้เงาร่างกลมเหมือนลูกบอลสีขาวนี้จะดูเทอะทะ ขาโก่งๆ ของมันก็เหมือนจะทำตัวเองล้มได้ทุกเมื่อ แต่ความเร็วของมันกลับสูงจนน่าตกใจ
ระหว่างทาง เหล่าซอมบี้ที่กำลังเดินเตร็ดเตร่อยู่เต็มถนน ส่วนมากจะวิ่งตามรถออฟโรดไปแล้ว ส่วนตัวที่คลาดกับเป้าหมายก็เดินวนเวียนอยู่กับที่ตามเดิม
เงาร่างกลมสีขาวนั้นไม่คิดจะหลบซักนิด มันพุ่งเข้าไป และในเสี้ยววินาทีที่กำลังจะเข้าปะทะกับซอมบี้เหล่านั้น มันก็ยกอุ้งเท้าหน้าข้างหนึ่งขึ้น แล้วเหวี่ยงลงไปดัง “ป๊าบ”
อุ้งเท้าปุกปุยนั่นตบซอมบี้เหมือนตบแมลงวันตัวเล็กๆ ซอมบี้ตัวนั้นกระเด็นปลิวออกไปอย่างง่ายดาย
และกว่าซอมบี้ตัวนั้นลุกขึ้นมา เงาร่างกลมสีขาวนั้นก็ได้วิ่งออกไกลแล้ว
“กรร!”
ซอมบี้ที่ได้รับบาดเจ็บเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ถูกซอมบี้อีกสองตัวกระโดดพุ่งชนข้างหลังจนล้มลงไป ยังไม่ทนได้ขัดขืน แขนข้างหนึ่งก็ถูกกระชากออกมาทั้งเป็น หน้าท้องเองก็ถูกควักจนเป็นรูโหว่ใหญ่
เมื่อเลือดไหลซึมเป็นวงกว้าง พริบตาเดียวบนถนนหลวงอันวังเวง ก็เหลือเพียงเสียงขบเคี้ยวอาหารของซอมบี้ และเสียงกลืนเลือดดัง “อึก อึก”…
“เสี่ยวป๋าย วิ่งให้เร็วที่สุดเลย! ไม่ไม่…อย่าวิ่ง! ไม่สิ ยังไงก็ยังต้องวิ่ง! โอ๊ย ตกลงควรทำยังไงดีล่ะเนี่ย!!”
อวี๋ซือหรานที่นั่งอยู่บนหลังเสี่ยวป๋ายขมวดคิ้ว สีหน้าแสดงออกถึงความสับสนสุดขีด
—————————————————————————–