บทที่ 72 หงายเกือกม้า (เปิดเผยไต๋ออกมาเอง)

หมอผีแม่ลูกติด

บทที่ 72

หงายเกือกม้า (เปิดเผยไต๋ออกมาเอง)

ชิงอวี่ก็ได้ลูบหัวของเทียนเอ๋อ แต่แล้วนางก็นึกขึ้นมาได้ว่าเทียนเอ๋อนั้นอาจจะเป็นบุตรขององค์ชายขึ้นมา นางก็ได้รีบชักมือกลับทันทีเพราะนางอาจทำผิดร้ายแรงอย่างการไม่เคารพราชวงศ์ได้

“ไม่ต้องกังวลหรอกเจ้าค่ะนายน้อย พระชายาบอกว่านางนั้นมั่นใจมากว่านางจะต้องถอนพิษได้แน่เจ้าค่ะ”

ในเวลานี้เทียนเอ๋อก็ได้รู้สึกโล่งอก แล้วจากนั้นก็ได้หันไปพูดกับชิงอวี่ “พี่ชิงอวี่ขอรับ ท่านแม่บอกให้ท่านต้มยาสักถ้วยขอรับ”

“พระชายามองไม่เห็นอีกแล้วเหรอ?” ชิงอวี่ถามอย่างเป็นกังวล

เทียนเอ๋อก็ผงกหัว แล้วจากนั้นชิงอวี่ก็ได้บอกให้ เทียนเอ๋อกลับไปก่อนแล้วจากนั้นก็ได้นำยาไปส่งให้ในภายหลัง

หลินซีเหยียนก็ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าโดยอาศัยจิ่งชุนช่วย และด้วยเพราะอาการแพ้อาหารของเทียนเอ๋อเมื่อวานนี้ หลินซีเหยียนจึงได้สั่งให้เขาทานอาหาร 3 มื้อที่พระราชวังแทน หลังจากที่การประท้วงล้มเหลว เทียนเอ๋อก็ได้ยอมรับชะตากรรมแล้วออกไปฝึกวิชาที่สนามฝึก

โดยทั่วไปในเวลานี้ที่สนามฝึกซ้อมนั้นจะต้องถูกเคลียร์พื้นที่เรียบร้อยแล้ว แต่วันนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น มีผู้คนอยู่มากมายที่ยังอยู่ในสนามฝึก ในขณะที่เจียงหวายเย่หายไปไหนก็ไม่รู้ อันอี้ก็ได้โผล่ออกมาแล้วเขาก็ได้ทำความเคารพเทียนเอ๋อแล้วกล่าว “นายน้อยขอรับ องค์ชายได้รับสั่งมาว่าให้ผู้คนเหล่านี้ฝึกร่วมกับท่านในวันนี้ขอรับ”

แววตาของเทียนเอ๋อก็สว่างขึ้นมาทันทีและในใจของเขาก็เต็มไปด้วยความคึกคัก ในหลายวันมานี้ตัวเขาฝึกกับท่านอาจารย์อยู่ตลอด ซึ่งเขาก็โดนอาจารย์อัดอยู่ฝ่ายเดียวเลย แต่ในวันนี้เขาจะได้โชว์ฝีมืออย่างเต็มที่แล้ว

ส่วนผู้คนที่อยู่ในสนามฝึกเมื่อพบว่าคู่ต่อสู้ของพวกเขาในวันนี้นั้นเป็นเพียงเด็กอายุ 5 ขวบ พวกเขาต่างก็มีสีหน้าไม่สู้ดีขึ้นมา ในใจของพวกเขานั้นมันเป็นเรื่องยากมากสำหรับพวกเขาที่จะต้องสู้กับเด็กน้อยเช่นนี้ เพราะถ้าพวกเขาเอาจริงมากเกินไปก็จะกลายเป็นว่าพวกเขารังแกเด็ก แต่ถ้าพวกเขาไม่เอาจริงเลยก็จะโดนหาว่าทำเป็นเล่นๆไม่จริงจังได้

ในขณะที่พวกผู้ใหญ่เหล่านี้กำลังหดหู่กันอยู่นั้น เทียนเอ๋อก็ได้แสดงให้พวกเขาเห็นถึงรอยยิ้มแห่งชัยชนะของอัจฉริยะด้านการต่อสู้ เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียวเขาก็สามารถล้มคนคนหนึ่งได้แล้ว

แล้วชายคนที่ลงไปนอนอยู่ที่พื้นนั้นก็ได้เอามือกุมท้องของเขาแล้วกล่าว “ลูกพี่ระวังตัวด้วย นายน้อยไม่ธรรมดาเลย”

ในเวลานี้เองเทียนเอ๋อที่กลับมาจากสนามฝึกเมื่อตอนกลางวันนั้น เขาก็ได้เดินกลับมาในสภาพที่ไม่สนใจอะไรหรือใครทั้งสิ้น หลินซีเหยียนนั้นรู้ว่าเขาเพิ่งกลับมาจากการฝึกวิชากับ องค์ชาย แต่ไม่รู้ว่าเจ้าเด็กตัวแสบนั่นกำลังคิดอะไรอยู่ถึงได้ทำตัวแบบนั้น

หลินซีเหยียนที่ทนไม่ไหวอยากแกล้งเขา ก็ได้ยื่นมือออกไปหาแล้วยื่นลูกเกาลัดให้แล้วจากนั้นก็ได้ยิ้มกรุ้มกริ่ม “ตื่นแล้วเหรอ?”

ภายใต้แววตากดดันของแม่ของเขา เทียนเอ๋อก็ได้เผยรอยยิ้มออกมาแล้วผงกหัวอย่างเชื่อฟัง

เจียงหวายเย่ที่กำลังมองดูภาพนี้ก็ได้เผยรอยยิ้มที่งดงามที่มุมปากของเขาออกมา แต่บรรยากาศที่อบอุ่นนี้ก็ได้ถูกขัดเข้าจนได้ เมื่อข่าวที่ว่าอาการของเจียงหวายเย่ที่ดีขึ้นเรื่อยๆได้ถูกแพร่ออกไป แล้วฮ่องเต้ก็ได้ส่งคนมาที่ตำหนักรัตติกาลเพื่อมาตามตัวเขาให้ไปพบกับฮ่องเต้

หลินซีเหยียนจึงได้มองไปที่เจียงหวายเย่อย่างกระวนกระวาย เจียงหวายเย่จึงได้ยิ้มและกล่าว “เสี่ยวเหยียนเอ๋อดูแลตัวเองด้วยนะ อย่างไรเสียในเวลานี้เจ้าก็มองอะไรไม่เห็นอยู่แล้ว!”

หลินซีเหยียนก็ได้หรี่สายตาลงทันทีและเข้าใจว่า เจียงหวายเย่นั้นหมายถึงอะไร มันจะเป็นเรื่องง่ายถ้านางจะแกล้งทำเป็นตาบอดต่อ เพื่อให้คนที่คนลงมือจะลดการป้องกันลง บางทีนางอาจจับไต๋ของคนที่อยู่เบื้องหลังที่แท้จริงได้

ถึงแม้ว่าจะมีคนที่ร่วมโต๊ะอาหารลดลงไปหนึ่งคน แต่นางก็มีเจ้าตัวแสบอยู่ด้วยถึงจะไม่โดดเดี่ยวมากนัก

หลังจากที่ทานเสร็จเทียนเอ๋อก็ไม่ได้ออกไปที่โรงเตี๊ยมซื่อฟาง แต่กลับยังอยู่ที่พระราชวังอย่างเป็นเด็กดี หลินซีเหยียนจึงได้ถามอย่างสงสัย “วันนี้เจ้าเด็กตัวแสบไม่ออกไปทำเงินเหรอ?”

เทียนเอ๋อที่ยังคงนอนเอกเขนกอยู่ที่ม้านั่งนั้นก็ได้ลุกขึ้นมานั่งไขว่ห้าง แต่ว่ามันออกจะทำได้ยากสำหรับเขาไปสักหน่อยทำให้นางอดที่จะขำกับท่าทางของเขาไม่ได้

“ท่านแม่ที่นั่นมีคนคอยดูแลอยู่มากมาย เทียนเอ๋อนอนเฉยๆก็สามารถทำเงินได้ แล้วอีกอย่างท่านแม่เองก็กำลังป่วยอยู่ด้วย ข้าจะคอยดูแลท่านแม่เอง” หลังจากที่เทียนเอ๋อพูดอย่างหนักแน่นจบก็ได้หันไปยิ้มให้กับหลินซีเหยียน

หลินซีเหยียนก็ได้ยิ้มออกมาหัวใจของนางนั้นรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา นางรู้ว่าเทียนเอ๋อนั้นกำลังเป็นห่วงนางอยู่ นางจึงคิดว่านางจะต้องหายาแก้พิษมาแก้พิษตาบอดของนางให้ได้โดยไวเสียแล้ว

ในขณะที่หลินซีเหยียนกำลังขะมักเขม้นอยู่กับการค้นคว้าอยู่นั้น ชิงอวี่ก็ได้เข้ามารายงาน “พระชายาเจ้าคะ คุณหนูเหลียนเอ๋อต้องการพบกับท่านเจ้าค่ะ”

“นางมีธุระอะไรกับข้ากันนะ?” หลินซีเหยียนก็ได้หรี่สายตาและวางงานของนางลง แล้วจากนั้นก็คิดอยู่พักหนึ่งแล้วกล่าว “ให้นางไปรอพบข้าที่ห้องโถงใหญ่”

ชิงอวี่ก็ได้ผงกหัวแล้วถอยออกไป ในเวลานี้หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่เทียนเอ๋อแล้วแสยะยิ้มออกมา เทียนเอ๋อก็คิ้วขมวดขึ้นมาเมื่อพบว่าหลินซีเหยียนกำลังจ้องมาที่เขา จึงได้พูดออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “ช่วงนี้เทียนเอ๋อยังไม่ได้ไปก่อกวนอะไรใครเลยนะขอรับ”

หลินซีเหยียนก็ได้ผงกหัว “แม่อยากให้เจ้าช่วยอะไรแม่บางอย่างน่ะ”

เทียนเอ๋อก็ได้บิดปาก ในใจของเขาก็คิดว่าการที่ท่านแม่เรียกหาเขาเช่นนี้แสดงว่าไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ ทำให้เขารู้สึกอิดออดขึ้นมา แล้วก็ได้พูดอย่างเศร้าๆ “ท่านแม่จะทำอะไรกับเทียนเอ๋อก็ได้ แต่ท่านแม่จะขายเทียนเอ๋อไม่ได้นะขอรับ”

“มัวแต่บ่นอิดออดอะไรอยู่? ตามแม่มาที่ห้องโถงใหญ่มาแม่อยากจะให้เจ้าช่วย” หลินซีเหยียนก็ได้นวดเข้าไปที่หัวของเทียนเอ๋อ ที่ชอบคิดเรื่องไม่เป็นเรื่อง

เทียนเอ๋อจึงได้ลุกขึ้นยืน “ท่านแม่ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเทียนเอ๋อเอง”

จากนั้นทั้งสองคนก็ได้มุ่งหน้าไปที่ห้องโถงหลัก แล้วก็พบเหลียนเอ๋อที่มีแววตาที่ภูมิใจเมื่อมองไปที่ดวงตาของ หลินซีเหยียนที่ไร้แววตาและจำเป็นต้องมีคนคอยนำทางด้วย

หลินซีเหยียนก็ได้นั่งลงที่ที่นั่ง จากนั้นก็ได้ถาม “ไม่ทราบว่าแม่นางเหลียนเอ๋อมีธุระอะไรกับข้า?”

“ข้าทราบมาว่าพระชายาถูกพิษจนตาบอด ข้าจึงได้ส่งให้คนไปหาหมอเทวดาเพื่อไปหายามารักษาองค์หญิงเจ้าค่ะ” เหลียนเอ๋อกล่าวอย่างอ่อนโยน ให้ความรู้สึกประมาณนางนั้นเห็นอกเห็นใจหลินซีเหยียนอย่างมาก

หลินซีเหยียนก็ได้แววตาดำมืดขึ้นมาทันที “ข้าไม่คิดว่าสิ่งนี้จำเป็นหรอก อย่างไรเสียองค์ชายก็ได้ไปตามหาหมอมาให้ข้าตั้งมากมายแล้ว”

“ข้าคิดแล้วว่าพระชายาจะต้องพูดเช่นนั้น นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ข้าได้ไปหาท่านหมอด้วยตัวเองเลย” คุณหนูเหลียนก็ได้ลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาหาหลินซีเหยียนอย่างช้าๆ เทียนเอ๋อก็ได้มองไปที่เหลียนเอ๋ออย่างระแวดระวัง ราวกับว่าถ้าเหลียนเอ๋อเกิดลงมือทำอะไรกับหลินซีเหยียนขึ้นมาเขาก็จะลงมือจัดการกับนางทันที

แต่หลินซีเหยียนก็ได้บีบมือน้อยๆของเขาเป็นเชิงบอกว่าให้เขาใจเย็นลงก่อน จากนั้นเหลียนเอ๋อก็ได้หยิบเอายาเม็ดสีดำออกมา แล้วก็ส่งให้กับมือของหลินซีเหยียน

หลินซีเหยียนก็ได้ถามอย่างสงสัย “สิ่งนี้มันคืออะไรเหรอแม่นางเหลียนเอ๋อ?”

“นี่คือยาถอนพิษหวังชวนชิวฉุ่ย” หลังจากที่ เหลียนเอ๋อพูดจบ นางก็ไม่รอช้าที่จะหลอกให้หลินซีเหยียนทานยาเม็ดนั้น

หลินซีเหยียนก็ได้นำยาเม็ดนั้นขึ้นมาที่จมูกแล้วก็ดม แล้วจากนั้นก็ถามอย่างสงสัย “แม่นางเหลียนเอ๋อคงจะลืมอะไรไป ข้าเองก็พอจะมีวิชาแพทย์อยู่บ้าง ยาเม็ดนี้มีส่วนของยาอยู่ไม่ถึงครึ่ง มันเป็นยาอยู่จริงๆเหรอ?”

เหลียนเอ๋อก็ตกใจขึ้นมาเมื่อนางได้ยินที่หลินซีเหยียนพูด แล้วนางก็ได้พูดว่าตัวเองในใจว่าลืมเรื่องนี้ได้อย่างไร แล้วจากก็ได้พูดด้วยรอยยิ้มแข็งๆ “ยาเม็ดนี้เป็นยาที่หมอเทวดาทำขึ้นมาน่ะ มันย่อมต่างไปจากยาทั่วๆไปอยู่แล้ว”

หลินซีเหยียนจึงได้นึกดูถูกนางในใจ แล้วจากนั้นก็แกล้งทำเป็นเชื่อเหลียนเอ๋อ แล้วก็ทำท่าเหมือนอยากที่จะกินยา แต่ในชั่วขณะนั้นเองนางก็ได้เอายาวางไว้บนโต๊ะแล้วกล่าวอย่างลังเล “แต่องค์ชายบอกกับข้าว่าไม่ให้ทานอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า”

“พระชายา ข้าเป็นถึงลูกพี่ลูกน้องขององค์ชาย อย่างเหลียนเอ๋อไม่มีทางทำร้ายท่านอยู่แล้ว ขอให้พระชายารีบกินยาเสีย หลังจากที่กินลงไป ท่านจะได้แสงสว่างคืนกลับมาไง” เหลียนเอ๋อพยายามพูดเกลี้ยกล่อมอย่างขะมักเขม้น

เหลียนเอ๋อที่มีสีหน้าร้อนรนและจ้องไปที่หลินซีเหยียนแบบไม่คลาดสายตา ในเวลานี้หลินซีเหยียนเริ่มมั่นใจแล้วว่าเรื่องของการวางยาพิษนางนั้นจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรบางอย่างกับเหลียนเอ๋อแน่

นางก็ได้หยิบเอายาเม็ดสีดำนั้นขึ้นมาแล้วก็แกล้งทำเป็นกินยาลงไป แต่จริงๆแล้วยาเม็ดนั้นยังคงซ่อนอยู่ที่นิ้วทั้งสองข้างของนางที่หนีบเอาไว้ นางอยากที่จะรู้ว่าเหลียนเอ๋อนั้นคิดที่จะมาไม้ไหนกัน?