เถาฮวายกบะหมี่น้ำร้อนๆ เข้ามาในห้อง พออวิ๋นเสวียนฉั่งได้กลิ่นหอมของน้ำมันงา น้ำย่อยในท้องก็เริ่มทำงาน กระดิกนิ้วชี้รอ จนชามบะหมี่วางลงตรงหน้า
พอเถาฮวาถอยออก เขาก็หยิบตะเกียบม้วนเส้นเข้าปากไปคำหนึ่ง ยังไม่ทันไร ก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง พอเคี้ยวไปสองที หน้าก็เปลี่ยนสี ‘ปุ๋ยๆ’ บ้วนใส่ถาด แล้วลองจิบน้ำแกงคำเล็กๆ ดู พอน้ำแกงไหลลงไปในลำคอ ก็ทนไม่ไหว สำลักสองที แล้วไอออกมา ก่อนก้มหน้า สำรอกลงพื้น
เถาฮวาเห็นแล้วก็ตื่นตระหนกยิ่ง ละล่ำละลัก “นายท่าน บะหมี่ บะหมี่ไม่อร่อยหรือเจ้าคะ”
อวิ๋นเสวียนฉั่งไม่สบอารมณ์สุดๆ “ยังใช้คำว่าอร่อยได้อีกหรือ เจ้ามาชิมเองมา!” ตอนที่ท้องกำลังหิว กลับกินไม่ได้ อารมณ์จึงขุ่นมัวลงไม่น้อย
พอเถาฮวายกชามบะหมี่ขึ้นซดน้ำแกง ก็ขมวดคิ้ว รสชาติแปลกๆซึมเข้าไปในปาก ‘ปุ๋ย’ นางบ้วนใส่ถาดตาม น้ำแกงเค็มปี๋ เหมือนใครทำเกลือหกใส่ ร่วมกับรสเผ็ดจัดของพริกไทย
ไม่ถูกต้อง ต่อให้ตนได้ใจขนาดไหน ก็ไม่มีทางใส่เกลือมากขนาดนี้ ยิ่งไม่ได้ใส่พริกไทยด้วย
พออวิ๋นเสวียนฉั่งเห็นว่า ขนาดคนทำยังสำรอก ก็ยิ่งเสียอารมณ์ จับตะเกียบวางลงบนโต๊ะแรงๆ “ใช้ไม่ได้เรื่องสักนิด” แล้วก็ลุกพรวดขึ้น เดินเข้าไปด้านใน
เถาฮวาได้สติ รีบวางชามลง แล้วเดินตาม “นายท่าน บ่าวจะไปทำให้ใหม่นะเจ้าคะ”
อวิ๋นเสวียนฉั่งไม่หันกลับ “ขนาดบะหมี่ธรรมดาๆ เจ้าก็ยังทำไม่เป็น แล้วจะทำอะไรได้อีก เอาเถอะ ถ้าข้าจะกิน ค่อยเรียกแม่ครัวทำให้ เจ้าน่ะ พึ่งไม่ได้”
ใจของเถาฮวาถูกกรีดจนเลือดแทบหยด ความประทับใจที่เพิ่งเกิดขึ้น ถูกทำลายลงในพริบตา แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยไปเช่นนี้ จึงใช้มือกดลำคอ บีบให้เสียงใส
“นายท่าน เช่นนั้นบ่าวเปลี่ยนชุดให้ และปรนนิบัติก่อนเข้านอนนะเจ้าคะ”
“พอเถอะๆ” เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ อารมณ์วาบหวามที่เกิดขึ้นก็หายไป อีกทั้งนึกขึ้นได้ว่าพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าไปขานชื่อ อวิ๋นเสวียนฉั่งจึงหมดอารมณ์
“เจ้าออกไปเถิด ไปเอาน้ำให้ข้าหนึ่งกะละมัง ข้าล้างหน้าเสร็จ ก็นอนเลย”
เถาฮวาเสียใจหนักมาก ที่วันนี้พลาดโอกาสดีไป และไม่รู้ว่าครั้งหน้าจะมีอีกหรือไม่ อยากร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา จึงได้แต่ข่มใจไว้ ก่อนพูดเสียงสั่น “เจ้าค่ะ นายท่าน” แล้วจึงออกไปพลางเจ็บใจ
เด็กรับใช้คนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตู อายุราวสิบสองสิบสาม เติบโตในบ้านสกุลอวิ๋น ชื่อถานเซียง เมี่ยวเอ๋อร์ไม่สะดวกที่จะจับตาดูสถานการณ์ได้ตลอด จึงกำชับให้นางจับตาดูสามม้าผอมให้ดีๆ และต้องรายงานถ้ามีความเคลื่อนไหว ซึ่งคืนนี้ถานเซียงก็เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเรือนหลักทั้งหมด โดยนางเพิ่งไปที่ประตูห้องครัวแอบดูมา แล้วเห็นกับตาว่า ตอนเหลียนเหนียงต้มน้ำ ได้ฉวยโอกาสขณะที่เถาฮวาไม่ทันสังเกต ใส่เกลือและพริกไทยจำนวนมากลงไปในหม้อ ซึ่งทั้งสองอย่างละลายในน้ำเดือดอย่างรวดเร็ว ไหนเลยจะเห็นร่องรอย บวกกับการปรุงรสของเถาฮวา น้ำแกงชามนั้นรสจัดขนาดไหน ไม่ต้องบอกก็รู้
ตอนนี้ก็เช่นเดียวกับที่ผ่านมา ถานเซียงรีบบึ่งไปเรือนฝูหยิง รายงานกับเมี่ยวเอ๋อร์
โดยบอกต่อว่า เถาฮวาสะบัดหน้า เดินย่ำเท้าออกจากห้องนายท่าน ตรงไปยังห้องครัว ซึ่งเหลียนเหนียงนั่งอยู่หน้าเตาดินเผา กำลังพัดและเฝ้าไฟอยู่
พอเหลียนเหนียงได้ยินเสียงฝีเท้า ก็หันมอง นางเช็ดหน้าแล้ว ใบหน้ากลับมาสะอาดและขาวดังเดิม ทำให้ดูเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง บริสุทธิ์ดุจหยก หลังจากเหลือบมองเถาฮวาที่กำลังขุ่นเคือง นางก็พูดอย่างอ่อนโยน
“นายท่านอยากได้น้ำใช่ไหม”
เถาฮวาเท้าสะเอว ก้าวไปข้างหน้า ยิ้มเย็นชา ก่อนด่า “ก็ใช่น่ะสิ นังสารเลว หน็อย…ทำเป็นดี ที่แท้ก็ตอแหล! ใส่เครื่องปรุงรสเพิ่มลงไปในบะหมี่ ทำให้ข้าต้องขายหน้าต่อหน้านายท่าน!”
เหลียนเหนียงวางพัดใบกล้วยลง กะพริบตา แววตาตื่นตกใจ พลางพูดเสียงอ่อน
“เถาฮวาเจ้าพูดอะไรน่ะ ข้าต้มน้ำอยู่ตรงนี้ ส่วนเจ้าปรุงรสอยู่อีกด้าน ข้าจะใส่เครื่องปรุงรสเพิ่มลงไปในบะหมี่เจ้าได้อย่างไรกัน”
เถาฮวาแน่ใจว่านางเป็นคนทำ แต่คนทำบะหมี่กับมือคือตน ถ้าตนไม่มีหลักฐาน ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถโทษนางได้ ต้องโทษตัวเองที่ดูเบานางไป อีกอย่าง เหลียนเหนียงรู้สึกขมขื่นใจที่ถูกคุณหนูใหญ่ส่งมาทำงานในครัว ทำให้ไม่มีโอกาสพบหน้านายท่าน ถ้าตนแฉว่าถูกนางกลั่นแกล้ง นายท่านก็จะเรียกนางไปสอบถาม และนางก็จะได้โอกาสสัมผัสชิดใกล้นายท่าน ซึ่งนี่มิเท่ากับติดกับดักนางหรอกหรือ!
ครั้งนี้เถาฮวาจึงได้แต่เสียเปรียบ จึงก้าวเข้าไปจ้องมองเหลียนเหนียง
“อย่านึกว่าทำให้ข้าเสียโอกาสครั้งนี้แล้ว เจ้าจะเหินบินได้! ทำไม นึกว่าข้าจะแฉเจ้า เพื่อให้นายท่านเรียกเจ้าเข้าไป แล้วเจ้าจะได้พบหน้านายท่านรึ ฝันไปเถอะ! ข้าไม่มีทางหลงกลเจ้าหรอก มีข้าอยู่ทั้งคน เจ้าเลิกคิดหาทางใกล้ชิดนายท่านได้เลย! วันนี้นายท่านไม่แตะต้องข้า ไม่ได้หมายความว่าจะไม่แตะต้องไปตลอด ถ้าเจ้าเคารพข้าบ้าง ต่อไปถ้าข้าได้เป็นอนุ ไม่แน่ว่าอาจให้เจ้าได้อยู่ดีมีสุขบ้าง แต่ตอนนี้…หึๆ เจ้าไม่มีทางทำอะไรตามใจหรอก! ข้าไม่ปล่อยนังสารเลวอย่างเจ้าไว้แน่!”
ว่าแล้วก็เตะเตาใบเล็กคว่ำด้วยความโมโห ก่อนหันกายเดินจากไป
ข้างเตาไฟ เหลียนเหนียงค่อยๆ ยืนขึ้น คลายมือออก พัดใบกล้วยหล่นลง ฟืนในเตาถูกเผาจนได้ยินเสียงดัง ‘เปรียะๆ’ ท่ามกลางแสงสีส้มแดงจากเปลวไฟที่ขยับ ทำให้เกิดเงาดำๆ บนแก้มขาวๆ ไร้ที่ติของนาง มุมปากที่บางและอ่อนนุ่มเผยให้เห็นรอยยิ้มแปลกๆ ซึ่งไม่เข้ากับภาพลักษณ์ของนางอย่างสิ้นเชิง
เรือนฝูหยิง อวิ๋นหว่านชิ่นกับชูซย่าเพิ่งกลับ
พอก้าวเข้าห้องที่เงียบสงบ ชูซย่าก็ได้ยินเสียงท้องร้องโกรกกรากของคุณหนูใหญ่ จึงหัวเราะปู้ดออกมา “ไปห้องครัวเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ ทำอะไรให้คุณหนูใหญ่ทาน!”
แต่ยังไม่ทันหันกาย อวิ๋นหว่านชิ่นก็คว้าข้อมือนางไว้ “ไปไหน? เจ้าบ้านก็บอกแล้วนี่ว่า ถ้าอยาก ก็ไปสั่งจากเทียนซิ่งเหลาได้ นายท่านอุตส่าห์เลี้ยงทั้งที เจ้าจะประหยัดไปทำไม!”
ว่าแล้วก็นั่งลง เขียนรายการอาหารมาหนึ่งแผ่น ส่งให้ชูซย่า “ตามนี้ล่ะ พอสั่งเสร็จก็บอกให้คนของเขาเอามาส่งที่จวนรองเจ้ากรม”
พอชูซย่าเห็นรายการอาหารยาวเหยียด ก็คิดในใจ คุณหนูใหญ่โหดจริงๆ ไม่เกรงใจสักนิด! จึงหัวเราะคิกคัก ก่อนหันเดินออกไป
ในห้อง เมี่ยวเอ๋อร์เข้ามาเล่าเรื่องที่ถานเซียงมารายงานตนให้คุณหนูใหญ่ฟัง
และแล้ว แค่ไม่กี่วัน สองในสามก็เริ่มปะฉะดะแล้ว
เพียงแต่จิตใจคิดแย่งตำแหน่งของเหลียนเหนียง แรงกว่าที่ตนคาดเดา การใช้วิธีทุบหม้อจมเรือ สู้ตายเพื่อให้ได้ใกล้ชิดกับนายท่าน โดยยอมทำผิด เพื่อให้นายท่านได้เห็นหน้านั้น ต่อให้ไม่สำเร็จ ก็ทำให้เถาฮวาถูกนายท่านโกรธ เสียโอกาสไปครั้งหนึ่ง
ทั้งสองคุยกันไป ราตรีก็ดึกลงเรื่อยๆ
ชูซย่ากลับมาพร้อมเด็กรับใช้จากเทียนซิ่งเหลาสองคน แต่ละคนยกกล่องอาหารสามชั้นไว้ในมือ หยุดยืนอยู่หน้าประตู หลังจากให้ค่าเหนื่อยกับเด็กทั้งสองแล้ว นางกับเมี่ยวเอ๋อร์ก็ยกกล่องอาหารเข้ามา
ทั้งสองเปิดกล่องอาหาร แล้วนำกับข้าวออกมาวางทีละจาน จนเกือบเต็มโต๊ะ ทำให้ทั้งห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของอาหารและควันไฟ ทั้งหมดเป็นกับข้าวเลื่องชื่อของเทียนซิ่งเหลา มีกับแกล้มที่ทานกับสุราอย่าง ยำผ้าขี้ริ้ว ผัดเอ็นเนื้อ กระเพาะแพะผัดกระเทียม ไก่นึ่งซีอิ๊ว ของกินเล่นก็มี ยำสาหร่าย ปูดองเหล้าจีน ตีนไก่อบ ซึ่งแต่ละอย่างมีผักข้างเคียงตามฤดูกาลให้
“คุณหนูใหญ่ เยอะขนาดนี้ กินคนเดียวหมดหรือ ระวังกระเพาะขยายนะเจ้าคะ มะรืนยังต้องเข้าวังอีก” ตอนชูซย่าสั่งอาหาร ก็ค่อนข้างลำบากใจอยู่
อวิ๋นหว่านชิ่นจึงดึงมือของเมี่ยวเอ๋อร์และชูซย่า ให้มานั่งด้วยกันที่โต๊ะอาหาร
“หมดแน่นอน ก็ข้าไม่ได้กินคนเดียวนี่ ยังกลัวว่าจะไม่พอด้วยซ้ำ”
คุณหนูใหญ่เป็นกันเองเสมอ ทั้งสองจึงได้แต่มองตากัน ตัดสินใจไม่ปฏิเสธ นั่งลงตามใจอวิ๋นหว่านชิ่น
เมี่ยวเอ๋อร์ชี้ไปที่กับข้าวพลางหยอก “กับข้าวแบบนี้ กินกับเหล้าดีที่สุด”
พูดได้ถูกจุด อวิ๋นหว่านชิ่นหัวเราะดุจระฆังเงิน “เจ้าคิดเหมือนข้าเปี๊ยบ”