ตอนที่ 61 โลกแข่งขันอันดุเดือด!

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ

ฉีหลงไม่ใช่คนที่กลัวการหาเรื่อง เมื่อเขาได้ยินคำพูดนี้ก็กลอกตาใส่หลี่อิงเจี๋ย “เกินไป? ต่อให้เกินไปแล้วยังไง นายมีความเห็นเหรอ” บางครั้งฉีหลงก็ไร้เหตุผลมากอย่างชัดเจน เนื่องจากเขาไม่ได้ใคร่ครวญผลที่ตามมา เขาเชื่อว่าหานจี้จวิน เพื่อนสนิทเขาจะช่วยเขาจัดการได้ และตอนนี้เขาก็ยอมรับลูกพี่แล้ว ฉีหลงก็ยิ่งกำเริบเสิบสานมากขึ้น

แน่นอนว่า สีหน้าของหลิงหลานกับหานจี้จวินที่เป็นผู้สนับสนุนอย่างมั่นคงเบื้องหลังเขาดูไม่ดีมากๆ พวกเขาสบตากันเองแวบหนึ่งและยิ้มฝืดเฝื่อน โดยเฉพาะหานจี้จวิน เขาพบว่าช่วงนี้ฉีหลงบุ่มบ่ามมากขึ้น นี่ไม่ใช่เรื่องดีอะไรเลย เขาตัดสินใจว่ารอให้ไม่มีคนแล้วเขาจะขัดเกลาสมองฉีหลงให้ดี

ในที่สุดคำพูดของฉีหลงก็กวนโมโหสุนัขรับใช้หมายเลขหนึ่งที่อยู่ด้านหลังหลี่อิงเจี๋ย เขากระโดดออกมาตวาดว่า “ไอ้หนู แกรู้ไหมว่าเขาเป็นใคร”

“หลานชายคนที่สามของผู้นำตระกูลหลี่ไง” ฉีหลงแคะหูบ่งบอกว่าเขาไม่ได้หูหนวก ฟังได้ยินชัดเจนมาก

“เขายังเป็นอันดับหนึ่งของห้องพิเศษในปีนี้ เป็นนักเรียนลูกเสือที่มีอนาคตมากที่สุดของสหพันธรัฐในปีนี้” สุนัขรับใช้หมายเลขหนึ่งทำหน้าโอ้อวด ราวกับว่าเขาเป็นอันดับหนึ่ง

ใบหน้าของหลี่อิงเจี๋ยมีความอิ่มอกอิ่มใจอยู่บ้าง เขาเองก็ภาคภูมิใจมากเช่นกันที่ตัวเองสามารถกดพวกคนที่โดดเด่นและคว้าตำแหน่งอันดับหนึ่งมาได้

อันดับหนึ่ง? ฉีหลงเหลือบมองหลี่อิงเจี๋ยแวบหนึ่ง เขาไม่รู้สึกเลยว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งมาก ถึงขนาดที่กลิ่นอายจากตัวก็ยังสู้เขาไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องเทียบกับลูกพี่เขาเลย ฉีหลงเคยสัมผัสถึงไอชั่วร้ายที่รั่วไหลออกมาจางๆ จากลูกพี่หลานของเขา มันไม่ธรรมดาเลย

พรสวรรค์ของฉีหลงก็คือลางสังหรณ์ที่แข็งแกร่งมาก จากคำพูดของหานจี้จวิน มันก็คือสัญชาตญาณของสัตว์ป่า เขาไม่ต้องใคร่ครวญมากมาย อาศัยลางสังหรณ์เพียงอย่างเดียวก็สัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งความอ่อนแอของศัตรู

เมื่อสัมผัสได้ว่าอันดับหนึ่งของห้องสเปเชียลเอในปีนี้ยังเทียบไม่ได้แม้กระทั่งเขา ฉีหลงก็ไม่สบอารมณ์ ดังนั้นท่าทีของเขายิ่งดูเลวร้ายเข้าไปอีก เขาเอ่ยด้วยสีหน้าเหยียดหยามว่า “แล้วยังไงอีก”

คำตอบที่ขัดกับบทของฉีหลงทำให้ฝ่ายตรงข้ามหน้าแดงก่ำทันที และก็ทำให้คนอื่นๆ หัวเราะออกมา ฉีหลงย่อมเป็นคนที่ทำคนอื่นโมโหตายโดยไม่ชดใช้ชีวิตแน่นอน แต่สิ่งที่น่ากลัวก็คือเขายังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายตายได้อย่างไรด้วย

“แก รอโดนลูกพี่ของเราสั่งสอนเถอะ” สุนัขรับใช้หมายเลขสองก็ออกมาช่วยเหลือเช่นกัน

“เหรอ งั้นฉันจะรอ” ฉีหลงกล่าวด้วยความไม่เกรงใจอย่างยิ่งขณะที่กำลังมองหลี่อิงเจี๋ยอย่างดูถูก

ฉีหลงกล้าอวดดีขนาดนี้เป็นเพราะเขามั่นใจในตัวเองอย่างยิ่ง เขาเชื่อว่านอกจากลูกพี่ของเขาแล้ว ไม่มีใครเทียบเขาได้ นอกจากนี้ ต่อให้เขาประมาทเลินเล่อทำพลาดขึ้นมา ไม่ใช่ว่ายังมีลูกพี่คุ้มกันอยู่ด้านหลังเหรอ เขาเชื่อว่าลูกพี่หลานไม่มีทางมองลูกน้องอย่างเขาถูกรังแกโดยไม่ยื่นมือมาช่วยแน่นอน สรุปแล้ว ตอนนี้ฉีหลงพึ่งพาหลิงหลานอย่างไร้ยางอายมากๆ

คำพูดที่กล่าวออกมาทำให้สองแก้มของหลี่อิงเจี๋ยพองขึ้นราวกับกบ ทว่าเขายังจำได้ว่าจะต้องรักษาท่าทีของตระกูลสูงศักดิ์เอาไว้ ไม่ได้ลงมือแตกคอกันตรงนี้ สุดท้ายเขาก็ถลึงตาใส่ฉีหลงด้วยความเดือดดาลและทิ้งท้ายไว้ประโยคหนึ่งว่า “นายรอไว้นะ”

น้ำของสถาบันลูกเสือลึกมาก! หลี่อิงเจี๋ยยังจำสิ่งที่พ่อเอ่ยเตือนเขาไว้ได้มั่น เขาไม่กล้าลงมือบุ่มบ่ามโดยที่ยังไม่รู้เส้นสนกลในของสถาบันลูกเสือ พ่อเคยพูดเหมือนกันว่า บรรทัดฐานที่ใช้ในสถาบันก็คือเคารพผู้แข็งแกร่ง อยากจะพึ่งพาเงินตราของตระกูลเพื่อระรานผู้คนในสถาบันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย นอกเสียจากคุณจะติดสินบนนักเรียนที่เก่งกาจด้านในมาปกป้องคุ้มครองคุณ ไม่อย่างนั้นต่อให้เขาถูกเด็กสามัญชนในสถาบันกลั่นแกล้งก็เป็นการรังแกฟรีๆ คนในบ้านไม่สามารถสอดมือมาได้ ทำได้เพียงพึ่งตัวเองไปจัดการเท่านั้น

คำพูดของพ่อทำให้เขารู้สึกกังวลใจอยู่บ้าง เขาตัดสินใจรั้งทัพรอจังหวะบุกโจมตีก่อน หลังจากที่ทำความเข้าใจเกี่ยวกับสถาบันให้ดีและสร้างอิทธิพลของตัวเองขึ้นมาแล้ว เขาค่อยหาโอกาสไปสั่งสอนไอ้คนอวดดีนั่น ทำให้มันรู้ซึ้งถึงความร้ายกาจของเขา หลี่อิงเจี๋ยมั่นใจในตัวเองมาก อาศัยความสามารถของเขาบวกกับตระกูลของเขาแล้ว เขาย่อมไม่พ่ายแพ้ใครในสถาบัน

ในเมื่อเจ้านายจากไปแล้ว ในฐานะที่พวกเขาเป็นสุนัขรับใช้ก็ย่อมถอยตามไปด้วยกัน ทว่าสายตาดุดันที่พวกเขาทิ้งไว้ก็รู้ได้ว่าเรื่องนี้ย่อมไม่จบแน่นอน แต่ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องในภายหลัง หลี่จิงหงโล่งอก ในที่สุดก็สลัดไอ้คนน่ารำคาญนี้พ้นแล้ว

“ทำไมถึงเกลียดเขาขนาดนี้ จากที่พูดมาเขาเป็นผู้ชิงตำแหน่งที่มีสิทธิเป็นผู้นำตระกูลคนต่อไปมากที่สุดเลยนะ” หานจี้จวินสงสัย การต่อสู้กันในตระกูลหลี่ดุเดือดมากมาตลอด การขึ้นตำแหน่งผู้นำตระกูลในแต่ละรุ่นต่างก็ได้มาจากการที่ให้ลูกหลานสายตรงอาศัยความสามารถของตัวเองเอาชนะคนอื่น ดังนั้นคำว่าตำแหน่งผู้สืบทอดก็เป็นเพียงคำพูดลอยๆ ตามกฎเอาชีวิตรอดของตระกูลสูงศักดิ์ หลี่จิงหงที่เป็นสายรองควรจะปฏิบัติต่ออีกฝ่ายให้ดีถึงจะถูก

หลี่จิงหงได้ยินคำกล่าวสีหน้าก็ดำมืดทันที เขาพูดว่า “ฉันไม่ชอบเขาจริงๆ ต่อให้เขามีคุณสมบัติที่ดีอีกแค่ไหนก็ไม่ชอบอยู่ดี พวกนายไม่รู้หรอกว่า ญาติผู้พี่คนโตของพวกเรา เขาดีมากจริงๆ เด็กที่เป็นสายรองอย่างพวกเราต่างชอบเขามาก น่าเสียดาย…” หลี่จิงหงทำสีหน้าหนักแน่นขึ้นมา “ไม่ว่าผลจะเป็นแบบนั้น ฉันก็จะไม่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับญาติผู้พี่คนโตเด็ดขาด”

“แบบนี้ไม่ใช่ว่านายล่วงเกินหลี่อิงเจี๋ยเหรอ” หานจี้จวินส่ายหน้า ความคิดของหลี่จิงหงไม่เหมาะกับอยู่ในตระกูลใหญ่แบบนี้จริงๆ ผลจากการถูกอารมณ์มาควบคุมก็จะกลายเป็นเบี้ยได้ง่ายมาก ถ้าหลี่อิงเจี๋ยได้รับตำแหน่งผู้นำตระกูลขึ้นมาจริงๆ ละก็ การกระทำของหลี่จิงหงในตอนนี้จะทำให้ภายภาคหน้าเขาไม่สามารถอยู่ในตระกูลหลี่ได้แน่นอน

“ช่างมัน ใครจะรู้ว่าต่อไปจะมีเด็กที่มีพรสวรรค์มากกว่าเขาปรากฏตัวขึ้นมาหรือเปล่า” หลี่จิงหงไม่คิดว่าหลี่อิงเจี๋ยจะขึ้นตำแหน่งผู้นำตระกูลได้ง่ายขนาดนั้นจริงๆ เนื่องจากคุณสมบัติของญาติผู้พี่คนโตในรุ่นนี้ธรรมดามาก ความทะเยอทะยานของพวกสายตรงก็ยิ่งพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว พวกเขาลอบลงมือปัดแข้งปัดขากันเอง จับจ้องตำแหน่งนั้น

“ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้หลังจากนี้หลี่อิงเจี๋ยโชคดีสืบทอดตำแหน่งขึ้นมาจริงๆ ฉันก็ไม่กลัว ฉันเตรียมตัวจะเป็นทหาร ต่อไปตระกูลหลี่ก็จัดการฉันไม่ได้แล้ว” หลี่จิงหงเอ่ยแผนการของตัวเองออกมา นี่ก็เป็นสาเหตุที่เขาไม่กลัวที่จะล่วงเกินหลี่อิงเจี๋ย

เขาไม่อยากเห็นญาติผู้พี่คนโตที่เขาชอบมากที่สุดถูกคนอื่นบีบบังคับจนสูญเสียตำแหน่งผู้นำตระกูลไป หลังจากนั้นก็ถูกกักขังไปชั่วชีวิต ดังนั้นเขาจึงวางแผนออกจากตระกูลหลี่ซึ่งเป็นเลนตมแห่งนั้นโดยเร็ววัน เพื่อที่จะได้มองไม่เห็นและก็จะไม่เจ็บปวด

นี่ก็คือตระกูลใหญ่ สภาพแวดล้อมที่นองเลือดซับซ้อนไร้เมตตาบีบเด็กๆ เหล่านี้ให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่เร็วขึ้น

“ยินดีที่นายเข้าร่วม” หานจี้จวินชอบนิสัยแบบนี้ของหลี่จิงหงมาก เขากำหนดอนาคตของตัวเองได้นานแล้ว หลังจากนั้นก็เดินตรงไปข้างหน้า ไม่สนใจสิ่งรบกวนรอบกาย คนแบบนี้ประสบความสำเร็จได้ง่ายมาก หานจี้จวินชอบคบหากับคนแบบนี้ เนื่องจากอีกฝ่ายไม่มีทางก่อปัญหาให้เขา

อืม มีฉีหลงที่ชอบหาเรื่องหนึ่งคนก็พอแล้ว หานจี้จวินปฏิเสธที่จะมีคนที่สองอีก

คนทั้งสิบของกลุ่ม 072 ต่างไม่สนใจเรื่องนี้และทานข้าวพูดคุยกันต่อ เวลานี้หลิงหลานไม่รู้เลยว่าอนาคตเธอจะต้องพัวพันยุ่งเหยิงกับตระกูลหลี่…

……….

ตกบ่าย พวกเขาก็เดินเที่ยวทั่วทั้งสถาบันศูนย์กลางลูกเสือหนึ่งรอบ ระหว่างทางตอนที่พวกเขาเดินผ่านหอต่อสู้ ก็ถูกฉีหลงลากเขาไปต่อสู้อย่างดุเดือดยกหนึ่ง แน่นอนว่าหลิงหลานอัดฉีหลงโดยไม่เกรงใจอย่างยิ่ง ทว่าฉีหลงที่ตาบวมจมูกช้ำจนน่าอนาถก็ยังสามารถทำหน้ายิ้มโง่ๆ ออกมาเผยฟันขาวเต็มปากเขา เธอก็รู้ว่าเขาโง่เง่ามากจริงๆ เป็นมาโซคิสต์ไปเสียแล้ว

หลังจากที่หลิงหลานทานอาหารเที่ยงเสร็จ เธอก็ได้ติดต่อกับที่บ้านเพื่อตกลงเวลามารับเธอแล้ว เมื่อเหลือเวลาไม่มาก เธอก็บอกลากับพวกเพื่อนๆ กลุ่ม 072 บางทีอาจเป็นเพราะพวกเด็กๆ ในโลกนี้ฉลาดเป็นผู้ใหญ่เร็ว หลิงหลานคบหากับพวกเขาก็ไม่ได้รู้สึกลำบากหรือน่าเบื่อ แน่นอนว่าสิ่งที่ทำให้เธอมีความอดทนขนาดนี้เป็นเพราะว่านิสัยของเด็กเหล่านี้แตกต่างกันไป พวกเด็กๆ น่ารักสุดขีดทำให้สัญชาตญาณความเป็นแม่ของหลิงหลานเต็มเปี่ยม…

พวกเพื่อนๆ ส่งหลิงหลานออกจากสถาบันด้วยสีหน้าอาลัยอาวรณ์ โดยเฉพาะฉีหลงที่ร้องขออย่างหนักให้หลิงหลานกลับไปคุยกับผู้ปกครอง เพื่อให้เธอมาอยู่ประจำด้วยกันกับพวกเขา จากคำพูดของเขาบอกว่า ได้ต่อสู้กับลูกพี่หลานทุกวัน แค่คิดก็เจ๋งแล้ว

เดิมทีหลิงหลานก็หวั่นไหวเกี่ยวกับเรื่องอยู่ประจำเล็กน้อย แต่หลังจากที่เธอรู้แผนการของฉีหลงก็ตัดความคิดเรื่องอยู่ประจำไปโดยสิ้นเชิง แม่งเอ๊ย เธอไม่สนใจต่อสู้กับฉีหลงที่เหมือนคนบ้าทุกวันหรอกนะ หมอนี่เหมือนกับแมลงสาบที่ฆ่าไม่ตาย ถึงแม้ว่าเธอจะเอาชนะฉีหลงได้ แต่ก็ไม่สามารถแน่ใจได้ว่าจะเอาชนะได้อีกนานเท่าไร มันยุ่งยากเปลืองแรงกายแรงใจ

ประตูสถาบันปิดสนิท เงียบเชียบไร้ผู้คน ผู้คุมกันหน้าประตูเห็นพวกหลิงหลานออกมาก็รีบเดินออกมาหยุดไว้ พวกหลิงหลานยังสวมชุดของตัวเองอยู่ ทำให้ผู้คุ้มกันไม่รู้แน่ชัดว่าเด็กพวกนี้มาจากห้องไหน เนื่องจากวันนี้เป็นวันลงทะเบียน ดังนั้นจึงไม่ได้จำกัดเครื่องแบบที่เด็กสวมในโรงเรียน ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป นักเรียนของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือจะต้องสวมเครื่องแบบโรงเรียนของตัวเอง ไม่เช่นนั้นพวกเขายากจะก้าวเดินในสถาบันลูกเสือ

พูดถึงชุดเครื่องแบบของสถาบันลูกเสือแล้ว ทั้งหมดมีสี่สี สีพวกนี้ไม่ได้แยกเป็นระดับชั้นปีสูงกับระดับชั้นปีต่ำ หากแต่แบ่งระดับห้อง ทำให้พวกเด็กๆ เข้าใจเรื่องระดับชั้นกับสิทธิพิเศษตั้งแต่เด็กๆ ว่าผู้แข็งแกร่งเป็นที่เคารพ

เครื่องแบบของสถาบันเป็นชุดที่คล้ายคลึงกับเครื่องแบบทหารของสหพันธรัฐ เมื่อสวมที่ตัวแล้วดูเท่มาก สีของห้องสเปเชียลเอคือสีแดงสด ข้อมือเสื้อกับปกเสื้อเองก็แตกต่างจากห้องอื่น มีลวดลายสีทอง ให้ความรู้สึกหรูหราแต่ไม่โดดเด่น มันแสดงถึงความคาดหวังที่สถาบันมีต่อเด็กๆ เหล่านี้ หวังว่าพวกเขาจะเจิดจ้าพราวพร่าดุจสีแดง สุดท้ายก็สามารถกลายเป็นหนึ่งในดาวสงครามที่เจิดจ้าที่สุดของสหพันธรัฐ

จากกฎของสถาบัน เมื่อเด็กที่สวมเครื่องแบบสีอื่นๆ เจอเด็กห้องสเปเชียลเอที่สวมเครื่องแบบสีแดง ไม่ว่าจะอยู่ชั้นปีสูงหรือต่ำก็จะต้องยอมถอยให้ แน่นอนว่าเมื่อเด็กห้องสเปเชียลเอทำการรังแกเด็กที่สวมเครื่องแบบสีอื่นๆ อีกฝ่ายก็สามารถท้าสู้เพื่อล้างแค้นได้ในช่วงจัดอันดับใหญ่ทุกๆ ครึ่งปี ผลที่ตามมาก็ย่อมต้องรับผิดชอบเอง

ห้องสเปเชียลบีก็มีเครื่องแบบสีขาว ห้องสเปเชียลบีคือกลุ่มเด็กที่ค่อนข้างด้อยกว่าเด็กห้องสเปเชียลเอเล็กน้อย มีความเป็นไปได้สูงว่าอนาคตพวกเขาจะไปถึงระดับเด็กห้องสเปเชียลเอ แต่ก็เป็นไปได้ว่าพวกเขาจะตกลงไปเป็นหนึ่งในคนระดับกลางๆ ดังนั้นจึงใช้สีขาวบอกพวกเขาว่า อนาคตของพวกเขาต้องให้พวกเขาย้อมสีเอง สุดท้ายจะกลายเป็นสีอะไรก็ต้องดูความพยายามของพวกเขา

ห้องยอดเยี่ยมเป็นสีฟ้า ห้องทั่วไปเป็นสีเขียว สีสองชนิดนี้แสดงถึงต้นกำเนิดของชีวิต ทางสถาบันใช้สีทั้งสองอย่างนี้เพื่อบอกพวกเด็กๆ ว่า พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งที่ขาดไม่ได้ของสหพันธรัฐ

แน่นอนว่าสีของเครื่องแบบไม่ใช่สิ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ขอเพียงคุณพยายาม ทุกๆ ครึ่งปีก็จะมีโอกาสโต้กลับหนึ่งครั้ง ทางสถาบันจะจัดให้นักเรียนเข้าไปเรียนในห้องต่างๆ ตามอันดับที่จัดล่าสุดในแต่ละครั้ง

โควตาห้าสิบคนของห้องสเปเชียลเอก็เป็นสิ่งที่นักเรียนนับหมื่นต่างช่วงชิงอยากได้พร้อมกัน เด็กๆ ที่เดิมทีอยู่ห้องพิเศษก็จะต้องพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อรักษาตำแหน่งของตัวเองไว้

นับตั้งแต่ที่เด็กๆ เข้าโรงเรียน ทางสถาบันศูนย์กลางลูกเสือก็บอกพวกเขาแล้วว่า นี่เป็นโลกแข่งขันอันดุเดือดอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

………………………………………….