ตอนที่ 62 การจัดการด้วยความจงใจ

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ

เมื่อผู้คุ้มกันรู้ว่าหลิงหลานเป็นเด็กห้องสเปเชียลเอ และยังเลือกเป็นนักเรียนแบบไปกลับ เขาก็ตกใจอย่างมากทันที เขารับหน้าที่เป็นผู้คุ้มกันมาหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นนักเรียนเลือกเรียนแบบไปกลับ

นี่ก็เห็นได้ว่า สิ่งที่เรียกว่าอิสระในการเรียนแบบไปกลับของทางสถาบันนั้นก็เป็นแค่คำพูดลอยๆ คิดๆ แล้วมันก็จริง ระบบการแข่งขันดุเดือดขนาดนี้ นักเรียนทุกคนแทบจะอยากจะใช้เวลายี่สิบสี่ชั่วโมงต่อวันของตัวเองให้กลายเป็นสี่สิบแปดชั่วโมง ใครยังยินดีจะเสียเวลาเดินทางไปกลับโรงเรียนล่ะ

ถึงแม้ว่าผู้คุ้มกันจะรู้สึกตกใจ แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรมาก จากนั้นก็พาหลิงหลานออกจากประตู แน่นอนว่าพวกฉีหลง ถูกขังอยู่ในสถาบันอย่างไร้เมตตา ใครให้พวกเขาเลือกอยู่ประจำล่ะ ถ้าเลือกอยู่ประจำ ต่อให้เป็นเด็กห้องพิเศษก็ไม่มีสิทธิเดินออกจากประตูสถาบันแม้เพียงครึ่งก้าวในช่วงเวลาที่ไม่ได้กำหนดให้ออกนอกสถาบัน

หลิงหลานโบกมือลาให้กับพวกเพื่อนๆ ตัวน้อย เมื่อเธอออกจากประตูสถาบันก็เห็นโฮเวอร์คาร์ของตระกูลหลิงรออยู่หน้าประตู

ครั้งนี้ตระกูลหลิงส่งโฮเวอร์คาร์มาห้าคัน และคนที่มารับหลิงหลานก็คือหลิงอวี่ คนผู้เดียวในตอนเช้าที่ไม่ได้ทรยศตระกูลหลิง เนื่องจากพ่อบ้านหลิงฉินจัดการเรื่องคนทรยศก็เลยไม่ได้มาด้วยตัวเอง

หลิงหลานนั่งอยู่บนโฮเวอร์คาร์ที่หลิงอวี่จัดเตรียมไว้ให้เธอ หลิงอวี่ก็ขึ้นมานั่งตาม จากนั้นก็เริ่มรายงานผลที่พวกเขาตรวจสอบในวันนี้ให้เธอ

ที่แท้สาเหตุที่หลิงหัวเลือกทรยศตระกูลหลิงเป็นเพราะเขาไม่หวังให้ลูกของตัวเองเดินบนเส้นทางของเขา กลายเป็นผู้คุ้มกันรุ่นต่อไปของตระกูลหลิง

หลิงอี้ บุตรชายของหลิงหัวอายุน้อยกว่าหลิงหลานหนึ่งปี เมื่อเขาเกิดพรสวรรค์ร่างกายที่ประเมินออกมาด้อยกว่าหลิงหลานนิดเดียว พูดได้ว่า มีความเป็นไปได้สูงที่หลิงอี้สามารถกลายเป็นผู้ควบคุมหุ่นรบไพ่ราชาได้ แต่ว่าลูกหลานของผู้คุ้มกันตระกูลหลิงจะไม่มีสิทธิเข้าไปเรียนในสถาบันลูกเสือ ได้แต่รับการศึกษาของที่บ้านที่ตระกูลหลิงจัดเตรียมเอง นี่จึงตัดโอกาสในการเติบโตของหลิงอี้ เขาไม่อาจควบคุมหุ่นรบที่ดีกว่าหุ่นรบมาตรฐานไปตลอดกาล ความเป็นไปได้ที่จะเลื่อนขั้นเป็นผู้ควบคุมหุ่นรบไพ่ราชาเท่ากับศูนย์

เมื่อเผชิญหน้ากับหลิงอี้ใกล้จะอายุหกขวบ หลิงหัวก็เป็นทุกข์และก็รู้สึกสับสน ในเวลานี้เองก็มีโอกาสให้ลูกชายของเขาบินขึ้นไป ดังนั้นหลิงหัวเลยหวั่นไหวขึ้นมา

อีกฝ่ายรับปากว่าขอเพียงหลิงหลานตาย ตระกูลหลิงก็จะล่มสลายไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาทั้งครอบครัวก็จะกลายเป็นประชาชนคนธรรมดาได้ และหลิงอี้ก็สามารถเข้าไปเรียนในสถาบันลูกเสือได้อย่างเปิดเผย มีอนาคตสดใสที่ไร้ขีดจำกัด

หลิงหลานได้ยินคำรายงานของหลิงอวี่ก็เอ่ยด้วยความเสียใจว่า “เขาโง่จริงๆ”

หลิงอวี่เอ่ยด้วยความมึนงงว่า “ใช่ครับ หัวหน้าโง่จริงๆ ขอเพียงเขาบอกเรื่องนี้กับพวกเรา เขาสร้างความดีความชอบมากมายย่อมสามารถยื่นขอให้ตัวเองกลับเป็นอิสระได้”

หลิงอวี่ยังจำได้ว่า หนึ่งในกฎประจำตระกูลข้อหนึ่งของตระกูลหลิงบอกว่า ผู้คุ้มกันที่สร้างคุณงามความดีสามารถยื่นคำขอที่ผู้นำตระกูลสามารถทำได้หนึ่งข้อต่อผู้นำตระกูล ขอเพียงหลิงหัวบอกแผนการที่อีกฝ่ายอยากจะจัดการหลิงหลานให้พ่อบ้านหลิงฉินฟัง เขาสร้างความดีความชอบใหญ่หลวงยื่นคำขอแบบนี้ไป หลิงหลานกับพ่อบ้านหลิงฉินไม่มีทางไม่เห็นด้วย

เวลานี้หลิงหลานกับหลิงอวี่ยังคิดไม่ออกว่าทำไมหลิงหัวถึงเดินไปบนทางสายมืด สุดท้ายก็ยอมทรยศตระกูลหลิง แต่ไม่ยอมใช้ข้อมูลนี้มาสร้างความดีความชอบ

ทว่าเมื่อหลิงหลานกลับไปถึงห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์หลักตระกูลหลิง รอจนหลิงฉินที่อยู่ตรงนั้นบอกเรื่องที่ตรวจสอบได้ในภายหลังรวมไปถึงเหตุผลอีกข้อที่หลิงหัวเลือกที่จะทรยศตระกูลหลิงให้เธอฟัง

สีหน้าของหลิงฉินเคร่งเครียดมาก “จากคำบอกเล่าของผู้คุ้มกันสามคนนั้น บางครั้งที่หลิงหัวลำพองใจก็เคยพูดว่า อีกฝ่ายยังรับปากว่าทุกปีจะมอบยากระตุ้นยีนระดับพิเศษให้ลูกชายเขาหกหลอดจนกระทั่งหลิงอี้ไม่สามารถดูดซับได้ แน่นอนว่าเขาเองก็รับปากแก่ผู้คุ้มกันสามคนนั้นเช่นกัน ขอเพียงทายาทของพวกเขามีคุณสมบัติที่ดี ก็สามารถได้รับค่าตอบแทนแบบนี้เหมือนกัน”

“ฝ่ายตรงข้ามเล่นใหญ่มากจริงๆ ดูท่าคนที่คิดอยากจะจัดการฉันจะไม่ใช่คนธรรมดามากๆ” หลิงหลานเข้าใจแล้วว่าทำไมสุดท้ายหลิงหัวถึงเลือกทรยศ ถึงแม้ดูแล้วมันเหมือนจะเป็นแค่ยากระตุ้นยีนหกหลอดเท่านั้น แต่มันทำให้หลิงหัวสัมผัสได้ถึงอำนาจอันแข็งแกร่งของอีกฝ่ายที่บดขยี้ตระกูลหลิงได้สบายๆ

“หลิงหัวหวาดกลัว เขาคิดว่าตระกูลหลิงไม่สามารถต้านทานคนๆ นั้นได้ เขาไม่อยากให้ลูกตัวเองกลายเป็นของร่วมฝังศพจากการล่มสลายของตระกูลหลิง” หลิงฉินย่อมเข้าใจความคิดของหลิงหัวเช่นกัน จากนั้นก็ถอนหายใจอีกครั้ง

“คุณชายหลาน คุณจะเตรียมตัวจัดการภรรยาและลูกของหลิงหัวยังไงครับ” หลิงฉินเอ่ยถามคำถามข้อนี้ขึ้นมาด้วยความระมัดระวัง ไม่มีตระกูลไหนสามารถยอมรับลูกกำพร้าของคนทรยศได้ มีตระกูลมากมายที่เลือกกำจัดทิ้งทันที

ในขณะที่หลิงหลานคิดจะเอ่ยปากตอบ ก็ได้ยินเสียงเอะอะดังขึ้นตรงหน้าประตูใหญ่ รวมไปถึงเสียงตะโกนร้องไห้ของเด็กคนหนึ่ง “คุณชายหลาน คุณชายหลาน ขอร้องละ มาพบผมที”

หลิงหลานที่นั่งอยู่บนโซฟาขมวดคิ้วน้อยๆ เงยหน้ามองไปที่หลิงฉิน เธอก็เห็นหลิงฉินทำหน้ากระอักกระอ่วนขึ้นมาแวบหนึ่ง ดูท่าเขาจะรู้ว่าเด็กที่ตะโกนอยู่ด้านนอกเป็นใคร

หลิงหลานเองก็ไม่ถาม เธอลุกขึ้นและเดินไปที่หน้าประตูโดยที่หลิงฉินกับหลิงอวี่ตามหลังไปติดๆ

เมื่อหลิงหลานมาถึงหน้าประตู ก็เห็นร่างเล็กที่เล็กกว่าเธอนิดหน่อยกำลังดิ้นรนอยู่ในมือผู้คุ้มกันคนหนึ่งอย่างสุดความสามารถ ในปากก็ยังตะโกนเสียงดังว่า คุณชายหลาน เมื่อเห็นเธอออกมา แววตาก็มีความยินดีอย่างบ้าคลั่ง

“นายเป็นใคร ทำไมอยากเจอฉัน” หลิงหลานเอ่ยถามด้วยสีหน้าเย็นเยียบ

“คุณก็คือคุณชายหลาน?” ร่างเล็กได้ยินคำถามของหลิงหลานก็ยิ่งดิ้นรนหนักขึ้น

หลิงอวี่ที่ยืนอยู่ด้านหลังหลิงหลานทอดสายตาไปยังผู้คุ้มกันที่กำลังหิ้วเด็กเอาไว้ ผู้คุ้มกันคนนั้นรีบปล่อยมือทันทีก่อนจะถอยไปอีกด้านหนึ่ง

“ผมชื่อหลิงอี้ พ่อของผมชื่อหลิงหัว” ร่างเล็กยืนตัวตรง ตั้งสติแล้วก็แนะนำตัวขึ้นมา

หลิงหลานลอบพยักหน้า มิน่าล่ะ หลิงหัวถึงเดินไปบนเส้นทางทรยศไม่หวนกลับเพื่อลูกชายของเขา เด็กคนนี้ฉลาดมากจริงๆ สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองคว้าโอกาสเอาไว้ได้

“พวกเขาบอกผมว่า พ่อของผมตายแล้ว…พ่อผมแข็งแกร่งขนาดนั้น จะตายได้ยังไง” ใบหน้าของหลิงอี้ยังคงมีความหวังว่าหลิงหลานจะบอกเขาว่า เรื่องทุกอย่างนี้ไม่ใช่ความจริง

หลิงหลานถอนหายใจลับๆ หลิงหัวทำผิดต่อเธอ แต่เขาไม่ได้ทำผิดต่อหลิงอี้ ในสมองเธอมีความคิดสลับไปมา แล้วก็ตอบว่า “ต่อให้แข็งแกร่งอีกแค่ไหนก็ต้านทานแผนชั่วร้ายของศัตรูไม่ได้ หลิงอี้ พ่อของนายตายไปแล้วจริงๆ”

“ใครฆ่าพ่อผม” แววตาของหลิงอี้ดูผิดหวัง

“ไม่รู้ แต่พวกเราเดาว่าเป็นไปได้ที่จะมาจากคนระดับสูงในกองทัพ และเป็นไปได้ว่าพ่อของฉันเองก็ตายอยู่ใต้แผนการลอบทำร้ายของอีกฝ่ายเหมือนกัน” หลิงหลานกล่าวด้วยความโศกเศร้าและเสียใจ

หลิงหลานโยนการเสียชีวิตของหลิงหัวไปให้ศัตรูที่อยากให้เธอตาย เธอเฝ้าคอยอย่างยิ่งว่าหลังจากที่หลิงอี้เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้วจะไปคิดบัญชีกับอีกฝ่าย สุดท้ายถึงแม้ว่าหลิงหัวจะตายอยู่ในมือเธอ แต่สาเหตุก็คือการติดสินบนของฝ่ายตรงข้ามไม่ใช่เหรอ

แน่นอนว่าคำพูดของหลิงหลานทำให้แววตาของหลิงฉินกับหลิงอวี่สองคนเผยความตกใจออกมาวูบหนึ่ง แต่สีหน้าของพวกเขาทั้งสองก็ผ่อนคลายลงอย่างรวดเร็ว ราวกับพอใจวิธีการพูดของหลิงหลานมาก

หลังจากที่หลิงอี้ได้รับคำตอบที่ต้องการ สายตาของเขาก็เผยเปลวไฟแห่งความแค้นออกมา “คุณชายหลาน ผมจะต้องแข็งแกร่งขึ้นแน่นอน พอถึงเวลานั้น ผมหวังว่าคุณชายหลานจะให้โอกาสผมไปสังหารศัตรูด้วยมือตัวเอง”

คำพูดของหลิงอี้ทำให้หลิงฉินกับหลิงอวี่อดตัวสั่นไม่ได้ ไอเย็นยะเยือกพุ่งไปถึงหัวใจ นี่จะเป็นการเลี้ยงลูกเสือลูกจระเข้หรือเปล่า

มีเพียงหลิงหลานที่ทำหน้านิ่ง เธอพยักหน้ากล่าวว่า “ได้ ฉันรับปากนาย แล้วยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ฉันต้องบอกนาย ตอนที่พ่อนายสละชีวิต เขาขอให้นายกลับเป็นอิสระ และฉันก็รับปากไว้แล้วด้วย…”

หลิงอี้กลับเอ่ยขัดหลิงหลานว่า “ผมไม่อยากออกจากตระกูลหลิง”

“ทำไมล่ะ” หลิงหลานสงสัย

“ผมอยากสืบทอดตำแหน่งของพ่อ ผมอยากกลายเป็นผู้คุ้มกันที่คุณชายหลานไว้ใจมากที่สุด” หลิงอี้ทำหน้าเด็ดเดี่ยว เขาได้รับการสั่งสอนมาตั้งแต่เล็กว่าให้จงรักภักดีต่อตระกูลหลิง จงรักภักดีต่อผู้นำตระกูล ทำให้ในสมองน้อยๆ ของหลิงอี้ไม่มีความคิดเรื่องออกจากตระกูลหลิงเลย

คำตอบนี้ทำให้หลิงหลานเงียบไป

หลิงหัว นายขายตัวเอง ขายตระกูลหลิง แต่ลูกของนายกลับไม่อยากออกจากตระกูลหลิงเลย นี่มันแดกดันมากเลยใช่ไหม

“ฉันอยากรับปากนายมากๆ นะ แต่น่าเสียดายที่ฉันรับปากพ่อของนายไปก่อนแล้วก้าวหนึ่ง ฉันไม่สามารถผิดคำพูดได้…” หลิงหลานกล่าวด้วยใบหน้าเสียใจ

คำพูดของหลิงหลานทำให้หลิงอี้ร้องไห้ขึ้นมาทันที ถึงอย่างไรเขาก็ยังเป็นเด็กอายุห้าขวบ ต่อให้เด็กจะฉลาดแข็งแกร่งอีกสักแค่ไหนก็แบกรับความหวาดกลัวในใจไม่ได้เมื่อเผชิญหน้ากับอนาคตที่ไม่รู้ เขาร้องไห้คร่ำครวญขึ้นมาราวกับกลับไปเป็นเด็ก

“หลิงอี้ นายอยากสืบทอดตำแหน่งของพ่อนายก็จะร้องไห้อีกไม่ได้นะ” หลิงหลานเอ่ยปลอบโยนด้วยดวงตาที่แดงก่ำ “พ่อของนายหวังให้นายเข้าไปที่สถาบันลูกเสือ สอบเข้าโรงเรียนทหาร สุดท้ายก็กลายเป็นทหารอาชีพ นายจะทำให้พ่อของนายผิดหวังไม่ได้”

หลังจากนั้นหลิงหลานก็ลูบหัวเขาและเอ่ยต่อว่า “แต่ฉันไม่ได้บอกว่าจะไล่นายไปนะ นายยังเป็นคนของตระกูลหลิง เพียงแต่นายเป็นอิสระในนาม รอจนนายโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่ว่านายอยากจะจากไปหรือว่าจะกลับมาที่ตระกูลหลิงก็ได้ทั้งนั้น”

คำพูดของหลิงหลานจุดประกายความหวังให้หลิงอี้อีกครั้ง เขาเช็ดน้ำตาพูดว่า “อื้อ ผมจะพยายามครับ คุณชายหลาน ผมจะกลับมาแน่นอน” เขาเอ่ยคำพูดนี้อย่างมุ่งมั่นเด็ดขาด

จากนั้นเขาก็กล่าวกับหลิงอวี่ที่อยู่ด้านหลังหลิงหลานด้วยใบหน้าเคร่งขรึมว่า “คุณอาอวี่ ผมขอฝากคุณชายหลานให้คุณก่อน รอผมแข็งแกร่งขึ้นแล้ว ผมจะกลับมารับตำแหน่งของคุณ” เขากล่าวจบก็โค้งตัวบอกลาหลิงหลานก่อนจะไปจากคฤหาสน์ตระกูลหลิง

หลิงอวี่มีสีหน้ากังวล “คุณชายหลาน จัดการแบบนี้จะไม่เสี่ยงเกินไปเหรอครับ” ถ้าหลิงอี้รู้ความจริงขึ้นมา มีความเป็นไปได้สูงว่าจะกลับมาต่อต้านพวกเขาแทน

มุมปากของหลิงหลานเผยรอยยิ้มออกมา “น่าสนใจมากเลยไม่ใช่เหรอ ไม่ว่าสุดท้ายหลิงอี้จะเป็นประโยชน์ต่อฉันหรือไม่ เขาก็เป็นหมากที่ดีตัวหนึ่ง”

คำพูดของหลิงหลานทำให้หลิงอวี่ไม่กล้าพูดอีก ตอนนี้เขาเองก็ไม่เข้าใจความคิดที่แท้จริงของหลิงหลานว่าคืออะไรกันแน่

หลิงฉินมีสีหน้าหมองหม่นเล็กน้อย แต่สุดท้ายเขาก็ไม่เอ่ยปากพูดอะไร

หลิงหลานหันไปพูดกับหลิงฉินด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม “คุณปู่พ่อบ้าน จัดการคนทรยศพวกนั้นรวมไปถึงพวกนักโทษแล้วใช่ไหม”

หลิงฉินตกใจ มองไปที่หลิงหลานทันที

หลิงหลานเอ่ยถามว่า “คนทรยศของหลิงหัว นอกจากพวกเราสามคนที่รู้เรื่องแล้ว ยังมีใครที่รู้อีกบ้าง”

หลิงอวี่รีบส่ายหัวโดยพลัน เนื่องจากกลัวว่าตระกูลหลิงยังมีคนทรยศอีก สมาชิกหน่วยหุ่นรบที่ทรยศสามคนนั้นถูกเขากับหลิงฉินสอบปากคำด้วยตัวเอง คนอื่นๆ ไม่รู้รายละเอียดเลย

คำพูดที่หลิงฉินเอ่ยปากก็พิสูจน์เรื่องนี้เช่นกัน หลังจากที่หลิงอวี่ไปแล้ว เขาก็สอบปากคำตามลำพัง ดังนั้นถึงค่อยถามสาเหตุหลักที่หลิงหัวทรยศออกมาได้

“งั้นก็ดี หลังจากจัดการคนพวกนั้นแล้ว ขอเพียงพวกเราสามคนไม่หลุดปาก ฉันเชื่อว่าหลิงอี้จะไม่มีทางรู้ความจริง” คำพูดของหลิงหลานทำให้หลิงฉินกับหลิงอวี่หลั่งเหงื่อเย็นๆ ออกมาตามตัว นี่เป็นคำเตือนกลายๆ ของหลิงหลานหรือเปล่า

“ถ้าคนที่ติดสินบนหลิงหัวออกมาบอกหลิงอี้ล่ะครับ?” หลิงฉินยังไม่วางใจอยู่บ้าง เห็นได้ชัดว่าหลิงอี้คือระเบิดเวลา

“บางทีเราอาจจะกรอกความคิดให้หลิงอี้ได้ว่าทุกอย่างเป็นแผนการร้ายของฝ่ายตรงข้าม…นอกจากนี้กลัวว่าเขาจะไม่โผล่หน้าออกมาน่ะสิ ถ้าโผล่หน้ามาพวกเราก็สามารถไล่ตามเบาะแสได้ ดูว่าสุดท้ายใครเป็นคนคิดจะจัดการตระกูลหลิงของพวกเรา” หลิงหลานเผยสีหน้าเจ้าเล่ห์ออกมา

แววตาของหลิงฉินส่องประกาย “นี่ก็เป็นวิธีการที่ดีนะครับ” ถ้าหลิงอี้ล่องูที่อยู่เบื้องหลังตัวนั้นออกมาได้จริงๆ ละก็ เสี่ยงนิดหน่อยก็คุ้มค่าเหมือนกัน

ด้วยเหตุนี้เอง ทั้งสามคนคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นหลิงฉินกับหลิงอวี่ก็กลับไปจัดการธุระของตัวเอง ส่วนหลิงหลานยังคงนั่งอยู่บนโซฟาในห้องโถงคนเดียว รอจนแน่ใจว่าพวกเขาเดินจากไปแล้วถึงค่อยถอนหายใจเสียงเบาว่า “คิดจะช่วยหลิงอี้ ต้องทำเรื่องที่ซับซ้อนขนาดนี้เลยเหรอ”

หลิงฉินกับหลิงอวี่ทำหน้าเหมือนกับอยากจะตัดรากถอนโคน แต่ความจริงแล้วทุกอย่างที่พวกเขาทำก็เพื่อจะเก็บชีวิตของหลิงอี้ไว้ ถ้าไม่อย่างนั้น หลิงอี้ตัวน้อยจะปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูคฤหาสน์ของตระกูลหลิงได้อย่างไร

ผู้คุ้มกันที่ปกป้องตระกูลหลิงอย่างลับๆ คงจะได้รับคำสั่งให้ปล่อยหลิงอี้มาถึงหน้าประตูคฤหาสน์ หลิงฉินกับหลิงอวี่น่าจะมีส่วนร่วมในคำสั่งนี้…เมื่อหลิงหลานเห็นหลิงอี้ เธอก็รู้เรื่องนี้แล้ว

ถึงแม้ว่าเดิมทีหลิงหลานก็ไม่คิดจะเอาชีวิตหลิงอี้ แต่ว่าการจัดการด้วยความจงใจแบบนี้ทำให้เธอไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง

กฎประจำตระกูลของตระกูลหลิงมีมนุษยธรรมมากเป็นเรื่องที่ดียิ่ง แต่มันไม่เหมาะกับการป้องกันคนที่ขัดคำสั่ง เมื่อเจ้านายอ่อนแอลูกน้องแข็งแกร่งก็จะเกิดเรื่องออกคำสั่งลับๆ โดยไม่ผ่านการเห็นชอบของเจ้านายแบบนี้ ถึงแม้พวกเขาจะไม่มีเจตนาร้าย และก็ไม่ได้สร้างผลกระทบเลวร้ายอะไรต่อเธอในเวลานี้ แต่ถ้าปล่อยเรื่องนี้ไว้ต่อไป วันหนึ่งมันอาจจะสร้างหายนะอันใหญ่หลวงให้เธอก็ได้

บางทีเธอจะต้องคิดหาวิธีแก้ไขเรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นเธอก็ไม่สามารถเชื่อใจคนตระกูลหลิงต่อไปได้จริงๆ ไม่ว่าสำหรับหลิงหลานหรือว่าสำหรับพวกหลิงฉินแล้ว นี่เป็นเรื่องที่น่าเศร้ามากอย่างไม่ต้องสงสัย

………………………………………………….