ตอนที่ 63 หมายเลขห้าปรากฏตัว!

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ

หลังจากที่หลิงอวี่เดินออกจากคฤหาสน์ตระกูลหลิงแล้ว ในที่สุดเขาก็อดไม่ไหวเอ่ยถามหลิงฉินที่อยู่ข้างหน้าว่า “ผู้อาวุโสฉิน ทำไมไม่ถามเรื่องที่หุ่นรบดีดห้องคนขับออกมาละครับ?”

หลิงอวี่รู้ว่าเรื่องนี้ต้องเป็นฝีมือของหลิงหลานแน่นอน ไม่อย่างนั้นเขาไม่มีทางใจเย็นขนาดนั้นตอนที่หุ่นรบยิงใส่ เพียงแต่ว่าเขาไม่รู้จริงๆ ว่าหลิงหลานทำได้ยังไง หรือว่าเขาสามารถควบคุมออปติคัลคอมพิวเตอร์ได้?

หลิงอวี่ย่อมรู้ว่าความคิดของเขาเป็นเรื่องไร้สาระ น่าขบขัน ทุกคนต่างรู้ว่าออปติคัลคอมพิวเตอร์มีระบบควบคุมตัวเอง แค่มีแฮคเกอร์พยายามที่จะควบคุมออปติคัลคอมพิวเตอร์อย่างเปล่าประโยชน์ ออปติคัลคอมพิวเตอร์ก็จะปิดตัวลงเอง หุ่นรบจะเปลี่ยนเป็นควบคุมด้วยมือทั้งหมดโดยอัตโนมัติ

ต่อให้เป็นแฮคเกอร์ที่เก่งกาจที่สุดในโลกนี้ก็ทำเรื่องนี้ไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อออปติคัลคอมพิวเตอร์ปิดการทำงานแล้ว อำนาจการควบคุมนี้ยังคงอยู่ในมือผู้ควบคุมหุ่นรบในห้องคนขับ ไม่อาจพูดได้ว่า ผู้ควบคุมหุ่นรบสามคนนั้นต่างควบคุมหุ่นรบผิดพลาดกันหมดใช่ไหมล่ะ

แน่นอนว่ายังมีอีกอย่างหนึ่งก็คือตัวออปติคัลคอมพิวเตอร์เกิดทำงานบกพร่อง…หลิงอวี่ไม่กล้าคิดไปทางด้านนี้อยู่แล้ว ถ้าหากเป็นแบบนี้จริงๆ ขึ้นมา นี่ย่อมเป็นภัยพิบัติที่จะทำลายระบบอาวุธทั่วทั้งสหพันธรัฐ ทางสหพันธรัฐแบกรับไม่ไหวแน่นอน

หลิงฉินที่อยู่ข้างหน้าชะงักไปครู่หนึ่งแล้วค่อยหันหน้ามาเอ่ยเตือนว่า “หลิงอวี่ นายล้ำเส้นแล้ว”

หลิงอวี่ใจกระตุก ผู้นำตระกูลหลิงแต่ละรุ่นต่างมีวิชาลับและไพ่ตายของตัวเอง และพวกนี้ก็เป็นเขตหวงห้ามของตระกูลหลิง ไม่อนุญาตให้ผู้ใดสืบเสาะตามอำเภอใจ ผู้ฝ่าฝืนจะถูกจัดการอย่างทารุณ และเขาก็ล้ำเส้นโดยที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัว

“ครับ ขอบคุณผู้อาวุโสฉินมากๆ ที่เตือน” ตอนนี้หลิงอวี่ไม่อยากรู้อีกแล้ว บางทีนี่ก็อาจจะเป็นหนึ่งในไพ่ตายของตระกูลหลิงก็ได้ คิดๆ ดูแล้วก็ใช่ หุ่นรบเป็นอาวุธเดี่ยวขั้นสุดยอด ต่อให้เป็นหุ่นรบมาตรฐานทั่วไปก็สามารถจัดการยอดฝีมือด้านการต่อสู้ที่ไม่มีอุปกรณ์ป้องกันอะไรได้อย่างง่ายดาย ถ้าหากไม่มีทางหนีทีไล่สักนิด ผู้นำตระกูลหลิงจะมอบหุ่นรบให้คนอื่นอย่างสบายใจได้ยังไงล่ะ

จำเป็นต้องบอกว่าหลิงอวี่มโนเก่งมาก ผลของการจินตนาการก็คือเหงื่อเย็นๆ เปียกชุ่มแผ่นหลัง เดิมทีชาตินี้เขาจะจงรักภักดีต่อตระกูลหลิงไม่มีความคิดทรยศแม้เพียงนิด กลายเป็นว่าชั่วชีวิตนี้เขาจะเป็นผู้คุ้มกันที่จงรักภักดีต่อหลิงหลานมากที่สุด

หลิงฉินเห็นหลิงอวี่ตระหนักได้ในที่สุด เขาก็เผยรอยยิ้มพึงพอใจออกมา หลิงฉินเป็นผู้อาวุโสและผู้คุ้มกันที่ดี ทว่าไม่ใช่พ่อบ้านที่ดี ถ้าไม่ใช่เพราะหลายปีมานี้เขาปล่อยอิสระตามอำเภอใจ คนที่อยู่ใต้อาณัติของตระกูลก็คงไม่มีทางคลางแคลงใจกับตำแหน่งของตัวเอง จนสุดท้ายก็ก่อให้เกิดเหตุการณ์ทรยศนี้ขึ้นมา แต่หลิงฉินก็เป็นคนที่รู้จักย้อนมองตัวเอง ในเมื่อก่อนหน้านี้เขาทำผิดพลาด เช่นนั้นเขาก็จะแก้ไขตั้งแต่ตอนนี้

ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนจากท่าทีอ่อนโยนในอดีตให้เป็นเข้มงวดขึ้นมา เพราะฉะนั้นถึงได้ทำการตักเตือนต่อหน้าหลิงอวี่เรื่องความอยากรู้อยากเห็นของเขา ควรทราบว่าถ้าเป็นแต่ก่อน หลิงฉินคงอธิบายให้หลิงอวี่ฟังด้วยความอดทน หลังจากนั้นค่อยห้ามปรามหลิงอวี่ว่าอย่าถามมั่วซั่วเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่ใช่เอ่ยตักเตือนอย่างตรงไปตรงมาแบบนี้

ดูท่าปัญหาของตระกูลหลิงที่หลิงหลานสัมผัสได้ หลิงฉินเองก็รู้สึกได้เช่นกัน นอกจากนี้เขายังพยายามแก้ไขข้อผิดพลาด เพียงแต่ว่าผลเป็นยังไงก็ยังต้องดูผลในภายหลัง

แน่นอนว่าหลิงฉินเอ่ยเตือนหลิงอวี่ด้วยท่าท่าทียากจะหยั่งถึง ความจริงแล้วตัวเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหุ่นรบสามตัวดีดห้องคนขับออกมาเองได้ยังไง ตอนนี้ความคิดแรกของเขาก็พุ่งตรงไปที่ไพ่ตายของตระกูลหลิงเช่นเดียวกัน

เขายังจำได้ว่าตอนที่หลิงเซียวจากไป เขาเคยกล่าวอะไรบางอย่างที่ข้างหูหลานลั่วเฟิ่งด้วยความระมัดระวัง (คุณปู่พ่อบ้านก็คิดโยงมากเกินไป คนเขาแค่อยากพูดถ้อยคำหวานๆ บ้างและกลัวว่าถูกคนได้ยินแล้วจะอายก็เท่านั้น) บางทีตอนที่นายท่านหลิงเซียวจะจากไป เขาก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติจึงบอกความลับนี้ให้กับหลานลั่วเฟิ่งเผื่อเอาไว้ก่อน หลังจากนั้นหลานลั่วเฟิ่งก็บอกต่อให้กับหลิงหลานอีกที

ควรพูดว่า ความสามารถในการมโนของพ่อบ้านไม่ด้อยไปกว่าหลิงอวี่เลย เดิมทีหลิงหลานยังกังวลว่าจะอธิบายปัญหาเรื่องนี้ยังไง เนื่องจากความเข้าใจผิดของสองคนนี้ มันจึงไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป

ต้องทราบว่าตั้งแต่ที่หลิงหลานเริ่มปรึกษาหารือเรื่องหลิงอี้ ความจริงแล้วเธอรู้สึกกังวลในใจมาตลอดว่าพวกเขาจะถามคำถามข้อนี้ แน่นอนว่าเธอคิดวิธีรับมือไว้แล้ว แต่ไม่นึกเลยว่าพวกเขาไม่ได้เอ่ยปากสอบถามเลยจนถึงตอนสุดท้ายที่จากไป นี่ทำให้หลิงหลานดีใจมาก และโล่งอกเช่นกัน ในเมื่อทุกคนต้องการเสแสร้ง เธอเองก็ยินดีคล้อยตามต่อไป

อย่างไรก็ตาม หลิงหลานดีใจได้ไม่นานนักก็ถูกมิติการเรียนรู้คว้าตัวเข้าไปอย่างน่าเวทนา

ตอนกลางคืน หลังจากที่หลิงหลานพยายามทำตัวน่ารักขณะที่กินอิ่มหนำสำราญภายใต้คำชมเชยของหลานลั่วเฟิ่งแล้ว ในตอนที่เธอฮัมเพลงเตรียมตัวนอนลงก็สัมผัสได้ว่าสติของเธอถูกพลังดึงดูดอันน่ากลัวดึงออกจากร่างกายอีกครั้ง

เชี่ย! มาอีกแล้ว!

หลิงหลานชูนิ้วกลางของตัวเองใส่โลกที่มืดมิดอย่างหยาบคาย บริภาษความเผด็จการของมิติการเรียนรู้ว่าไม่รู้จักเคารพโฮสต์ แน่นอนว่าหลิงหลานกล้ากำเริบเสิบสานในเวลานี้เท่านั้น ไว้เมื่ออาจารย์หมายเลขหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมา หลิงหลานย่อมเชื่อฟังจนไม่อาจเชื่อฟังไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้หมายเลขหนึ่งน่ากลัวขนาดนั้นล่ะ ความสามารถของเธอแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นทีละน้อยก็ยิ่งสามารถสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของอาจารย์หมายเลขหนึ่ง แค่สายตาที่ทอดมองครั้งเดียวก็สามารถสะกดเธอจนเคลื่อนไหวไม่ได้แล้ว…

หมายเลขหนึ่งที่มีใบหน้าเย็นชาเหมือนโลงศพปรากฏตัวขึ้นมาตามที่คาดคิดไว้จริงๆ หลิงหลานเปลี่ยนสีหน้าโกรธเกรี้ยวเป็นลดคิ้วต่ำลง ทำท่าตั้งใจฟังคำสั่งสอนทันที

“เธอมีความคิดเห็นยังไงเกี่ยวกับการซุ่มโจมตีวันนี้?” หมายเลขหนึ่งถามตรงๆ

“เมื่ออยู่ต่อหน้าหุ่นรบอาวุธเดี่ยวขั้นสุดยอด พลังกายไม่มีค่าให้พูดถึง เหมือนกับเป็นมดเลยค่ะ” หลิงหลานไม่ลืมความรู้สึกไร้พลังในตอนที่เธออยู่ต่อหน้าหุ่นรบ ถ้าไม่ใช่เพราะความช่วยเหลือของเสี่ยวซื่อ ครั้งนี้เธอคงหนีไม่รอดแล้ว

“ตัวเธอในตอนนี้สามารถเข้าใจเรื่องนี้ได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว” คำพูดของหลิงหลานคล้ายกับไม่ได้ทำให้หมายเลขหนึ่งพึงพอใจเป็นพิเศษ ทว่าก็ไม่ได้โกรธเพราะเรื่องนี้เช่นกัน เขากล่าวว่า “เนื่องจากสภาพอ่อนด้อยของเธอในปัจจุบัน ฉันเลยจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนแผนการสอนของเธอ”

หลิงหลานอึ้งไป ไม่รู้ว่าคำพูดของอาจารย์หมายเลขหนึ่งหมายถึงอะไรกันแน่

“หมายเลขห้า!” หมายเลขหนึ่งเอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง ทว่าเขาเรียกหมายเลขที่ไม่เคยเรียกมาก่อน

“พี่ใหญ่ ฉันมาแล้ว” เสียงหนึ่งที่ฟังดูกะล่อนดังขึ้นจากด้านหลังหลิงหลาน

หลิงหลานหันหน้าไปฉับพลัน จากนั้นก็เห็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่ง เขายิ้มที่มุมปาก เมื่อเห็นเธอหันหน้ามาก็โบกมือให้เธอด้วยความกระตือรือร้น ราวกับว่าเขาไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยเมื่อเผชิญหน้ากับพลังที่บีบคั้นของหมายเลขหนึ่ง

หลิงหลานหดสายตาลง ชายคนนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน เธอรู้ดีว่าพลังบนตัวอาจารย์หมายเลขหนึ่งแข็งแกร่งเหมือนที่แล้วมา ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามไม่รู้สึกอะไร แสดงว่าอีกฝ่ายก็แข็งแกร่งแบบเดียวกันใช่ไหม?

“ต่อไปจะให้หมายเลขห้าเป็นอาจารย์หลักในการฝึกสอนเธอ โดยมีหมายเลขเก้าคอยเสริม” หมายเลขหนึ่งไม่สนใจท่าทีเหลาะแหละของหมายเลขห้า เขากล่าวจบแล้วก็หายตัวไปอีกครั้ง

ในขณะเดียวกัน หมายเลขเก้าก็ปรากฏตัวขึ้นในมิติการเรียนรู้ เมื่อเธอเห็นหมายเลขห้า ดวงหน้าที่เดิมทีมีรอยยิ้มเล็กน้อยก็เย็นเยียบลงทันที  “หมายเลขห้า ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”

“น้องหมายเลขเก้า ไม่ได้เจอกันนานจริงๆ นั่นแหละ พี่ชายอย่างฉันแทบจะเป็นไข้ใจ ผมหงอกในชั่วข้ามคืนเพราะสาเหตุนี้เลยนะ…” หมายเลขห้าพุ่งไปตรงหน้าหมายเลขเก้าฉับพลัน เขาคว้ามือของหมายเลขเก้าไว้ด้วยความตื่นเต้น ความรักใคร่ฉายเต็มทั่วใบหน้า ไม่สนใจเลยสักนิดว่าหน้าผากของหมายเลขเก้ามีเส้นเลือดผุดขึ้นมา

เมื่อเห็นคำพูดและการกระทำที่ไร้ยางอายของหมายเลขห้า หมายเลขเก้าก็เหวี่ยงขาเตะออกไปอย่างเฉียบขาด

หมายเลขห้าถอยหลังแค่ก้าวเดียวก็รอดพ้นขอบเขตการโจมตีของหมายเลขเก้าได้ ทว่าเขายังคงไม่เก็บอาการพูดหยอกล้อต่อว่า “น้องหมายเลขเก้า แค่เห็นหน้าก็ร้อนแรงขนาดนี้ นี่ทำให้พี่ชายดีใจจริงๆ”

“หมายเลขห้า อย่าลืมภารกิจของนายสิ ความอดทนของหมายเลขหนึ่งไม่ได้ดีแบบฉันหรอกนะ” หมายเลขเก้าแค่นเสียงเย็น ราวกับคุ้นชินท่าทีไร้สมบัติผู้ดีแบบนี้ของหมายเลขห้ามานานแล้ว เธอเอ่ยเตือนหมายเลขห้าตรงๆ ว่าอย่าเล่นมากเกินไป

หมายเลขห้าได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มก็แข็งทื่อ

หมายเลขเก้าไม่ใยดีหมายเลขห้า เธอหันหน้ามาพูดกับหลิงหลานว่า “หลิงหลาน การฝึกสอนของหมายเลขห้าไม่ง่ายนะ เธอต้องเตรียมตัวให้ดี” เมื่อเผชิญหน้ากับลูกศิษย์ที่ตัวเองภาคภูมิใจ เธอก็อดเป็นห่วงมากหน่อยไม่ได้ เธอรู้สาเหตุดีที่คราวนี้หมายเลขหนึ่งไม่ให้เธอรับผิดชอบหลิงหลานตามลำพัง เห็นได้ชัดมากว่าเขากลัวความรักที่ไม่ลืมหูลืมตาของเธอจะส่งผลกระทบต่อการพัฒนาของหลิงหลาน

แม้ว่าหมายเลขหนึ่งดูเหมือนไม่พอใจหลิงหลานมาก จ้องจับผิดจุดเล็กจุดน้อยก็เยอะ แต่ความจริงแล้วหมายเลขหนึ่งให้ความสำคัญกับหลิงหลานมาก ถึงขนาดที่อบรมสั่งสอนเธอให้เป็นผู้สืบทอด ไม่เช่นนั้นหมายเลขหนึ่งก็คงไม่ปรับเปลี่ยนแผนการสอนของเขาหลายครั้งเพื่อหลิงหลานหรอก

หมายเลขห้าได้ยินคำพูด รอยยิ้มก็ปรากฎขึ้นบนใบหน้าอีกครั้ง “หมายเลขเก้า วางใจเถอะ หลิงหลานเองก็เป็นนักเรียนของฉันเหมือนกันนะ ฉันจะดูแลเธอให้ดีๆ” ไม่รู้ว่าทำไมเห็นรอยยิ้มของหมายเลขห้าแล้ว หลิงหลานรู้สึกได้เพียงความเหน็บหนาวที่โจมตีไปถึงหัวใจ

ลางสังหรณ์ของหลิงหลานไม่ผิด พอหมายเลขเก้าได้ยินคำพูดของหมายเลขห้า เธอก็ไม่ได้ผ่อนคลายจิตใจ หากแต่ใช้สายตาแปลกประหลาดและเห็นอกเห็นใจมองดูหลิงหลาน แววตานี้ทำให้ระฆังเตือนภัยที่อยู่ในก้นบึ้งของจิตใจหลิงหลานร้องดังก้องอย่างบ้าคลั่ง นี่แม่งต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน

หลิงหลานยังไม่ทันเอ่ยปากถามหมายเลขเก้าก็เห็นหมายเลขห้าขยับนิ้วทีหนึ่ง หลิงหลานก็ถูกเขาโยนเข้าไปในมิติการเรียนรู้แห่งใหม่ซึ่งเป็นทุ่งหญ้าสุดลูกหูลูกตา หลิงหลานฟังเสียงระบบดังขึ้นข้างหูเธออย่างทุกข์ระทมว่า

ภารกิจ: อีกหนึ่งนาทีให้หลัง ฝูงหมาป่าจะมาถึง โปรดยืนหยัดท่ามกลางการโจมตีของฝูงหมาป่ายี่สิบนาทีโดยที่ไม่เสียชีวิต รางวัลความสำเร็จไม่ทราบ! บทลงโทษความล้มเหลวไม่ทราบ!

หลิงหลานไม่สนใจเรื่องรางวัลและบทลงโทษต่อไป เวลานี้ศีรษะเธอหลั่งเหงื่อเย็นๆ ออกมา แม่งเอ๊ย ให้เธอต่อสู้กับฝูงหมาป่าด้วยมือเปล่าเนี่ยนะ แล้วยังต้องฝืนทนให้ได้ยี่สิบนาที นี่มันจะเอาชีวิตกันแน่นอน หลิงหลานไม่เชื่อว่าหมาป่าที่อยู่ในฝูงหมาป่านี้จะเป็นเหมือนกับหมาป่าที่อยู่บนโลกในชาติก่อนของเธอ สัตว์ร้ายในมิติการเรียนรู้แข็งแกร่งกว่าสัตว์บนโลกหลายเท่าแน่นอน

ไม่ใช่ว่าหลิงหลานไม่คิดวิ่งหนี แต่น่าเสียดายที่เธอไม่รู้ว่าฝูงหมาป่าบุกโจมตีจากทางไหน หรือว่าจะมาทั้งสี่ด้านเลย ในเมื่อเธอไม่อาจแน่ใจได้ หากเคลื่อนไหวบุ่มบ่ามก็ทำให้ตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายได้ ไม่สู้สะสมกำลังรอคอยการต่อสู้ขั้นเด็ดขาดในตอนสุดท้ายดีกว่า

หลิงหลานย่อมใช้ช่วงเวลารอคอยสุดท้ายสังเกตสภาพทุ่งหญ้ารอบด้าน ถ้าหากสามารถหาสถานที่ยากโจมตีง่ายต่อการป้องกันได้ละก็ ไม่ต้องพูดถึงยืนหยัดยี่สิบนาทีเลย ต่อให้ต้องฝืนทนนานกว่านี้อีกหน่อย เธอก็มีความมั่นใจเช่นกัน

น่าเสียดาย หลิงหลานรู้สึกผิดหวัง มิติการเรียนรู้ไม่ใช้เกมในชาติก่อนที่มีบัคมากมายนับไม่ถ้วน ทุ่งหญ้าที่อยู่ในสายตาเธอผืนนี้ไม่มีของกำบังอะไรที่ใช้ประโยชน์ได้เลย นอกจากจะไกลสุดลูกหูลูกตาแล้วก็ยังกว้างใหญ่มองไม่เห็นขอบเขต ยิ่งไปกว่านั้น นอกจากดินอ่อนนุ่มบนทุ่งหญ้าแล้วก็เป็นหญ้าเขียวชอุ่มล้วน ถึงขนาดที่ไม่มีก้อนหินแข็งๆ สักก้อน ต่อให้หลิงหลานอยากหาก้อนหินมาเป็นอาวุธก็ทำไม่ได้

ให้ตายสิ มิติการเรียนรู้โหดเหี้ยมจริงๆ ไม่ให้โอกาสหลิงหลานยืมแรงภายนอกสักนิดเลย ตัดสินใจแน่วแน่ว่าอยากให้หลิงหลานต่อสู้กับฝูงหมาป่าด้วยมือเปล่า

หนึ่งนาทีผ่านไปรวดเร็วมาก เสียงหอนของหมาป่ามากมายดังมาจากรอบด้านหลิงหลาน ไม่ใช่ทางด้านเดียว หากแต่เป็นการโจมตีทุกทิศทางอย่างที่คาดคิดไว้จริงๆ สำหรับหลิงหลานแล้ว สถานการณ์นี้ยิ่งตึงเครียดมากขึ้น

หลิงหลานหรี่ดวงตาทั้งสองข้างลง ไอชั่วร้ายที่เดิมทีเก็บงำไว้ในร่างกายปะทุออกมาโดยพลัน เมื่อไอชั่วร้ายนี้ปรากฏขึ้นก็ทำให้เสียงหอนของหมาป่าเกิดการเปลี่ยนแปลง…

……………………………………….