ภาคที่ 3 บทที่ 29 ช่วยชีวิต

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 29 ช่วยชีวิต

เมื่อกลับถึงคฤหาสน์ซู หัวหน้าพ่อบ้านเหลาก็ยืนรออยู่ก่อนแล้ว

เขารุดมาทางซูเฉินแล้วโค้งคำนับทักทาย “สวัสดีขอรับ ผู้จัดการความรู้ซู”

“อืม” ซูเฉินไม่พูดมาก พยักหน้ารับคราหนึ่ง เดินไปนั่งแล้วเอ่ย “กังเหยียน ปล่อยตัวแม่นางเหลียนออกมา”

“ขอรับ !” กังเหยียนรับคำ

ครู่ต่อมา เหลียนเจี่ยวก็ถูกกังเหยียนนำตัวออกมา

หัวหน้าพ่อบ้านเหลาเห็นเหลียนเจี่ยวก็เอ่ยเสียงยินดี “บ่าวคำนับคุณหนู ! หลายวันที่ผ่านมา คุณหนูเป็นอย่างไรบ้าง ?”

เหลียนเจี่ยวทำหน้าฉงน “หลายวัน ? ข้ามาอยู่ที่นี่นานเท่าไรแล้ว ? เหตุใดจึงจำไม่ได้เล่า ?”

“อะไรนะ ?” หัวหน้าพ่อบ้านเหลาชะงักไป เขาหันไปตวัดสายตาจ้องซูเฉินด้วยความโกรธ “ผู้จัดการความรู้ซู ท่านทำอะไรกับคุณหนู ?”

“ก็ไม่มีอะไรมาก เพียงลบความทรงจำช่วง 2-3 วันที่ผ่านมานี้เท่านั้น คนเราก็มีความลับบ้าง ข้าไม่อยากให้ความลับของข้าแพร่งพรายออกไป ข้าเชื่อว่าตระกูลเหลียนจะเข้าใจเหตุผลของข้า”

“ซูเฉิน !” เมื่อได้ยินว่าถูกล้างความทรงจำเหลียนเจี่ยวก็เผย ‘นิสัยคุณหนู’ ออกมาในพลัน เมื่อไร้ความทรงจำ ความกลัวจึงหายไปด้วย ดังนั้นนางจึงรับมือยากเช่นเมื่อก่อน “เจ้ากล้าทำกับข้าเช่นนี้หรือ ? ข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่ !”

“ไอ้หยา คุณหนูอย่ากล่าวเช่นนั้นเลยขอรับ” หัวหน้าพ่อบ้านเหลากลัวนัก รีบดึงตัวเหลียนเจี่ยวออกมา

“หัวหน้าพ่อบ้านเหลา ท่านหมายความว่าอย่างไร ? ตระกูลเหลียนของเราเกรงกลัวเขาหรือ ?” เหลียนเจี่ยวยังอยากแก้แค้น แต่หัวหน้าพ่อบ้านเหลาไม่ยอมปล่อย สุดท้ายก็ไร้ทางเลือก ต้องโน้มตัวเข้าไปกระซิบ “คุณหนูไม่รู้ แต่ 2-3 วันที่ผ่านมา ซูเฉินสังหารหลิ่วอู๋หยา เข้าครองกรมพลังต้นกำเนิด สานไมตรีกับเจ้าเมืองอัน หลงเฉ่าโหยวถูกคำสาป ไม่รู้จะรอดหรือไม่ และตระกูลหลงก็ถูกโจมตีกลับ คนในตระกูลนั้นตายไปหลายคนแล้ว ! ล้วนเป็นเพราะซูเฉินทั้งสิ้น !”

“อะไรนะ ?” เหลียนเจี่ยวตกตะลึง

นางจ้องซูเฉินอย่างไม่อยากเชื่อ

ทว่าชายหนุ่มยังคงจิบชาโบกมือต่อไป “หากไม่มีอะไรแล้วก็ไปได้ จำข้อตกลงเราไว้ก็พอ”

“ตระกูลเหลียนย่อมรักษาข้อตกลงเป็นอย่างดี” หัวหน้าพ่อบ้านเหลาแบมือปะทะกำปั้น ก่อนจะคำนับแล้วพาเหลียนเจี่ยวจากไป

ซูเฉินพึมพำไม่เงยหน้า “ถึงไม่รักษาข้าก็ไม่กลัว”

เขาไม่ได้เอ่ยดังนัก แต่หัวหน้าพ่อบ้านเหลาก็ยังได้ยิน ทำให้ใจสั่นสะท้าน เมื่อเหลียนเจี่ยวกลับไปเขาก็จะให้คนทำการตรวจร่างกายนางว่าอีกฝ่ายไม่ได้ทำอะไรนางอีก

เมื่อคนจากไปแล้ว เขาก็เงียบครุ่นคิด

“คำสาปหรือ……”

คิดอยู่พักหนึ่ง เขาก็พลันลุกแล้วเดินไปที่ห้องทดลอง

จากนั้นปรุงยาขึ้นมาขวดหนึ่ง จากนั้นเทลงไปในแม่พิมพ์มนุษย์ที่เขาเตรียมไว้

หลังจากส่วนผสมแห้งแล้ว ก็บังเกิดเป็นหน้ากากหนังมนุษย์

ซูเฉินค่อย ๆ หยิบมันออกมา จากนั้นสวมเข้าที่ใบหน้าตนเอง มองตนเองในกระจกผลึกแก้วเล็กน้อย จัดผมอีกหน่อย เปลี่ยนชุด จากนั้นเดินออกไป

เขาไม่ได้บอกใคร แต่กลับหายไปในยามค่ำคืน

——————————————————

ภายในตระกูลหลง

หลงชิงเจียงนั่งอยู่ข้างเตียงบุตรชาย กุมมืออีกฝ่ายไว้ ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล

หลงเฉ่าโหยวยังคงอ่อนแอลงเรื่อย ๆ หมอกดำยังเปลี่ยนรูปร่างไปมาต่อไป ค่อย ๆ ดูดกลืนพลังชีวิตของหลงเฉ่าโหยวไปช้า ๆ

เว่ยเหลียนเฉิงสิ้นใจไปแล้ว

หากไม่มีมันแล้วก็ไม่อาจคลายนคำสาปได้อีก

หลงชิงเจียงสิ้นหวังแล้ว

ในตอนที่หมดหวังกับชีวิตบุตรชายตนนั่นเอง หัวหน้าพ่อบ้านเหลาก็เดินเข้ามา “ผู้นำตระกูล มีคนต้องการพบท่าน เขาบอกว่ามารักษาอาการของคุณชายขอรับ”

“ให้เขาเข้ามา” หลงชิงเจียงไม่ตื่นเต้นเลย

เขาเชิญหมอชื่อดังทั้งหลายจากแถบเมืองธารน้ำใสมาจนหมด ทั้งยังเชิญผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดมาดูอาการ แต่ก็ไม่เคยมีใครเคยเห็นคำสาปนี้มาก่อน ไม่อาจทำอะไรได้

คนผู้นี้ก็อาจทำด้เพียงส่ายหน้าก็เท่านั้น

แต่กระนั้น หลงชิงเจียงก็ยังกอดความหวังสุดท้ายไว้ ปล่อยให้อีกฝ่ายเข้ามาแล้วเอ่ยทักทายด้วยความเคารพ

ผู้ที่เข้ามาคือบุรุษวัยกลางคนผิวสีคล้ำ ดูธรรมดาไม่โดดเด่น บนหลังแบกย่ามยาไว้

“หลงชิงเจียงทำความเคารพท่าน ขอถามนามของท่านได้หรือไม่ ?”

“มิกล้าหรอก แซ่ข้าคือเฉิน ส่วนชื่อมีพยางค์เดียวคือ ชู” ท่านหมอตอบ ก่อนสำรวจใบหน้าหลงเฉ่าโหยวที่นอนอยู่บนเตียง น้ำเสียงแหบห้าวเล็กน้อย

พูดทั้งหมดโดยไม่กะพริบตาเลยทีเดียว

เมื่อเห็นท่าทางอีกฝ่าย หลงชิงเจียงจึงรีบกล่าว “ท่านเฉินโปรดเข้ามา”

เฉินชูไม่เกรงใจ เข้ามานั่งด้านข้างหลงเฉ่าโหยว คว้ามือหนึ่งของหลงเฉ่าโหยวไว้จับชีพจร ดูตรงไปตรงมา ไม่เสียเวลาไร้ความลังเล

หลงชิงเจียงไม่ใส่ใจ แต่ยิ่งรู้สึกว่าท่านหมอคนนี้ดูพึ่งพาได้ หมอคนก่อน ๆ พูดคุยไว้มากมาย แต่สุดท้ายก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย

อึดใจต่อมา หมอเฉินก็ปล่อยมือ จากนั้นแหวกตาหลงเฉ่าโหยวตรวจสอบ จากนั้นก็ตรวจดูลิ้น ดึงเสื้อผ้าออกเพื่อดูที่ช่วงท้อง

หมอคนอื่น ๆ ทำเช่นนี้หมด แต่ไม่มีใครตรวจที่ช่วงท้องมาก่อน

หมอเฉินผู้นี้ตรวจทั่วร่างหลงเฉ่าโหยวก่อนจะถอนหายใจออกมา “เช่นนี้เองหรือ”

“หมอเฉิน ท่านพบอะไรหรือ ?” หลงชิงเจียงถามเสียงยินดี

“ใช่แล้ว มันเป็นคำสาปชนิดหนึ่ง” เฉินชูพยักหน้ากล่าว

หลงชิงเจียงได้ยินแล้วก็ราวกับถูกสาดน้ำเย็น “ข้ารู้แล้วว่ามันเป็นคำสาป !”

“แล้วผู้นำตระกูลหลงรู้หรือไม่ว่าเป็นคำสาปชนิดใด ?” เฉินชูเอ่ยเสียงแหบ

หลงชิงเจียงชะงัก

เฉินชูกล่าว “คำสาปเช่นนี้ แท้จริงแล้วคือการใช้สสารจุลภาคกับร่างคน จากนั้นใช้วิชาลับคอยควบคุมมันไว้”

“สสารจุลภาค ?”

“ถูกต้อง มันคือสสารชนิดหนึ่งที่เล็กเท่าเม็ดฝุ่น ไม่อาจเห็นได้ด้วยตาเปล่า สสารนี้มีความสามารถลึกลับ เมื่อใช้คู่กับวิชาลับจะค่อย ๆ ดูดกลืนพลังชีวิตคนได้ ที่คุณชายหลงยังรอดชีวิต เป็นไปได้ว่าผู้นำตระกูลคงใช้ยาล้ำค่าหล่อเลี้ยงเขาไว้มากมายกระมัง ? หากเพียงพอก็สามารถเลี้ยงชีวิตไว้ได้อีกระยะหนึ่ง แต่คำสาปก็จะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไป อาการจึงแย่ลง สุดท้ายวันหนึ่งก็ไม่อาจหล่อเลี้ยงไว้ด้วยยาได้อีก”

“เป็นเช่นนี้เอง” หลงชิงเจียงเอ่ยเสียงเศร้า “เช่นนั้นบุตรชายข้าก็ไม่อาจรักษาได้”

เขาใช้ยาล้ำค่าทั้งหลายมารักษาหลงเฉ่าโหยว แรกเริ่มก็ดูดี แต่เมื่อเวลาผ่านไปผลของยาก็เสื่อมถอยลงเรื่อย ๆ

นี่เองคือต้นเหตุของปัญหา

“อาจไม่เป็นเช่นนั้น” เฉินชูพลันเอ่ย

คำนั้นราวกับฟ้าผ่ากลางกระหม่อมหลงชิงเจียง “ท่านหมอเฉินหมายความว่ามีทางช่วยหรือ ?”

“ถูกต้อง !” เฉินชูพยักหน้า “มีอยู่ 2 วิธี”

มีอยู่ถึง 2 วิธีเลยหรือ ?

“หนึ่งคือตามหาคนที่ลงคำสาป หากสามารถทำลายวิชาได้ก็จะทำลายคำสาปได้ เมื่อไม่มีวิชาคอยควบคุม สสารประหลาดนั่นก็จะสลายไปเอง แต่วิชาลับเหล่านั้นก็มีมากมาย ยากนักที่จะรู้ว่าเป็นประเภทใด ดังนั้นจึงต้องหาตัวคนที่ลงคำสาปเพื่อกำจัดมัน”

หลงชิงเจียงได้ยินแล้วก็ส่ายหัว “คนที่ลงคำสาปตายไปแล้ว”

“เช่นนั้นก็ต้องวิธีที่สอง ท่านไม่จำเป็นต้องรู้ว่าคำสาปเป็นมาอย่างไร โจมตีเจ้าสสารนั่นโดยตรงเสียก็สิ้นเรื่อง”

หลงชิงเจียงรีบถาม “ท่านหมอทำได้หรือไม่ ?”

“ข้าไม่เคยเห็นสสารเช่นนี้มาก่อน คงต้องใช้เวลาในการปรุงยาขึ้นมารักษา แต่ก่อนหน้านั้นข้ากดอาการไว้ได้ อย่างน้อยจะได้ยืดชีวิตคุณชายหลงอีกสักหน่อย”

เฉินชูพูดแล้วก็หยิบยาสามขวดส่งให้หลงชิงเจียง “ยาเหล่านี้คงมีประโยชน์ กินวันละ 1 เม็ด ห้ามขาดห้ามเกิน หนึ่งขวดใช้ได้ 7 วัน อีก 21 วันข้าจะกลับมาอีก”

หลงชิงเจียงดีใจเป็นล้นพ้น รีบโค้งสุดตัวให้เฉินชู “ขอบพระคุณท่านหมอ !”