ภาคที่ 3 บทที่ 30 ทางแก้

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 30 ทางแก้

แม้จะถูกร้องขอให้อยู่ แต่เฉินชูก็บอกลาไป อ้างว่าต้องไปพัฒนายารักษาโรค

เป็นไปได้หลงชิงเจียงก็อยากจับตัวหมอเฉินไว้ แต่อีกฝ่ายบอกว่าต้องออกตามหาสมุนไพรยา ดังนั้นจึงได้แต่ปล่อยไป

ก่อนจากไป หลงชิงเจียงมอบเงิน 100 ตำลึงทอง กล่าวย้ำกว่าให้กลับมาหลังจาก 21 ผ่านพ้น ทั้งยังแอบส่งคนติดตามเขาไปด้วย

แต่คนที่ติดตามหมอเฉินไปพบว่าไม่นานก็คลาดสายตา ได้แต่กลับไปด้วยความโศก คงถูกหลงชิงเจียงโบยเป็นแน่

หลังออกมาจากตระกูลหลง เฉินชูก็หาที่เปลี่ยวร้างหยุดพัก ถอดหน้ากากออก หากไม่ใช่ซูเฉินแล้วจะเป็นใครไปได้อีก

หลังเปลี่ยนชุดแล้ว ซูเฉินก็หัวเราะเสียงทะมึน “ไม่คิดเลยว่าจะค้นพบสิ่งนี้”

พูดจบก็ยกขวดหนึ่งขึ้น ภายในคือเลือดของหลงเฉ่าโหยว

ซูเฉินพบสสารประหลาดภายในเลือดหลงเฉ่าโหยว สสารนั้นตรงกับสสารภายในก้อนโลหะพอดี มันมีขนาดใหญ่กว่าสสารต้นกำเนิด และดูจะมีพลังมากกว่าด้วย

แต่ในขณะที่สสารประหลาดภายในก้อนโลหะสามารถสร้างชีวิตใหม่ได้ แต่สสารในมือซูเฉินนั้นสามารถทำลายชีวิตได้

สสาร 2 ชนิดนี้ประกอบด้วยสสารต้นกำเนิดหลากหลายชนิด แต่องค์ประกอบพิเศษในตัวทำให้มันยังผลอันน่าสนใจ

แต่เพราะมันมีขนาดใหญ่กว่าสสารต้นกำเนิด ซูเฉินจึงใช้เนตรมองโลกจุลภาคมองเห็นมันโดยง่าย ดังนั้นชายหนุ่มจึงเชื่อว่าหากจะศึกษาค้นคว้าพวกมันก็คงไม่นับว่ายากอะไร

ดังนั้นเขาจึงรีบกลับคฤหาสน์ซู ด้วยแทบรอให้เริ่มการทดลองไม่ไหวแล้ว

แต่ระหว่างทางกลับก็เกิดเรื่องขึ้นเล็กน้อย

ชายผู้หนึ่งสวมชุดปกปิดร่างหัวจรดเท้า เดินมาจากทิศตรงกันข้ามกับซูเฉิน ในตอนที่กำลังจะเดินผ่านกัน อีกฝ่ายกลับใช้ไหล่กระแทกซูเฉิน

ซูเฉินเข้าใจทันที ขณะที่อีกฝ่ายเงื้อมือหมายคว้าเข้าที่เอว ซูเฉินก็คว้ามือไว้ก่อน

“นี่ มืออยู่ผิดที่แล้ว” แล้วก็หัวเราะ

เมื่อเห็นว่าถูกจับได้ก็สบถเสียงต่ำออกมา “บัดซบ รนหาที่ตายหรือ ?”

เขาดึงมีดออกมาจ้วงใส่ซูเฉินทันที ท่วงท่าดุร้ายนัก

ซูเฉินเปลี่ยนสีหน้า บิดมือไปอีกด้าน หักข้อมือที่ถือมีดทันที “เดิมทีอยากปล่อยเจ้าไป แต่ดูท่าเจ้าจะสมควรตาย ในเมื่อเดินเข้ามาหาข้าเอง ข้าก็ไม่เกรงใจล่ะนะ”

ว่าแล้วเขาก็ลากคนผู้นั้นกลับไปด้วย

แต่แม้จะเป็นยามค่ำ บนท้องถนนก็ยังไม่ร้างคน

เมื่อเห็นซูเฉินลากคนผู้นั้นจากไป คนที่เดินอยู่รอบข้างส่วนมากต่างก็ดึงอาวุธตนออกมาแล้วเดินตามซูเฉินไป ทั้งยังแผ่ไอสังหารออกมา

ชายที่นำหน้ากลุ่มคนไปตะโกนกร้าวขึ้น “กลุ่มพยัคฆ์ร้ายมีธุระที่นี่ ทุกคนไสหัวไปให้หมด !”

คนที่เดินผ่านมาจึงรีบหลีกหนีไปด้วยความกลัว ไม่กล้าแม้แต่จะเหลือบมองซูเฉินด้วยสายตาเห็นใจ

เมื่อเห็นว่ามีคนกลุ่มใหญ่ยกโขยงตามมา ซูเฉินก็ทวนคำ “กลุ่มพยัคฆ์ร้าย ? กลุ่มพยัคฆ์ร้ายที่อยู่ฝั่งตะวันตกของเมืองน่ะหรือ ?”

“รู้แล้วยังกล้าล่วงเกินอีกหรือ ? หากรู้ผิดชอบชั่วดีก็ปล่อยคนเสียแล้วส่งเงินมาให้หมด……”

“หนวกหูจริง” ซูเฉินไม่ปล่อยให้คนหัวหน้าทันพูดจบด้วยซ้ำ มือก็ขยับควับ

หนวดอากาศจำนวนมากพลันปรากฏตัว เลื้อยไปมาอยู่รอบกลุ่มคน

แม้หนวดอากาศเหล่านี้จะไม่ได้แข็งแกร่งอะไรมาก แต่ก็มากพอจะจัดการกับเหล่าคนอ่อนแอพื้นฐานพลังต่ำต้อยได้ พวกมันเลื้อยไปในอากาศ รัดร่างคนทั้งหลายไว้

“แย่แล้ว มันเป็นผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิด !” พวกอัธพาลร้องขึ้น

“ช่วยข้าด้วย !” ชายที่นำหน้ากลุ่มคนกรีดร้อง

อัธพาลคนหนึ่งล้วงเข้าไปในอกแล้วหยิบนกหวีกออกมา หมายจะเป่าสัญญาณเตือน

เคราะห์ร้ายที่ยังไม่ทันที่นกหวีดจะถึงปาก หนวดอากาศก็รัดร่างแล้วส่งร่างเขากระเด็นไป เมื่อร่วงถึงพื้นก็สลบไปทันที

อัธพาลอีก 7-8 คนถูกหนวดอากาศจับไว้ได้ ต่างก็ถูกลากกลับมาที่คฤหาสน์ซู

เมื่อกลับมาถึงคฤหาสน์ซู และเห็นกังเหยียนยังคงฝึกพวกโจรอยู่ ซูเฉินจึงโยนเหล่าอัธพาลไปทางเขา

กังเหยียนเดินเข้ามาทักทาย “นายท่านออกไปข้างนอกมาหรือ ? คนพวกนี้คงจะเป็นตัวทดลองใหม่กระมัง”

“อืม ขังพวกมันไว้ในคุก ไม่ต้องกังวลเรื่องฝึกฝน ข้าเหนื่อยตั้งมากกว่าหาตัวทดลองกว่าร้อยคนได้ แต่เจ้ากลับฝึกทุกคนจนกลายเป็นทหารเฝ้าคฤหาสน์ไปเสียหมด ข้าจึงลงมือได้ยาก ตอนนี้ข้าจับคนมาได้เพิ่ม อย่าได้คิดจะฝึกพวกมันให้กลายเป็นลูกน้องข้าอีก เข้าใจหรือไม่ ?”

“ขอรับ !” กังเหยียนยืนเกาหัว สีหน้าเขินอายเล็กน้อย

พวกโจรต่างพากันใจสะท้าน ดูท่าซูเฉินยังมองพวกเขาเป็นตัวทดลองอยู่

เดิมทีพวกเขาต่อว่าต่อขาน เกลียดกังเหยียนที่ฝึกฝนพวกเขาอย่างหนัก ทว่าตอนนี้กลับมีแต่ความซาบซึ้งใจ เพราะหากไม่ได้กังเหยียน ตอนนี้พวกเขาคงได้กลับไปเจอบรรพบุรุษแล้วกระมัง

กังเหยียนไม่ใส่ใจกับความซาบซึ้งทั้งหลาย หันไปกล่าวว่า “พวกเจ้ามองอะไรกัน ? ฝึกให้หนักกว่านี้เสีย ! ใครกล้าขี้เกียจข้าจะริบตำแหน่งทหารประจำคฤหาสน์แล้วส่งกลับไปที่ห้องทดลองของนายท่าน !”

“ขอรับ !” ทุกคนตะโกนร้องรับ

ภายในห้องทดลอง ซูเฉินก็เริ่มลงมือทำการค้นคว้าใหม่ นั่นคือการทำความเข้าใจสสารประหลาดสองชนิดภายในก้อนโลหะและภายในร่างหลงเฉ่าโหยว

เดิมที ซูเฉินทำได้แต่สังเกตโลกระดับจุลภาคจากสายตาเท่านั้น หากแต่การควบคุมสิ่งต่าง ๆ นับว่ายากนัก แม้จะสามารถเข้าไปแทรกแซงได้ในบางครั้ง แต่ก็เป็นการใช้วิธีในระดับมหภาคทั้งสิ้น ยกตัวอย่างเช่น ครั้งที่เขาต้มต้นวารีเยือกแข็งแล้วสกัดเอาสสารต้นกำเนิดสายเลือดอสรพิษทะยานออกมา

แต่ตอนนี้ ซูเฉินมีวิธีดึงเอามันออกมาได้ง่ายดายรวดเร็วกว่าเดิมมาก

เส้นสายพลังจิต

เส้นสายพลังจิตนับพันเริ่มทำการวิเคราะห์ แยกแยะ รวบรวม จากนั้นแยกสสารเหล่านั้นครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อดูความเปลี่ยนแปลง ซูเฉินกำลังพยายามทำความเข้าใจหลักการทำงานและดูว่าเขาจะทดลองใช้วิธีต่าง ๆ กับพวกมันอย่างไรดี……

บนเขาไม่รู้เดือน เหน็บหนาวไม่รู้ปี

ยามคนเราจดจ่ออยู่กับบางอย่าง เวลามักหมุนผ่านไปรวดเร็ว ไม่นานเวลาครึ่งเดือนก็ผ่านไป

เวลาครึ่งเดือนนี้สงบสุขนัก ไม่มีคนจากตระกูลหลงมาก่อความวุ่นวาย ส่วนตระกูลเหลียนก็จากไปอย่างแนบเนียน ทุกอย่างดูสงบสุข แต่ภายใต้กลับมีบางอย่างระอุ รอวันปะทุขึ้น

แต่สำหรับซูเฉิน เวลาครึ่งเดือนนี้นับว่าเป็นครึ่งเดือนที่เขาเติบโตได้รวดเร็วที่สุด

ในที่สุดเขาก็ค้นพบองค์ประกอบของสสารทั้งสอง ความเข้าใจในการใช้และควบคุมสสารต้นกำเนิดเพิ่มสูงขึ้นมาก

กลับกลายเป็นว่าสสารต้นกำเนิดเหล่านี้ไม่ได้มีเพียงคุณสมบัติเฉพาะ แต่ยังสามารถยังผลมหัศจรรย์ออกมาได้หากทำการรวมพวกมันเข้าด้วยกันอย่างถูกต้อง

สสารทั้งสองในก้อนโลหะและตัวคำสาปล้วนถูกสร้างขึ้นจากวิชาพิเศษหนึ่ง จุดสำคัญคือพวกมันต่างประกอบไปด้วยสสารต้นกำเนิดที่แตกต่างกัน

คนที่สร้างมันขึ้นมาอาจไม่จำเป็นต้องเข้าใจข้อมูลเชิงลึกถึงขั้นนี้ สำหรับเขา วิธีใดที่ทำแล้วออกมาได้ผลก็นับว่าเกินพอ

สำหรับชายหนุ่มนั้น มันก็นับได้ว่าผ้าม่านที่ปิดบังความลึกล้ำของโลกระดับจุลภาคได้ถูกเปิดออกแล้ว

เมื่อผ้าม่านเปิดออกแล้ว ความสามารถในการควบคุมและใช้สสารต้นกำเนิดของซูเฉินก็เพิ่มสูงขึ้น ทำให้เขาสามารถทำการค้นคว้าทดลองเกี่ยวกับการทำลายข้อจำกัดทางสายเลือดได้อีกครั้ง

ย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่ซูเฉินทำการทดลองอยู่บนเทือกเขาสีเลือด เขารู้เพียงว่าคนไร้สายเลือดจะสามารถใช้ทักษะต้นกำเนิดจากสายเลือดได้เพียง 3 ทางเท่านั้น หนึ่ง นำยันต์พลังต้นกำเนิดมาปรับแต่งพัฒนาขึ้นเอง สอง พัฒนาวิชาดูดซับของตน ทำให้สามารถดูดซับสสารต้นกำเนิดที่สอดคล้องกัน และเพิ่มคุณภาพของพลังต้นกำเนิดได้ สาม อาจทำการสกัดสสารต้นกำเนิดนั้น ๆ และนำมาใช้เอง

จนถึงตอนนี้ เขาก็ได้ใช้เพียงวิธีที่ 3 เท่านั้น

แต่ตอนนี้เขามีโอกาสได้ใช้วิธีที่หนึ่ง นั่นคือการพัฒนายันต์พลังต้นกำเนิด

ถูกต้องแล้ว หลังจากที่ได้ศึกษาสสารทั้งสองโดยละเอียด ซูเฉินก็มีความเข้าใจเกี่ยวกับสสารต้นกำเนิดเพิ่มขึ้นมาก เมื่อควบรวมกับค่ายกลยันต์พลังต้นกำเนิด เขาจึงใช้เวลาเพียง 3 วันในการพัฒนายันต์พลังต้นกำเนิดของตนเองขึ้นมา

ผลคือวิชาโบราณอาร์คาน่าและทักษะต้นกำเนิดร่วมสมัยของเขาแข็งแกร่งขึ้นถึง 20 ส่วน