บทที่ 31 การแก้แค้น
ยามเช้าตรู่ ในขณะที่ซูเฉินกำลังรับประทานอาหารเช้าอยู่ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าเครื่องประดับหยกที่ห้อยอยู่ตรงเอวของเขาร้อนขึ้น ด้วยมันกำลังทอประกายเรืองแสงสีแดงสด
นี่คือการติดต่อแบบฉุกเฉินจากกรมพลังต้นกำเนิด ใครก็ตามที่ได้รับการติดต่อนี้จะต้องรีบไปยังกรมพลังต้นกำเนิดโดยเร็วที่สุด
มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกัน ?
ชายหนุ่มเร่งทานอาหารเช้าคำสุดท้ายอย่างไม่เร่งรีบ และเช็ดปากของเขาก่อนกล่าวว่า “กังเหยียนเตรียมรถม้า เราจะไปที่กรมพลังต้นกำเนิดกัน”
เมื่อซูเฉินมาถึงที่หมาย ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดส่วนใหญ่ก็ได้มาถึงเรียบร้อยแล้ว
พวกเขาก็พากันคำนับพร้อมกันเมื่อเห็นชายหนุ่ม “คารวะ ท่านผู้จัดการความรู้ซู !”
แม้ว่าซูเฉินจะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่แต่ในห้องทดลองและวิจัยของเขา หากแต่ชายหนุ่มก็ยังคงมาที่กรมพลังต้นกำเนิดเพื่อควบคุมดูแลอย่างน้อยวันละครั้ง จนในตอนนี้เขาก็ได้คุ้นเคยกับทุกคนที่ทำงานอยู่ที่นี่เรียบร้อยแล้ว
“เกิดอะไรขึ้น ?” ซูเฉินกล่าวถามขณะที่เขาเดินเข้าไป จากนั้นเขาก็ได้พบกับสาเหตุของการติดต่อฉุกเฉินในทันที
ฝูงชนที่แหวกออกเป็นทาง ทำให้เขาสามารถมองเห็นศพที่กำลังนอนอยู่ในห้องโถงใหญ่ได้
ผู้เสียชีวิตมีนามว่าหลิวจี้อวิ๋น เขาเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดของกรมพลังต้นกำเนิด ไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก มีพื้นฐานการบ่มเพาะอยู่เพียงแค่ด่านก่อเกิดลมปราณเท่านั้น หากแต่เขาก็เป็นหนึ่งในคนกลุ่มแรกที่สนับสนุนซูเฉินอย่างเปิดเผย และถือว่าเป็นสหายที่เชื่อถือได้คนหนึ่งของชายหนุ่ม
ทว่าในตอนนี้หลิวจี้อวิ๋นได้ตายลงแล้ว และศพของเขาก็ถูกนำมาวางไว้กลางห้องโถงใหญ่ของกรมพลังต้นกำเนิด
ซูเฉินถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ขณะที่เขาจ้องไปที่ศพของหลิวจี้อวิ๋น “ใครเป็นคนพบ ? พบที่ไหน ?”
“เวรยามรอบดึกผู้หนึ่งเป็นคนพบศพบนถนนวารีตะวันตกเมื่อคืนที่ผ่านมา” หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดที่รับผิดชอบในยืนยามรอบดึกกล่าว
“เหตุใดเมื่อวานไม่มีรายงาน ?”
“มีขอรับ กรมวินิจฉัยคดีได้รับคดีไปและเพิ่งจะส่งมอบศพมาให้เรา”
“กรมวินิจฉัยคดี ?” ม่านตาของซูเฉินหดลงอย่างรวดเร็ว
เขาจ้องไปที่ศพและถามว่า “มีใครถูกส่งไปตรวจสอบจุดเกิดเหตุที่ถนนวารีตะวันตกแล้วหรือยัง ?”
“ขอรับ ทว่าโชคไม่ดีนักที่เราไม่พบสิ่งใดเลย ด้วยกรมวินิจฉัยคดีไม่ได้ปิดกั้นที่เกิดเหตุแต่อย่างใด ทำให้ผู้คนมากมายเหยียบย่ำไปทั่วตั้งแต่เช้าตรู่ หากมีร่องรอยอะไรเหลืออยู่มันก็ได้ถูกทำลายไปหมดแล้ว”
“ซึ่งข้าก็ได้ถามพวกมันว่าเหตุใดถึงไม่รีบส่งมอบศพมาและปิดกั้นสถานที่เกิดเหตุเอาไว้ก่อนกัน พวกมันก็ตอบว่าการสอบสวนคดีไม่ใช่ความรับผิดชอบของกรมพลังต้นกำเนิดของเรา เราไม่มีสิทธิ์ไปสอนงานพวกมัน และกล่าวว่าที่มันไม่มอบศพให้แก่เรา เพราะตอนกลางคืนไม่มีใครอยู่เลย ทุกคนต่างพักผ่อน ส่วนเรื่องการปิดกั้นสถานที่เกิดเหตุ พวกมันก็กล่าวว่าไม่มีความจำเป็นจะต้องทำเช่นนั้น เพราะนี่เป็นเพียงแค่การปล้นฆ่าเท่านั้น”
“ปล้นฆ่า ?” ซูเฉินสบถออกมาอย่างเกรี้ยวกราด “แก้ตัวได้ดี !”
ศพของหลิวจี้อวิ๋นมีบาดแผลอยู่เพียงแค่ 2 แห่ง หนึ่งคือที่หน้าอกและอีกหนึ่งคือที่ด้านหลังคอ ทั้งคู่เป็นบาดแผลฉกรรจ์ แค่ดูก็รู้ได้ว่าเขาถูกซุ่มโจมตีและสังหารโดยผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิด 2 คน
นี่ไม่ใช่วิธีฆ่าคนของพวกอันธพาลมิจฉาชีพ
เห็นได้ชัดว่านี่คือวิธีการแก้แค้นของสิบตระกูลสายเลือดชั้นสูง
แม้ว่าตระกูลเหล่านั้นจะไม่สามารถโจมตีซูเฉินตรง ๆ ได้ แต่พวกเขาก็ยังสามารถโจมตีคนของเขาได้ !
เมื่อตระหนักได้ถึงเรื่องนี้ ริมฝีปากของซูเฉินคลี่ออกเป็นรอยยิ้มที่เย็นชา “ในที่สุดก็เริ่มแล้วสินะ”
“ผู้จัดการความรู้ซู ! เราจะควรทำอย่างไรกันดี ?” ต้วนเฟิงถาม
ซูเฉินตระหนักถึงมัน แต่คนอื่น ๆ ก็ตระหนักได้เช่นกัน
ชายหนุ่มรู้ดีว่าหากเขาไม่จัดการสถานการณ์นี้อย่างรอบคอบ ตัวเขาผู้ที่เข้ามาควบคุมกรมพลังต้นกำเนิดด้วยกำลังก็จะสูญเสียความไว้วางใจจากผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างรวดเร็ว และในที่สุดอำนาจของเขาก็จะเหลือแค่เพียงในนามเท่านั้น จากนั้นกรมพลังต้นกำเนิดก็จะกลับไปกรมพลังต้นกำเนิดของสิบตระกูลสายเลือดชั้นสูงอีกครั้ง
เขาก้มหน้าคิดอยู่ชั่วครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ขอพวกท่านทุกคนโปรดเดินทางไปไหนมาไหนอย่างระมัดระวังและพยายามอย่าอยู่คนเดียว”
“กรมพลังต้นกำเนิดเองก็ควรจะเสริมความปลอดภัย จำนวนผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดที่คอยคุ้มกันจะเพิ่มจาก 1 เป็น 4 ทุกผลัดเวร หากรู้สึกว่าบ้านไม่ปลอดภัยพวกท่านสามารถย้ายมาอาศัยอยู่ที่กรมได้ นอกจากนี้เรายังต้องเรียกใช้ผู้ฝึกยุทธ์ของกรมอย่างสม่ำเสมอ ทุกท่านจะต้องพาผู้ฝึกยุทธ์อย่างน้อย 10 คนร่วมทางไปด้วยเมื่อเดินทางไปด้านนอก”
ใครบางคนพูดขึ้นอย่างเหยียดหยาม “แค่กลุ่มผู้ฝึกยุทธ์ด่านหลอมกายา มันจะไปมีประโยชน์ได้อย่างไรกัน ?”
“เราสามารถให้พวกมันคอยทำหน้าที่เกราะป้องกันการซุ่มโจมตี และรักษาเส้นทางการล่าถอย หรือจะให้คอยถ่วงเวลาอีกฝ่ายไว้สักระยะก็ได้”
“แต่นั่นก็ยังไม่ใช่วิธีจัดการกับปัญหานี้อยู่ดี”
ซูเฉินกล่าวว่า “ตอนนี้ขอให้พวกท่านมุ่งเน้นไปที่การปกป้องตัวเองก่อน ในส่วนที่เหลือข้าจะดูแลเอง ต้วนเฟิงตามข้าไปที่คฤหาสน์ท่านเจ้าเมือง”
“ขอรับ !”
ครึ่งก้านธูปต่อมา
ณ สวนด้านหลังของคฤหาสน์ท่านเจ้าเมือง
อันซื่อหยวนพูดขึ้นขณะที่กำลังแกล้งนกแก้วปากขาวของตน “ข้ารู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น น่าเสียดายที่เรื่องนี้ข้าเองคงจะช่วยเหลืออะไรได้ไม่มากนัก ถึงแม้ว่าเราจะรู้ว่าเป็นฝีมือของพวกนั้นแต่มันก็ไร้ประโยชน์ หากไม่มีหลักฐานเราก็ไม่สามารถวิ่งโล่ไปหาอีกฝ่ายและเรียกร้องให้พวกนั้นชดใช้ได้ จริงไหม ?”
“ข้าเข้าใจดีขอรับ อันที่จริงถึงแม้จะมีการสอบสวนอย่างเป็นทางการมันก็คงไม่มีอะไรแตกต่าง เพราะอย่างไรเสียเหล่าคนในกรมวินิจฉัยคดีเป็นคนของพวกมันอยู่แล้ว”
“ในเมื่อเจ้าเข้าใจอยู่แล้วก็ดีแล้ว การเป็นเจ้าเมืองช่างเป็นเรื่องยาก ตัวข้าเองก็มีความทะเยอทะยานอยู่มากมาย ทว่าเหล่าตระกูลสายเลือดชั้นสูงก็มักจะคอยขัดขวาง รั้งมือรั้งเท้าข้าไว้จนข้าลำบากไม่อาจทำอะไรได้เต็มที่ เจ้าว่าจริงหรือไม่ เสี่ยวไป๋ ?”
นกแก้วปากขาวกระพือปีกและส่งเสียงร้อง “กลุ่มชั้นสูงไร้ความชอบธรรมเสพติดการกดขี่ข่มเหง เพิกเฉยกฎหมายหลงตัวเองเย่อหยิ่งจองหอง ตัวสร้างปัญหาตัวทำลายระเบียบศีลธรรมขั้นพื้นฐาน !”
“พูดได้ดี” อันซื่อหยวนหัวเราะและให้อาหารนกแก้วปากขาว
ซูเฉินกล่าวว่า “ข้ารู้เรื่องนั้นดี แต่ท่านเจ้าเมืองไม่คิดว่าการปล่อยให้กรมวินิจฉัยคดีทำตามอำเภอใจไปนาน ๆ โดยที่ไร้การควบคุม จะไม่เป็นปัญหาใหญ่หรือ ?”
“อะไร ? เจ้าอยากจะฉกกรมวินิจฉัยคดีไปจัดการเองอีกกรมหรืออย่างไร ?” อันซื่อหยวนถามด้วยรอยยิ้ม
ซูเฉินตอบว่า “ข้าตัวคนเดียว อีกทั้งยังไม่มีความสามารถในการแยกร่าง แล้วข้าจะคิดเข้าไปควบคุมกรมวินิจฉัยคดีได้อย่างไรกัน อย่างไรก็ตามกรมวินิจฉัยคดี มีหน้าที่รับผิดชอบในการจัดการความปลอดภัยของเมือง มันจึงไม่เหมาะสมนักที่จะมอบหน้าที่ควบคุมที่นั้นให้กับบุคคลที่ 3 ในกรณีเช่นนี้ เหตุใดท่านไม่ลองขยายอำนาจของกรมพลังต้นกำเนิดดูสักหน่อยเล่า… ”
“หืม ?” อันซื่อหยวนชะงัก “เจ้าหมายความว่าจะให้กรมพลังต้นกำเนิดเข้าดูแลงานของกรมวินิจฉัยคดี ? นั่นคงจะเป็นไปไม่ได้ มันจะกลายเป็นการแทรกแซงอำนาจของพวกนั้นเอา”
“แน่นอนว่าภายใต้สถานการณ์ปกตินั้นเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้ามันเกี่ยวข้องกับผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดและกลายไปเป็นการทำงานร่วมกันล่ะ ?”
“เกี่ยวข้องกับผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดและกลายไปเป็นการทำงานร่วมกัน ?” อันซื่อหยวนหรี่ตาของเขาลง “เจ้าหมายความว่าอย่างไร ?”
“ท่านเจ้าเมือง เหตุใดท่านไม่ส่งหนังสือ เพื่อแจ้งว่ากรมวินิจฉัยคดีได้ทำการสอบสวนคดีการเสียชีวิตของหลิวจี้อวิ๋นอย่างไร้ประสิทธิภาพ และในเมื่อเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิด แล้วเหตุใดจึงไม่ให้ทางกรมพลังต้นกำเนิดได้มีส่วนร่วมในคดีนี้ด้วยเล่า ?”
มันเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนที่จะให้กรมพลังต้นกำเนิดเข้ามาทำหน้าที่แทนกรมวินิจฉัยคดีอย่างเป็นทางการ แต่ถ้าเป็นการทำงานร่วมกันในบางกรณี ด้วยที่จำกัดอยู่แค่เฉพาะกรณีนั้น ๆ? เล่า เรื่องแค่นี้ไม่นับว่าเป็นปัญหาแต่อย่างใด
อันซื่อหยวนเข้าใจความหมายของซูเฉินในทันใด “เจ้าต้องการที่จะให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่งั้นหรือ ?”
“นั่นขึ้นอยู่กับว่าพวกนั้นจะตอบสนองมาอย่างไร” ซูเฉินตอบอย่างไม่แยแส “ในเมื่อพวกมันลงมือถึงมาประตูบ้านของพวกเราแล้ว มันคงจะไม่สมเหตุสมผลถ้าเราไม่โต้กลับ ตราบใดที่ท่านเจ้าเมืองยินดีมอบอำนาจนี้ให้แก่ข้า ข้าก็ยินดีที่จะเป็นหัวหอกของในการโจมตีในครั้งนี้ให้”
“เจ้าได้คิดถึงผลที่จะตามมาแล้วหรือไม่ ?”
“ผลที่ตามมาคือพวกมันจะได้เสียชีวิตอย่างน่าอนาถใจ”
อันซื่อหยวนตกตะลึงเล็กน้อยก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นฟ้าและหัวเราะเสียงดัง “ฮ่าฮ่าฮ่า ดี ! ทะเยอทะยาน ! ใจกล้า ! เป็นวีรบุรุษในหมู่ชนรุ่นเยาว์อย่างแท้จริง ! ในเป็นเช่นนั้นข้าก็ตกลง ข้าจะเขียนหนังสือมอบอำนาจให้กรมพลังต้นกำเนิดมีส่วนร่วมในการสอบสวนเรื่องนี้ ส่วนที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับเจ้า”
ซูเฉินนำกรมพลังต้นกำเนิดเข้าสู่การต่อสู้กับสิบตระกูลสายเลือดชั้นสูง และไม่ว่าจุดจบของเหตุการณ์นี้จะเป็นอย่างไร ก็ล้วนแต่เป็นประโยชน์ต่ออันซื่อหยวนทั้งสิ้น
ด้วยคำพูดสนับสนุนของอันซื่อหยวน ชายหนุ่มก็จึงป้องมือและกล่าวว่า “ขอบคุณมากสำหรับการสนับสนุนของท่าน โปรดรอฟังข่าวดีได้เลย !”