ภาคที่ 3 บทที่ 32 สืบสวน

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 32 สืบสวน

เมื่อออกจากคฤหาสน์ของท่านเจ้าเมืองแล้ว ซูเฉินก็ได้มุ่งหน้าไปยังถนนวารีตะวันตก

ตอนนี้เป็นเวลาเกือบเที่ยงแล้ว ผู้คนสัญจรไปมาเต็มท้องถนนอย่างคึกคัก

ผู้ฝึกยุทธ์ของกรมพลังต้นกำเนิดคนหนึ่ง ชี้ไปที่มุมหนึ่งของถนนวารีตะวันตกและกล่าวว่า “นั่นคือจุดที่ท่านหลิวเสียชีวิต”

หญิงชราไร้ฟันผู้หนึ่งกำลังนั่งขายเต้าเจี้ยวอยู่ในจุดที่เขาชี้

มองจากเหตุการณ์สำคัญที่เพิ่งจะเกิดขึ้นไป กล่าวได้เลยว่าการจัดการของกรมวินิจฉัยคดีนั้นหละหลวมมาก

ซูเฉินถาม “เจ้าได้เห็นว่าศพอยู่ที่นี่ด้วยตาของเจ้าเองหรือไม่ ?”

ผู้ฝึกยุทธ์สะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับไป “ข้าไม่ได้เห็นมัน คนจากกรมวินิจฉัยคดีเป็นผู้มารายงานให้เราทราบ”

“กล่าวอีกนัยหนึ่ง ทุกสิ่งอย่างที่เจ้ารู้เป็นเพียงแค่คำบอกเล่าจากคนของพวกมัน ?”

“ใช่แล้วขอรับ !”

ซูเฉินเดินย้อนไปตามถนนเพื่อตรวจสอบอย่างละเอียด ส่วนหญิงชราก็คิดว่าซูเฉินต้องการซื้อเต้าเจี้ยว ทำให้นางได้แต่จ้องมองไปที่เขาด้วยสายตาที่สับสน

แม้ว่าที่พื้นจะเต็มไปด้วยถุงขยะมากมาย แต่มันก็ไม่เพียงพอที่จะขัดขวางการมองเห็นของเขา

ซูเฉินส่ายหัว “ไม่มีแม้แต่รอยเลือด … นี่ไม่ใช่สถานที่ที่ท่านหลิวเสียชีวิต ศพเองก็คงจะก็ไม่เคยอยู่ที่นี่ สิ่งที่กรมวินิจฉัยคดีกล่าวล้วนเป็นเพียงเรื่องไร้สาระ พวกมันไม่แม้แต่พยายามที่จะจัดฉากสถานที่เกิดเหตุด้วยซ้ำ”

ต้วนเฟิงกล่าวว่า “ข้าน้อยจะไปตรวจสอบผู้ที่มารายงานคดีนี้”

“เปล่าประโยชน์” ซูเฉินส่ายหน้า “ไม่มีใครเป็นผู้มารายงานคดีนี้หรอก นี่เป็นเพียงแค่การแก้แค้นของพวกสิบตระกูลสายเลือดชั้นสูง”

“ถ้าเช่นนั้นเราจะรออะไรอยู่ ? นายท่าน ข้าว่าเราควรจะไปสังหารและสั่งสอนให้พวกมันให้รู้จักจำเสีย !” ต้วนเฟิงกล่าว

“สังหาร ?” ซูเฉินเหลือบมองอีกฝ่ายด้วยสายตาแปลก ๆ “อย่างไรเล่า ? เราสามารถสังหารพวกมันได้ด้วยหรือ ? อีกฝ่ายคือสิบตระกูลสายเลือดชั้นสูง พวกนั้นทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นตระกูลเก่าแก่ที่มีขุมกำลังเบื้องหลังลึกเกินจะเอ่ย แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดด่านสู่พิสดารก็อาจจะมีอยู่ในหมู่คนของพวกมัน แล้วเจ้าจะไปสังหารพวกมันอย่างไร ? เจ้าคิดจะหาที่ตายงั้นหรือ ?”

ต้วนเฟิงตะลึงไปชั่วครู่ “แต่ … ”

“แต่เหตุใดก่อนหน้านี้ข้าถึงไม่กลัวพวกมัน ? นั่นคือสิ่งที่เจ้าต้องการจะถาม ?” ซูเฉินยิ้ม “นั่นก็เพราะข้าเป็นขุนนาง”

ต้วนเฟิงไม่เข้าใจ กังเหยียนเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน

ซูเฉินถอนหายใจและกล่าวว่า “พวกเจ้าคงจะยังไม่เข้าใจสถานการณ์ในเมืองธารน้ำใส”

ชายหนุ่มกล่าวขณะที่เขาเดินกลับมา “มณฑลอีกาดำนั้นกว้างใหญ่มาก และในแง่ของความแข็งแกร่ง แม้แต่กำลังของจวนเจ้าเมืองเองก็ไม่เพียงพอที่จะเอาชนะสิบตระกูลสายเลือดชั้นสูงได้ แล้วจะนับประสาอะไรกับพวกเรา เหตุที่ทั้ง 2 ฝ่ายยังคงยันอำนาจกันได้นานถึงเพียงนี้ ก็เพราะฝ่ายของเจ้าเมืองนั้นได้รับการสนับสนุนจากกองกำลังของทางการ”

“ตราบใดที่กลุ่มตระกูลสายเลือดชั้นสูงเหล่านั้นไม่ได้พยายามที่จะเริ่มการก่อกบฏ พวกนั้นก็ไม่กล้าที่จะผลักดันให้สิ่งต่าง ๆ ถลำไปไกลเกินไป แต่ฝ่ายตรงข้ามก็ยังคงยืนหยัดต่อต้านเพราะอิทธิพลของทางการอ่อนแอกว่า

“ทำให้เหล่าตระกูลสายเลือดชั้นสูงสามารถพึ่งพาสถานการณ์นี้เพื่อรักษาตำแหน่งของตนเอาไว้ได้ แต่พวกมันก็ยังคงไม่สามารถทำอะไรตามอำเภอใจ หากทางการผลักดันสิ่งต่าง ๆ มากจนเกินงามไป อืม … หากกดดันมาจนเกินไปแม้แต่กระต่ายก็ยังกล้าที่จะกัดคน นับประสาอะไรกับตระกูลสายเลือดชั้นสูงเหล่านั้นที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจในตัวเองอย่างยิ่งกัน ?”

“ด้านหนึ่งมีอำนาจ ในขณะที่อีกด้านหนึ่งมีกำลัง มันจึงกลายเป็นว่าทั้ง 2 ฝ่ายเฝ้าคอยระมัดระวังและถ่วงดุลกันเอาไว้ ดังนั้นพวกเขาจึงมีวิธีการออกมาสู้ในแบบของตนเอง เหตุใดเมื่อก่อนข้าถึงได้กล้าเพิกเฉยต่อสิบตระกูลสายเลือดชั้นสูง ? ก็เพราะสิ่งที่ข้าทำไม่ได้ก้าวข้ามเส้นขีดจำกัดล่างนั่นไป !”

“อวี๋เฉิงสุ่ยกับซุนเม่าต่อสู้กันบนถนนส่งผลให้มีผู้บริสุทธิ์บาดเจ็บและเสียชีวิต ข้าจึงต้องรับผิดชอบในการจับกุมพวกมันตามหน้าที่ของข้า หลงเฉ่าโหยวกับเหลียนเจี่ยวพาคนมาซุ่มโจมตีข้า ข้าจึงจับกุมพวกเขาเพื่อป้องกันตัวเอง หลิ่วอู๋หยาทรยศข้าดังนั้นการที่ข้าจะฆ่าเขาเพื่อแก้แค้น มันก็เรียกได้ว่าสมเหตุสมผล”

“หลังจากที่มันเสียชีวิต กรมพลังต้นกำเนิดก็ตกมาอยู่ที่ข้า เพราะตัวข้าคือผู้จัดการความรู้ … นับตั้งแต่แรกเริ่มต้นจนถึงตอนนี้ ทุกสิ่งที่ข้าทำล้วนเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลและชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีใครสามารถกล่าวโทษอะไรได้”

“คราใดที่อำนาจเกิดความไม่สมดุล ความแข็งแกร่งจะกลายเป็นความยุติธรรม แต่คราใดที่อำนาจเกิดความสมดุล ความยุติธรรมจะกลายเป็นความแข็งแกร่ง”

“ในยามนี้ กลุ่มทางการและกลุ่มตระกูลสายเลือดชั้นสูงต่างก็คอยยับยั้งซึ่งกันและกันเอาไว้ สิ่งที่ข้าทำล้วนเป็นกฎหมายที่ต้องปฏิบัติตาม มีเหตุผลและชอบธรรม ถึงตระกูลสายเลือดชั้นสูงจะรำคาญและเกลียดชังข้ามากเพียงใด คนเหล่านั้นก็ทำได้เพียงแค่อดทนเท่านั้น แม้ว่าจะต้องการตอบโต้มากแค่ไหน พวกมันก็ทำได้แค่ลงมืออย่างลับ ๆ และไม่สามารถเคลื่อนไหวอย่างเปิดเผยได้ แต่หากข้าไปอาละวาดถึงหน้าประตูบ้านพวกมัน งั้นนั่นก็ไม่ต่างอะไรกับการพยายามฆ่าตัวตายหรอกนะ”

หลังจากได้ยินคำพูดของซูเฉิน มันก็ทำให้ทุกคนเข้าใจอย่างกระจ่าง

ไม่น่าแปลกใจเลยที่สิบตระกูลสายเลือดชั้นสูงจะโดนพลักมาอยู่ในจุดที่ยากลำบากเช่นนี้ได้ จนต้องใช้การตอบโต้ของอีกฝ่ายที่ทั้งดูอ่อนแอและไร้เหตุผลเช่นนั้น

อย่างที่กล่าวไว้หากพวกเขาสร้างความปั่นป่วนมากเกินไป เหล่าตระกูลสายเลือดชั้นสูงก็จะไม่ได้รับความชอบธรรมหรือการคุ้มครองจากกฎหมายอีก และพวกเขาก็จะไม่ได้รับความเห็นอกเห็นใจจากสามัญชนด้วยเช่นกัน ซึ่งหากพวกเขากล้าที่จะก้าวล้ำเส้นไปไกลเกินไป เวลานั้นทางการก็จะออกมาเคลื่อนไหวเพื่อปราบปรามพวกเขาอย่างไร้ความปรานี

นั่นคือเหตุผลที่พวกเขาใช้ได้แค่เพียงวิธีการลับ ๆ ในการจัดการกับซูเฉิน

“เช่นนั้นแล้วตอนนี้เราควรจะทำอย่างไร ?” ต้วนเฟิงถาม

“ปกติแล้ว เราก็ต้องหาผู้ร้ายตัวจริงแล้วจัดการกับมันเสีย เพียงแค่การจัดการกับหลิวจี้อวิ๋นคนเดียว สิบตระกูลสายเลือดชั้นสูงไม่จำเป็นต้องร่วมมือกันแม้แต่น้อย นั่นก็หมายความว่าถูกสังหารโดยหนึ่งในตระกูลเหล่านั้น ส่วนเรื่องที่ว่าเป็นฝีมือของตระกูลไหนนั้นยากที่จะพูด เราต้องหาวิธีการระบุตัวคนลงมือให้ได้เสียก่อน”

ต้วนเฟิงรู้สึกปวดหัวขึ้นมาในทันใด “นั่นมันไม่ง่ายที่จะตรวจสอบพบ ด้วยปัญหาที่กรมวินิจฉัยคดีสร้างขึ้น มันทำให้ทุกอย่างยุ่งเหยิงไปหมดแล้ว”

ซูเฉินส่ายหัวและพูดว่า “การหาคำตอบนี้มันอาจจะไม่ใช่เรื่องยากขนาดนั้น พาพี่น้อง 2-3 คนไปเดินดูรอบ ๆ โดยเฉพาะสถานที่ที่ถูกควบคุมโดยตระกูลสายเลือดชั้นสูง จับตามองไปรอบ ๆ และตั้งใจฟัง เจ้าอาจจะได้พบอะไรบางอย่างก็ได้”

ต้วนเฟิงไม่เห็นด้วย “เรื่องแบบนี้ให้คนในตลาดจะไปรู้ได้อย่างไร ?”

ซูเฉินยิ้ม “นั่นคือสิ่งที่เจ้าคาดคิดผิดไป ข้าคิดว่าที่คนพวกนั้นรู้ เพราะมันมีความเป็นไปได้สูงมาก ที่ตระกูลสายเลือดชั้นสูงจะกระจายข่าวเหล่านี้ด้วยตัวของพวกมันเอง”

“นายท่านหมายความว่าอย่างไร ? ข้าไม่เข้าใจ”

“เจ้าต้องเข้าใจก่อนว่ายิ่งเป็นตระกูลสายเลือดชั้นสูงที่เก่าแก่มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งย่อมต้องการรักษาหน้าตาและชื่อเสียงมากขึ้นเท่านั้น สำหรับคนพวกนั้นหน้าตาและชื่อเสียงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อการอยู่รอด เมื่อตอนที่ข้าจับกุมหลงเฉ่าโหยว หัวหน้าตระกูลหลงได้กล่าวเอาไว้ว่าตราบใดที่ข้าเต็มใจที่จะขอโทษออกไป เรื่องต่าง ๆ ก็จะคุยกันง่ายขึ้น เพราะเหตุใด ? เพราะหน้าตาและชื่อเสียงไงเล่า !”

“ทว่าข้าก็ไม่ทำ กลับกันข้าได้ทำให้พวกเขาดูเหมือนคนโง่ที่มากยิ่งกว่าเดิม จนถึงตอนนี้หลงเฉ่าโหยวก็ยังคงนอนหมดสติอยู่บนเตียง สำหรับตระกูลเหล่านั้น การสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุดไม่ใช่การสูญเสียรุ่นเยาว์ที่มีความสามารถไป แต่เป็นการสูญเสียศักดิ์ศรีและน่าความเคารพทั้งหมด !”

ต้วนเฟิงเริ่มเข้าใจขึ้นมาบ้างเล็กน้อย “ดังนั้นพวกมันจึงจำเป็นจะต้องรีบลงมือทำอะไรสักอย่าง เพื่อกู้คืนชื่อเสียงที่เสียไปกลับมาอย่างเร่งด่วน ?”

“ถูกต้อง นั่นคือเหตุผลที่อีกฝ่ายต้องการแก้แค้นอย่างมาก ไม่เพียงเท่านั้นพวกมันยังต้องการที่จะประกาศให้ทุกคนได้รับรู้เอาไว้ว่าการโต้กลับของพวกมันได้เริ่มขึ้นแล้ว และนี่คือราคาที่ตัวข้า ซูเฉินต้องจ่ายออกไปสำหรับการยั่วยุพวกมัน !”

ต้วนเฟิงหัวเราะและกล่าวว่า “ถึงแม้ว่าพวกมันจะสังหารหลิวจี้อวิ๋นทิ้งไปอย่างลับ ๆ แต่พวกมันก็ยังต้องการให้ทุกคนรู้ว่าเป็นฝีมือของพวกมันอยู่ดี”

“ใช่แล้ว !” ซูเฉินหัวเราะ “ถูกต้องตามนั้น”

กังเหยียนถามขึ้นด้วยความอยากรู้ “หากเป็นเช่นนั้น การสังหารท่านหลิวไปอย่างลับ ๆ มันจะมีความหมายอันใดกัน ?”

“จะไม่มีได้อย่างไร ?” ซูเฉินถามกลับ “ทุกคนรู้ว่าพวกเขาทำมันแล้วยังไงล่ะ ? ตราบเท่าที่ไม่มีหลักฐานใดมาพิสูจน์ได้มันก็ไร้ประโยชน์ที่จะไปกล่าวหา นี่คือสิ่งที่พวกมันต้องการ ตระกูลสายเลือดชั้นสูงต้องการให้ทุกคนรู้ว่า ถึงแม้พวกมันจะเป็นคนทำ แต่มันก็ไม่มีหลักฐานใด ๆ ให้เอามาจับกุมพวกมันได้”

ต้วนเฟิงพยักหน้า “นั่นคือเหตุผลว่าทำไมพวกมันจึงได้อ้างว่าหลิวจี้อวิ๋นได้เสียชีวิตอย่างลึกลับที่ถนนวารีตะวันตก และเป็นสาเหตุที่กรมวินิจฉัยคดีไม่ให้ความร่วมมือ อีกทั้งยังหละหลวมต่อการปฏิบัติหน้าที่ ทั้งหมดเป็นเพราะคนเหล่านั้นต้องการจะเป็นนางคณิกาและสร้างอนุสรณ์เพื่อเป็นเกียรติแก่ตัวเองในเวลาเดียวกันงั้นหรือ(1) !”

ซูเฉินปรบมือ “ถูกต้อง ! แน่นอนว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงการคาดเดาของข้า แต่ข้าเชื่อว่าความจริงมันก็คงไม่ต่างกันมานัก และหากมันเป็นเช่นที่ข้าคิดจริง ๆ เมื่อเจ้าส่งคนไปถาม อีกฝ่ายอาจพูดออกมาเองว่าพวกมันเป็นคนทำเสียด้วยซ้ำ”

นี่คือสาเหตุที่จางเซิ่งอัน กวนซานอิงและคนอื่น ๆ ยอมรับว่าพวกเขาทรมานและฆ่าฉิวถังต่อหน้าเยว่หลงซา เป็นเพราะมันทำให้พวกเขารู้สึกตื่นเต้น

ครั้งนี้ก็เช่นกัน

ครึ่งชั่วยามต่อมา ต้วนเฟิงก็ได้รับคำตอบ

เรื่องในครานี้เป็นฝีมือของตระกูลไหลแห่งเมืองธารน้ำใส และผู้ที่ลงมือคือกลุ่มอัธพาลฉางชิง

*****

(1) หมายถึงการทำสิ่งที่ไร้ศักดิ์ศรีและไร้ซึ่งเกียรติ ในขณะเดียวกันกับที่ต้องการได้รับมาซึ่งเกียรติและศักดิ์ศรี