ภาคที่ 3 บทที่ 33 ชนะใจ

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 33 ชนะใจ

ซูเฉินได้อยู่ที่เมืองธารน้ำใสมาระยะหนึ่งแล้ว เขาจึงมีความเข้าใจเกี่ยวกับตระกูลสายเลือดชั้นสูงพอสมควร

เมื่อได้ยินว่าเป็นฝีมือของตระกูลไหล เขาก็รู้ว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงได้ลงมือเช่นนั้นได้ในทันที

จากบรรดาตระกูลสายเลือดชั้นสูงทั้งสิบ ตระกูลที่ได้รับการยกย่องและอยู่ในอันดับสูงสุดสมควรที่จะเป็นตระกูลหวัง ส่วนตระกูลไหลเป็นหนึ่งในตระกูลอ่อนแอและมีประวัติในเมืองธารน้ำใสแห่งนี้ยังไม่เกิน 100 ปีด้วยซ้ำ สำหรับตระกูลสายเลือดชั้นสูงนั้นถือเป็นช่วงเวลาที่สั้นมาก

กล่าวกันว่าแต่เดิมตระกูลไหลในเมืองธารน้ำใสแห่งนี้ เป็นเพียงตระกูลสาขาของตระกูลไหลจากมณฑลหลี่ หัวหน้าตระกูลคนปัจจุบันของพวกเขาไหลหวูอี่ ได้ออกจากตระกูลไหลมาหลังจากที่ล้มเหลวในการล่อลวงภรรยาคนแรกของหัวหน้าตระกูล ทำให้เขาต้องมายังเมืองธารน้ำใส และก่อตั้งตระกูลไหลแห่งเมืองธารน้ำใสขึ้น

สายเลือดของตระกูลไหลคืออสรพิษฝาสุภเรศขาว(1)

มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่เจ้าเล่ห์เพทุบายยิ่ง ร่างกายของมันปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีขาวละเอียด สับไปมาอยู่ระหว่างการมีตัวตนจับต้องได้กับการไร้ซึ่งตัวตนไม่อาจสัมผัส ที่ว่ากันว่าทำให้สามารถเข้าออกนรกได้ตามใจอยากตั้งแต่แรกเกิด

ไม่ว่านั่นจะเป็นจริงหรือไม่ไม่มีใครรู้ แต่สิ่งที่ทุกคนรู้ดีคือพิษร้ายของมันเป็นสิ่งที่ชวนให้คู่ต่อสู้ปวดหัวเป็นที่สุด

อสรพิษฝาสุภเรศขาวตระกูลไหลได้รับการยอมรับว่าเป็น 1 ใน 10 ตระกูลสายเลือดชั้นสูงก็เพราะเหตุนี้

ทว่ามันก็เช่นเดียวกับตระกูลสายเลือดชั้นสูงที่ยังอยู่มาได้ไม่นานและยังมีรากฐานตื้นเขิน ตระกูลไหลรีบสร้างรากฐานที่มั่นคงขึ้นในเมืองนี้ เพื่อที่จะพัฒนาขึ้นไปอีกในอนาคต อย่างไรก็ตามดินแดนส่วนใหญ่ในเมืองต่างก็ได้ถูกตระกูลเก่าแก่ต่าง ๆ แบ่งเอาไว้แล้ว ตระกูลไหลจึงใช้เวลาเกือบ 100 ปีกว่าจะแย่งชิงที่ดินผืนเล็ก ๆ มาเป็นของตัวเองได้

เมื่อขาดจากโอกาสภายใน วิธีที่ดีที่สุดในการแก้ไขปัญหานั้นคือการหาโอกาสจากภายนอก

ด้วยเหตุนี้ตระกูลไหลจึงได้กระตือรือร้นที่จะต่อต้านทางการมากที่สุดในบรรดาตระกูลเหล่านั้น

พวกเขากระหายในการค้า อาณาเขต และกองกำลังที่อยู่ภายใต้ชื่อของเจ้าเมือง

การปรากฏตัวขึ้นมาในช่วงเวลานี้ของซูเฉิน จึงทำให้เขาเป็นเป้าหมายที่ดีที่สุดของตระกูลไหลไปโดยปริยาย

หลิวจี้อวิ๋น ?

เขาไม่ใช่อะไรเลย นอกจากเป็นตัวประกาศจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้

กรมพลังต้นกำเนิดที่อยู่ภายใต้การควบคุมของซูเฉิน ได้กลายเป็นชิ้นเนื้อที่เปี่ยมไปด้วยไขมันที่พวกเขาสามารถตัดแบ่งออกมาได้

ไม่ต้องสงสัยเลย ว่าสิ่งที่ไหลหวูอี่ต้องการคือการกลืนกรมพลังต้นกำเนิดทั้งหมด “ดูเหมือนตาเฒ่าไหลจะกำลังคิดว่านี่เป็นโอกาสทองสำหรับตระกูลของตนสินะ”

ซูเฉินพึมพำกับตัวเองนั่งอยู่บนเก้าอี้หลักในห้องโถงใหญ่ของกรมพลังต้นกำเนิด “แต่ถ้าหากมันทำพลาดไป ไม่เพียงแค่ตระกูลของมันจะไม่สามารถก้าวขึ้นไปได้อีก แต่ข้าอาจต้องเริ่มขุดหลุมศพเตรียมเอาไว้ใช้พวกนั้นด้วย”

“นายท่าน เราควรทำอย่างไรต่อขอรับ ?” ต้วนเฟิงถาม

ซูเฉินจมดิ่งลงสู่ห้วงความคิดไปชั่วขณะ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดขึ้น “ข้าต้องการข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ของตระกูลไหลโดยละเอียดที่สุด อ้อแล้วก็เกี่ยวกับกลุ่มอันธพาลฉางชิงด้วย หากมีข้อมูลไม่เพียงพอก็ส่งคนไปรวบรวมมาเพิ่ม”

“ขอรับ นายท่าน !”

ประสิทธิภาพในการทำสิ่งต่าง ๆ ของกรมพลังต้นกำเนิดนั้นเรียกได้ว่าค่อนข้างสูงเอามาก ๆ

3 วันต่อมา โต๊ะทำงานของซูเฉินก็เต็มไปด้วยข้อมูลที่ถูกรวบรวมมามากมาย ข้อมูลบางส่วนเป็นข้อมูลที่รู้จักกันดีอยู่แล้ว ในขณะที่ส่วนที่เหลือถูกรวบรวมมาโดยกรมพลังต้นกำเนิดและข้ารับใช้เงาของเขา

โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้ารับใช้เงาที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดเหล่านี้ พวกมันสามารถการปกปิดตัวตนด้วยเงา และแทรกซึมเข้าไปในห้องหับฟังการสนทนาลับได้อย่าง่ายดาย ด้วยเหตุนี้ข้อมูลข่าวกรองที่ชายหนุ่มได้รับมาจึงมีความสำคัญและเป็นจริง

ซูเฉินตรวจสอบข้อมูลทั้งหมดอยู่เป็นเวลากว่า 2 วัน ในช่วงเวลาระหว่างนั้นเขาก็ได้เข้าไปยังคฤหาสน์ตระกูลหลงในฐานะหมอเฉิน และกลับออกมาหลังจากจ่ายให้ยาเพิ่มไป 3 ขวด ตอนนี้หลงเฉ่าโหยวที่ยังมีชีวิตอยู่ มีค่ากับซูเฉินมากกว่าหลงเฉ่าโหยวที่ตายแล้วอย่างเห็นได้ชัด

ขณะเดียวกัน อีกหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดของกรมพลังต้นกำเนิดก็ได้ถูกโจมตีอีกครั้ง โชคดีที่พวกเขาได้เตรียมการล่วงหน้าเอาไว้แล้ว และไล่ให้อีกฝ่ายจำต้องหลบหนีไปได้ หลังจากสังเวยผู้ฝึกยุทธ์ของกรมพลังต้นกำเนิดไปเพียงไม่กี่คน

ทว่าข่าวลือที่ว่าซูเฉินไร้ประโยชน์และหมดหนทางที่จะต่อต้านแรงกดดันของตระกูลไหล ก็ได้เริ่มแพร่กระจายภายในกรมมากขึ้น

ซูเฉินไม่สนใจพวกมัน เขายังคงตรวจสอบข้อมูลที่รวบรวมมาได้

และในที่สุด …

————————————————

ศาลาเสาวคนธ์มัวเมาเป็นซ่องที่มีชื่อเสียงยิ่งในเมืองธารน้ำใสนี้ ว่ากันว่าผู้หญิงที่นั่นไม่เพียงแค่สวยเกินสุดจะพรรณนา แต่หลายคนถึงกับเป็นผู้มีภูมิหลังสูงส่งและคนที่จัดเป็นบุคคลโดดเด่นอีกมากมาย บางคนก็เป็นถึงผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดเลยเสียด้วย

แต่สินค้าแบบนั้นจัดเป็นสินค้าชั้นยอด ที่คนทั่วไปไม่มีโอกาสจะได้ฝันถึงมัน

แม้ว่าหวังเหวินซิ่นจะไม่ใช่สามัญชนคนทั่วไป แต่ตราบใดที่ไม่ได้ยืนอยู่ที่จุดสูงสุดของเมืองนี้ เขาก็ทำได้เพียงแค่เงยหน้ามองแสงสีที่มีเสน่ห์ของชั้นสูงและถอนหายใจเท่านั้น

“นี่ นายท่านกำลังคิดอะไรอยู่หรือ ?” เสียงที่มีเสน่ห์เย้ายวนของดอกไม้งามดอกน้อย ๆ ดังมาจากทางเตียงด้านหลังของเขา

หวังเหวินซิ่นหันกลับมาพบกับผู้หญิงนางหนึ่งที่กำลังนอนอยู่บนเตียง ผ้าห่มคลุมร่างครึ่งหนึ่งของนางเอาไว้ ในขณะที่นางจ้องมองหวังเหวินซิ่นอย่างยั่วเย้า

“ข้าก็แค่กำลังสงสัยว่า เมื่อไหร่จะได้มีโอกาสเข้าไปในศาลาเสาวคนธ์มัวเมาและได้ลิ้มรสกุหลาบงามในที่แห่งนั่นบ้าง”

ดอกไม้งามดอกน้อยปิดปากของนางและหัวเราะ “ว้า นี่นายท่านคิดที่จะเอาแต่จ้องมองหม้อ ทั้งที่จานอาหารก็เบื้องหน้าของท่านจริง ๆ หรือ ? ดูเหมือนว่าข้าจะยังไม่ได้ทำให้ท่านสุขสมมากพอกระมั้ง ท่านถึงได้ยังมีเรี่ยวแรงไปคิดถึงกุหลาบงามเหล่านั้น ข้าไม่ยอมหรอกนะ ! ข้าจะสู้กับท่านอีกรอบ”

ขณะที่พูดนางก็เอื้อมมือออกไปคว้าตัวหวังเหวินซิ่นมา

หวังเหวินซิ่นหัวเราะ ในจังหวะที่เขากำลังจะกอดดอกไม้งามดอกน้อยกลับ จู่ ๆ เขาก็ได้ยินเสียงปริศนาดังขึ้น

“คุณชายหวังช่างเป็นคนที่อ่อนโยนเสียจริง ๆ ”

การแสดงออกของหวังเหวินซิ่นพลันเปลี่ยนไปในทันใด “นั่นใคร ?”

ในขณะที่พูด ชายหนุ่มก็คว้ามือของแม่นางดอกไม้น้อยผลักหลังของนาง ส่งนางไปด้านหลังตนและรีบพุ่งไปที่หน้าต่างอีกด้านหนึ่งของห้อง

หวังเหวินซิ่นพยายามที่จะใช้แม่นางผู้นี้ขวางอีกฝ่ายเอาไว้ เพื่อที่ตนจะได้มีเวลามากพอที่จะหลบหนี

ทว่าเขาไม่ได้คาดคิดเลยว่าผู้หญิงนางนั้นจะไม่ถูกโจมตีเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังมีฝ่ามือที่ปรากฏขึ้นที่หน้าต่างต่อหน้าหวังเหวินซิ่นในเวลาเดียวกับที่เขาพุ่งออกไปนอกหน้าต่าง

ปัง !

ท่านชายหวังบินกลับเข้าไปในห้องทันที

เมื่อเขายังคงต้องการที่จะขยับตัว แต่ร่างเงา 2 ตนก็ได้ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังและคว้าแขนเขาไว้

“อะไร !?” หวังเหวินซิ่นสะดุ้งตกใจที่ถูกจับตัวได้

คนผู้หนึ่งเข้ามาในห้องผ่านทางหน้าต่าง

แม้ว่าอีกฝ่ายจะเข้ามาทางหน้าต่าง แต่พฤติกรรมของเขาก็มั่นใจและก้าวเดินอย่างสบาย ๆ ราวกับว่าเขาเข้ามาทางประตูหน้า

เป็นซูเฉิน

เขามายิ้ม “คุณชายหวัง เหตุใดถึงได้เร่งรีบจากไปนัก ? ทิ้งสาวน้อยแสนสวยผู้นี้ไปแบบนั้น ไม่คิดว่ามันออกจะเลวร้ายไปเสียหน่อยหรือ ?”

ขณะที่พูดเขาก็โบกมือของตน คลื่นพลังไร้รูปลักษณ์พุ่งออกมาจากฝ่ามือของส่งแม่สาวน้อยให้หลับไป

“ซู … เฉิน !” หวังเหวินซิ่นกัดฟันเรียกชื่อของอีกฝ่ายออกมา

“ดูเหมือนว่าช่วงนี้ข้าจะโด่งดังมากเป็นพิเศษนะว่าไหม” ซูเฉินนั่งลงบนโต๊ะและชี้ไปทางที่นั่งฝั่งตรงข้ามเขา ข้ารับใช้เงาทั้ง 2 ลากหวังเหวินซิ่นไปและบังคับให้อีกฝ่ายนั่งลง

ซูเฉินกล่าวว่า “มาว่ากันตรง ๆ ไม่ต้องอ้อมตีพุ่มไม้รอบ ๆ กันเถิด คุณชายหวัง ที่ข้ามาหาเจ้าเพราะข้าต้องการพูดคุยเรื่องบางอย่าง”

“เจ้าต้องการจะคุยอะไร ?”

“คดีของหลิวจี้อวิ๋นกับเฟิงอวี้เจิน เป็นฝีมือของกลุ่มอันธพาลฉางชิงของเจ้าใช่หรือไม่ ?”

หวังเหวินซิ่นหัวเราะอย่างเย็นชา “โอ้ องค์ชายซู ข้าไม่สามารถพอที่จะได้รับเกียรติเช่นนั้นหรอก”

“ไม่สำคัญว่าเจ้าจะได้รับเกียรตินี้หรือไม่ ตราบเท่าที่ข้าต้องการแม้จะเป็นคุณชายหวัง ก็ยังสามารถกลายเป็นศพในตอนนี้ได้เลย หากข้าต้องการเช่นนั้น ถ้าพวกตระกูลสายเลือดชั้นสูงมาตามหาเจ้ากับข้า ข้าก็สามารถทำเช่นเดียวกับเจ้าได้”

หวังเหวินซิ่นยังคงต่อต้าน “หากเจ้าต้องการจะฆ่าก็ฆ่าเสียสิ เจ้าคิดว่าข้ากลัวตายงั้นหรือ ?”

“ตาย ? แน่นอนคุณชายหวังย่อมไม่กลัวตาย เมื่อยามที่กลุ่มอันธพาลฉางชิงและกลุ่มพยัคฆ์ร้ายบุกเข้ามา คุณชายหวังถูกดาบฟันไป 3 ครา แต่ก็ยังคงรุดหน้าต่อไปและกำจัดผู้เชี่ยวชาญไปถึง 3 คน ในการต่อสู้ที่ศาลาข้ามสมุทร คุณชายหวังยืนหยัดอย่างโดดเดี่ยวเพื่อช่วยหัวหน้าคนเก่าให้หนีรอด เจ้าพุ่งเข้าตรงไปในที่ใจกลางทะเลสาบตัวคนเดียว แสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญที่ไม่ธรรมดา คนอย่างเจ้าจะกลัวตายได้อย่างไรกัน ?”

สิ่งที่ซูเฉินเพิ่งจะกล่าวออกมา คือสิ่งที่หวังเหวินซิ่นภาคภูมิใจที่สุด เมื่อได้ยินเช่นนั้นเขาจึงพูดอย่างหยิ่งผยองว่า “ในเมื่อเจ้ารู้ก็ดี”

“น่าเสียดายที่คุณชายหวังไม่ได้ตายลงเสียแต่ตอนนั้น” จู่ ๆ ซูเฉินก็กลับลำแนวทางการพูดของเขาไป “หากคุณชายหวังจากไปตั้งแต่ยามนั้น ก็คงจะมีคนมากมากมาไว้ทุกข์ให้เจ้า ส่วนในตอนนี้ถ้าเจ้าตายลง … เกรงว่าหลายคนจะคงจะหันมาปรบมือฉลองแทน ว่าไหม ?”

ใบหน้าของหวังเหวินซิ่นแปรเหลี่ยนเป็นสีเขียว “เจ้ากำลังหมายถึงอะไร ?”

“เจ้าก็รู้ว่าข้าหมายถึงอะไร ในอดีตคุณชายหวังสร้างผลงานมากมายให้กับกลุ่มอันธพาลฉางชิง แต่ดูตัวเจ้าในตอนนี้สิ เจ้าไม่ได้เป็นแม้แต่รองหัวหน้ากลุ่มด้วยซ้ำ หัวหน้าคนปัจจุบันก็มองว่าเจ้าเป็นหนามหยอกอก และคิดหาทางกำจัดเจ้าทิ้งอยู่เสมอไม่ใช่หรือ ? ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลย ทั้งกลุ่มของเจ้ามีผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณอยู่เพียง 2 คน เจ้าคือหนึ่งในนั้น อันที่จริงเจ้าแข็งแกร่งกว่าหัวหน้าผู้นั้นอยู่เล็กน้อยด้วยซ้ำ แล้วจะจะไม่ให้อีกฝ่ายกลัวได้อย่างไร ? มันจะไม่คอยระแวงในตัวเจ้าได้อย่างไร ? หากข้าฆ่าเจ้าทิ้งเสียที่นี่ ก็เท่ากับข้าได้สนองความปรารถนาให้มันไปเท่านั้น”

หวังเหวินซิ่นเข้าใจแล้ว

เขาหัวเราะเบา ๆ “ดูเหมือนว่าผู้จัดการความรู้ซูจะไม่ได้วางแผนที่จะฆ่าข้า แต่กำลังมองหาลูกน้องอยู่สินะ”

“กล่าวให้ถูกคือข้ากำลังหา ‘ผู้ช่วย’ ข้ากำลังมองหาพันธมิตรที่คิดเหมือนกันกับตัวข้า”

หวังเหวินซิ่นหัวเราะเยาะ “ช่างฟังดูดี แต่หากเจ้าคิดว่าเพียงแค่คำพูดไม่กี่คำแล้วจะทำให้ข้า หวังเหวินซิ่นผู้นี้ ยอมตายเพื่อเจ้าแล้วล่ะก็ ฝันไปเถอะ !”

“ไม่มีใครขอให้เจ้าไปตาย” คำตอบของซูเฉินอยู่นอกเหนือความคาดหมายของอีกฝ่ายโดยสิ้นเชิง “ข้าไม่ได้ต้องการให้ผู้ใดมาหาผลประโยชน์ให้ข้า”

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร ?” หวังเหวินซิ่นตกตะลึง

“ข้าหมายความว่าข้าไม่ได้ต้องการให้คุณชายหวังไปจัดการอะไรกับกลุ่มอันธพาลฉางชิง กลับกันข้าหมายความว่าข้าจะมอบกลุ่มอันธพาลฉางชิงให้แก่เจ้า ทว่าข้าก็ไม่แน่ใจนักว่าเจ้าจะอยากได้หรือไม่ ?” ซูเฉินตอบอย่างใจเย็น

เมื่อได้ยินเช่นนั้นหวังเหวินซิ่นก็ตกอยู่ในห้วงความคิดเงียบ ๆ เป็นเวลานาน

ซูเฉินไม่ได้รีบร้อน

เขาไม่กังวลเกี่ยวกับการตัดสินใจของอีกฝ่าย

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องซับซ้อน ส่วนที่ยากที่สุดมีเพียงแค่การค้นหาเป้าหมายที่เหมาะสมเท่านั้น

ตราบใดที่พบเป้าหมายที่เหมาะสมแล้ว เรื่องนี้จะกลายเป็นเพียงแค่เรื่องง่าย ๆ

หลังจากผ่านไปพักใหญ่ฝั่งตรงข้ามก็เงยหน้าขึ้น “เจ้าต้องการให้ข้าติดตามเจ้า ? มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ข้า หวังเหวินซิ่น ไม่เคยชอบคนที่รู้แต่วิธีพูดให้สวยหรูเพียงอย่างเดียว ทุกคนพยายามอย่างเต็มที่เพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไปวันต่อวัน เราอาศัยกำลังของเราเพื่อเติมเต็มท้องของเรา เจ้าเองก็รู้ดีอยู่แล้วว่าหลี่เยว่เป็นผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณ และยังมีรองหัวหน้าที่อยู่ด่านกลั่นโลหิตอีก 3 คนใต้บัญชาของมัน แค่กลุ่มอันธพาลฉางชิงยังแข็งแกร่งขนาดนี้ แล้วตระกูลไหลกับอีกตระกูลใหญ่เหล่านั้นเล่า ? ถ้าเจ้าต้องการให้ข้าติดตามเจ้า อย่างน้อยก็ต้องควรจะแสดงให้ข้าเห็นว่าเจ้ามีความสามารถพอเสียหน่อยสิ จริงไหม ?”

ซูเฉินหัวเราะ “เจ้าอยากจะลองสู้ ? เอาสิ ตอนนี้ที่นี่เลยก็ย่อมได้แค่ข้ากับเจ้า”

“เจ้ากับข้า ?” หวังเหวินซิ่นงุนงง

เจ้าอยู่ด่านกลั่นโลหิต ส่วนข้าอยู่ด่านทะลวงลมปราณ เจ้าอยากที่จะสู้กับข้า ?

“อะไร ? คุณชายหวังลืมไปหรือว่าไม่นานก่อนหน้านี้ใครเป็นคนทำให้เจ้าจำต้องกลับมาอยู่ที่นี่ ?”

“นั่นเป็นเพราะข้าไม่ได้ใช้กำลังเต็มที่ต่างหาก !”

“ถ้าอย่างนั้นก็ใช้มัน แล้วมาลองกันใหม่อีกครั้ง” ซูเฉินพลิกมือของเขา ทันใดนั้นพื้นที่ในห้องก็ราวกับจะบิดรวมตัวกัน ทำให้ยากต่อการเคลื่อนไหวอย่างเหลือเชื่อ

สุเมรุสูญ !

*****