บทที่ 34 เริ่มต้นการต่อสู้
ท่าเรือเมืองธารน้ำใส
นี่คือย่านที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในเมืองแห่งนี้
เนื่องจากเมืองธารน้ำใสนั้น ตั้งอยู่ในสถานที่ที่ห่างไกลและยากที่จะเดินทางเข้าไปถึง การค้าขายทั้งขาเข้าและขาออกทั้งหมดจึงถูกขนส่งผ่านทางแม่น้ำฉางชิง ทำให้แม่น้ำฉางชิงเปรียบได้กับเส้นชีวิตของเมืองนี้
ด้วยเหตุนี้ท่าเรือจึงเป็นพื้นที่ที่มีผู้คนพลุกพล่านมากที่สุด ทุก ๆ วันจะมีเรือจำนวนมากขนถ่ายสินค้ามาลง ทำให้คนทั่วไปและคนเร่ร่อนจำนวนมากมาหาเลี้ยงชีพที่นี่
ถนนใกล้ท่าเรือจึงเป็นบริเวณที่พวกอันธพาลหรืออาชญากรมักจะมารวมกันมากมาย และกระจายตัวไปทั่วโดยที่ไม่มีการตรวจสอบ
กลุ่มอันธพาลฉางชิงควบคุมท่าเรือและตั้งชื่อกลุ่มของตัวเองตามขื่อแม่น้ำฉางชิง เนื่องจากพวกเขาควบคุมท่าเทียบเรือนี้ กลุ่มฉางชิงจึงอยู่เหนือกว่าอันธพาลกลุ่มอื่น ๆ และเป็นหนึ่งในกลุ่มอันธพาลที่ใหญ่ที่สุด
วันนี้ท่าเรือเมืองธารน้ำใสเอง ก็มีชีวิตชีวาดั่งเช่นเคย
เรือลำหนึ่งจอดอยู่ใกล้กับริมฝั่งแม่น้ำ จากนั้นผู้คนก็เริ่มเข้าแถวเพื่อขนถ่ายสินค้าลงจากเรือ พวกเขาขนของหนัก ๆ ออกจากเรือขณะที่กลุ่มอันธพาลยืนล้อมอยู่รอบข้าง จ้องมองอย่างดุร้ายและตะโกนสั่งตลอดเวลา ส่วนผู้ที่รับผิดชอบในการจัดเก็บสินค้าก็นั่งอยู่ใต้ร่มคอยจดนับสินค้าและจ่ายค่าจ้าง เสียงเหรียญทองแดงกระทบกันในมือของเหล่ากรรมกร แสดงถึงความหวังตลอดทั้งวันของเหล่าแรงงาน
ลวี่เทียนหยางนอนเอนกายอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ของตน สาวใช้คนหนึ่งกำลังปอกองุ่นป้อนเขาในขณะที่อีกคนกำลังนวดขาให้ ชายร่างกำยำในชุดดำผู้เต็มไปด้วยกลิ่นอายทรงพลัง 4 คนยืนเฝ้าด้านข้าง
แรงงานผู้ขนถ่ายสินค้าบางคนก็เงยขึ้นมามองขณะที่พวกเขาเดินผ่าน ทันใดนั้นพวกอันธพาลที่คอยดูแลระเบียบก็หวดแส้ใส่พวกเขา “พวกเจ้าเจ้ามองอะไรกัน ? กล้าที่จะมองท่านรองของกลุ่มอันธพาลฉางชิงด้วยสายตาสุนัขของเจ้างั้นหรือ ?”
คนขนถ่ายสินค้าเหล่านั้นก้มหน้าลง และไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาอีก
ลวี่เทียนหยางชอบความรู้สึกอยู่เหนือคนอื่น ๆ เช่นนี้ มันทำให้เขารู้สึกพึงพอใจอย่างมาก
การมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้จะมีความหมายอะไร หากไม่สามารถเหยียบผู้อื่นไว้ใต้เท้าได้ ?
จังหวะที่เขาครุ่นคิดอยู่กับตัวเอง เขาก็หรี่ตาลงทำให้มองเห็นได้แคบขึ้น
เวลาเดียวกับที่ลวี่เทียนหยางกำลังเพลิดเพลินกับชีวิตยามบ่ายของตนอย่างสบายใจ ทันใดนั้นเสียงที่ฟังดูวุ่นวายก็ดังขึ้นจากจุดที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
ลวี่เทียนหยางหลับตาลงและไม่ต้องการที่จะลืมขึ้นมา ทั้งหมดที่เขาทำคือพูดว่า “เอะอะเสียงดังอะไรกัน ?”
ผู้คุมชุดดำที่อยู่ด้านข้างหันมองไปตามทิศทางของเสียง “ดูเหมือนว่าจะมีใครบางคนกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้”
“ไม่ว่าจะเป็นใคร หักกระดูกและไล่มันออกไปเสีย” ลวี่เทียนหยางกล่าวอย่างเกียจคร้าน
“นั่น … อาจเป็นไปไม่ได้” ผู้คุมพูดตอบด้วยความยากลำบาก
“หืม ?” ลวี่เทียนหยางลืมตาขึ้นเพื่อมองดู
ดวงตากลมโตของเขาเบิกกว้าง จ้องมองตรงไปยังทิศทางเดียวกับผู้คุม
ไม่ไกลนัก คนกลุ่มหนึ่งกำลังมุ่งหน้าตรงมาทางเขา
ผู้ที่นำหน้ามาเป็นชายหนุ่มในชุดขาว ด้านหลังของเขามีคนชุดแดง 20 คน และตามมาด้วยคนชุดฟ้าอีกเกือบ 200 คน
กลุ่มคนเดินเรียงแถวกันมาอย่างเป็นระเบียบแต่ละคนต่างก็พกดาบห้อยเอาไว้อยู่ที่ข้างเอว ไม่มีรีบร้อนและไม่ได้ส่งเสียงโหวกเหวกแต่อย่างใด ทว่ากลับแผ่แรงกดดันที่มองไม่เห็น ประหนึ่งกองทัพที่กำลังเคลื่อนที่ไปสู่แนวหน้า
กรรมกร อันธพาล เหล่าคนเดินเท้าบนท่าเรือ ที่ต่างไม่เคยพบเคยเห็นการเดินขบวนเช่นนี้มาก่อนก็แหวกตัวออกเป็นทางโล่ง ความวุ่นวายที่ดังขึ้นให้ได้ยินเกิดจากการปรากฏตัวของพวกเขา
“นี่มัน … ” ผู้คุมชุดดำส่งเสียงขึ้นด้วยความตกใจ
“คนจากกรมพลังต้นกำเนิด !” ลวี่เทียนหยางจำได้ว่าชุดสีฟ้าที่อีกฝ่ายสวมอยู่เป็นเครื่องแบบขององครักษ์กรมพลังต้นกำเนิด ส่วนกลุ่มคนในชุดแดงเหล่านั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นกองทหารเกราะโลหิต
องครักษ์กรมพลังต้นกำเนิดกับกองทหารเกราะโลหิต ? ลวี่เทียนหยางตระหนักถึงตัวตนของชายหนุ่มชุดขาวตรงหน้าตนโดยไม่ต้องคิดได้ในทันที
“ซูเฉิน !” ลวี่เทียนหยางสั่นสะท้าน
แน่นอนว่าเขาเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน
มันคือนามของผู้ที่ได้ยั่วยุตระกูลเหลียนและตระกูลหลงทันทีที่มาถึงเมืองแห่งนี้ ผู้ที่ทำให้ตระกูลหลงต้องสูญเสียอย่างหนัก และยังแย่งชิงกรมพลังต้นกำเนิดให้กลับไปอยู่ภายใต้ท่านเจ้าเมือง
ชายหนุ่มผู้นี้เป็นตัวอันตรายอย่างแท้จริง
แล้วตัวอันตรายเช่นนี้มาทำอะไรที่ท่าเรือเมืองธารน้ำใสกัน ?
ลวี่เทียนหยางไม่เข้าใจ
กลุ่มคนที่เดินเรียงแถวกันยังคงก้าวตรงไปข้างหน้าเรื่อย ๆ จนกระทั้งพวกเขาครอบครองพื้นที่ทั้งหมดของท่าเรือแล้วการเดินขบวนนี้จึงได้หยุดลง
เหล่าอันธพาลก็เริ่มตอบสนองและค่อย ๆ มารวมตัวกันรอบ ๆ ลวี่เทียนหยาง
ทั้ง 2 ฝ่ายมาถึงจุดเตรียมเผชิญหน้ากันอย่างรวดเร็ว
ในที่สุดลวี่เทียนหยางก็กล่าวขึ้น “ผู้มาเยี่ยมเยือนในครานี้ เห็นทีคงท่านจะเป็นผู้จัดการความรู้ซู ?”
“เป็นข้าเอง” ซูเฉินปัดไม้ปัดมือตอบกลับ
“วันนี้ผู้จัดการความรู้ซูมีธุระอันใดที่ท่าเรือเมืองธารน้ำใสของข้ากันหรือ ?”
“ท่าเรือเมืองธารน้ำใสของเจ้า ?” ซูเฉินมองไปรอบ ๆ “ปรากฏว่าท่าเรือเมืองธารน้ำใสแห่งนี้ กลายเป็นที่ของกลุ่มอันธพาลฉางชิงไปแล้ว ? หากเจ้าหน้าที่ของทางการต้องการจะมาที่นี่ พวกเขาก็จำต้องขออนุญาตจากเจ้า ?”
ลวี่เทียนหยางชะงักไปครู่หนึ่งเพราะคำพูดของชายหนุ่ม “ผู้จัดการความรู้ซูเข้าใจข้าผิดไปแล้ว ข้าเพียงแค่ต้องการจะกล่าวว่า หากท่านวางแผนที่จะมาอย่างน้อยก็น่าจะแจ้งให้ข้าทราบก่อนเสียหน่อย ข้าจะได้เตรียมต้อนรับท่านได้ดีกว่านี้”
“เจ้าไม่จำเป็นจะต้องมาต้อนรับข้า ข้าไม่สนใจเรื่องที่เจ้าหลุดปากออกมา ที่ข้ามาที่นี่ก็เพียงเพื่อดำเนินการสืบสวนคดีอาญาเท่านั้น”
“สืบสวนคดีอาญา ?” ลวี่เทียนหยางสับสน “คดีอาญาอะไร ?”
“ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดของข้าถูกสังหารในบริเวณใกล้เคียงนี้ แน่นอนว่าข้าก็ย่อมต้องมาตรวจสอบ”
ลวี่เทียนหยางตกตะลึงไปก่อนจะโพล่งออกมา “หลิวจี้อวิ๋น ? มันถูกสังหารที่ถนนวารีตะวันตกนิ แล้วจะมาเกี่ยวกับพวกข้าได้อย่างไร ?”
ซูเฉินส่งเสียงหึในคอ “เจ้าเองก็รู้เรื่องนี้ด้วยหรือ การตายของหลิวจี้อวิ๋นได้เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ทว่าตัวศพนั้นได้ถูกกรมวินิจฉัยคดีเก็บกวาดไปในช่วงกลางดึก พวกเขาไม่ได้ประกาศเหตุการณ์นี้ต่อสาธารณะ แต่ท่านรองลวี่กลับทราบชื่อผู้ตายและสถานที่ที่เสียชีวิตแล้ว มันออกจะไม่สมเหตุสมผลไปหน่อยหรอกหรือ ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายลวี่เทียนหยางกลับไม่ได้ตื่นตระหนกตกใจแต่อย่างใด เขาเริ่มหัวเราะแทน “มีอะไรแปลกหากข้าจะรู้เรื่องนี้ ? ท่านคงจะไม่ได้พยายามใช้เหตุผลแบบนี้เพื่อกล่าวหาข้าใช่ไหม ? สมองท่านยังปกติดีอยู่หรือเปล่า ?”
กลุ่มอันธพาลฉางชิงมีสิบตระกูลสายเลือดชั้นสูงเป็นผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง พวกเขามักจะหยิ่งผยองและกดขี่ข่มเหงไปทั่วโดยไม่เกรงกลัวเจ้าหน้าที่ของทางการ
เมื่อได้ยินลวี่เทียนหยางพูดเช่นนั้น สมาชิกกลุ่มอันธพาลก็เริ่มส่งเสียงหัวเราะพร้อมกับส่งสายตาที่เต็มไปด้วยการยั่วยุ
ในความเป็นจริงแล้ว ทั้งซูเฉินและลวี่เทียนหยางต่างรู้ดีว่าการกล่าวหาด้วยเหตุผลนี้เพียงอย่างเดียว มันเป็นเรื่องที่ไกลเกินจริง แม้ว่าเรื่องการเสียชีวิตของหลิวจี้อวิ๋นจะยังไม่ถูกกระจายออกไป แต่มันก็ไม่ใช่ความลับอะไรในโลกใต้ดิน ทุกคนกำลังเฝ้ารอดูว่าเขามีแผนรับมือกับการแก้แค้นจากสิบตระกูลอย่างไร
หากชายหนุ่มจัดการกับมันได้ไม่ดีพอสิ่งที่รอเขาอยู่ก็จะมีเพียงแค่ความพินาศ และกรมพลังต้นกำเนิดก็จะกลับไปอยู่ในมือของตระกูลสายเลือดชั้นสูงดั่งเดิม
ซูเฉินไม่ได้รู้สึกขุ่นเคืองเมื่อต้องเผชิญกับการเยาะเย้ยอย่างเปิดเผยของอีกฝ่ายแต่อย่างใด ทั้งหมดที่เขาทำคือการพูดขึ้นว่า “สมองของข้าจะยังปกติดีอยู่หรือไม่มันก็ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือข้าสงสัยว่าเจ้าได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้ ดังนั้นข้าขอให้กลุ่มอันธพาลฉางชิงตามข้ากลับไปยังกรมพลังต้นกำเนิดเพื่อทำการสืบสวนในทันที”
ลวี่เทียนหยางหัวเราะเยาะ “การสืบสวนสอบสวนและจัดการคดีนี้เป็นของกรมวินิจฉัยคดี ไม่ใช่ความรับผิดชอบของกรมพลังต้นกำเนิดเสียหน่อย ผู้จัดการความรู้ซูไม่คิดว่าท่านก้าวกายล้ำเกินขอบเขตอำนาจไปหน่อยหรือ ?”
ซูเฉินดึงเอกสารออกมาและส่งให้กับผู้ที่อยู่ข้าง ๆ เขา คนผู้นั้นคลี่ม้วนเอกสารออกจากนั้นก็ชูมันขึ้นและประกาศเสียงดัง “ท่านหลิวแห่งกรมพลังต้นกำเนิดได้ถูกลอบสังหารจนถึงแก่ความตาย เนื่องจากเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดโดยตรง และทางกรมวินิจฉัยคดีได้ทำการสืบสวนอย่างไม่ถูกต้องตามที่ควร กรมพลังต้นกำเนิดจึงได้เข้าร่วมในการสืบสวนคดีนี้ !”
อะไรนะ ?
ทุกคนต่างก็ตกตะลึง
ซูเฉินกล่าวว่า “ชัดเจนหรือยัง ? นี่คือจดหมายคำสั่งที่เขียนด้วยลายมือของท่านเจ้าเมือง กรมพลังต้นกำเนิดมีอำนาจในการสืบสวนคดีนี้ และผู้ต้องสงสัยทุกคนจะต้องให้ความร่วมมือกับพวกข้า”
ลวี่เทียนหยางส่งเสียงหึ “อย่างน้อยที่สุดกรมวินิจฉัยคดีก็ยังไม่ถูกเพิกถอนสิทธิในการสืบสวนคดีนี้ใช่หรือไม่ ? ดังนั้นหากผู้จัดการความรู้ซูต้องการเบาะแสใด ท่านก็ควรที่จะไปหาพวกเขานะ ข้าไม่มีอะไรที่จะต้องกล่าวอีกแล้ว”
ซูเฉินยิ้มและพูดว่า “เช่นนั้นเจ้าหมายความว่าพวกเจ้าจะไม่ยอมให้ร่วมมือกับพวกข้า ?”
“หากพวกข้าไม่ยอมให้ร่วมมือกับพวกท่าน แล้วท่านจะทำอะไรได้ ?” ลวี่เทียนหยางตอบโต้
ซูเฉินไม่สนใจฝ่ายตรงข้ามอีก เขาหันกลับมาและพูดกับผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ไม่ไกลจากเขานักว่า “เจ้าบันทึกเอาไว้แล้วใช่หรือไม่ ?”
“เรียบร้อยขอรับท่าน” ผู้ฝึกยุทธ์กล่าวขณะที่เขาเขย่าแผ่นภาพในมือของเขา
“เยี่ยมมาก !” ซูเฉินพยักหน้าและหันไปพูดกับกลุ่มขบวนคนที่อยู่ด้านหลังของเขา “กลุ่มอันธพาลฉางชิงได้ตกเป็นเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมที่ถนนวารีตะวันตก กรมพลังต้นกำเนิดอยู่ภายใต้คำสั่งให้สืบสวนคดีนี้ และกลุ่มอันธพาลฉางชิงได้ปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือแก่เรา นับว่ามีความผิด … ฆ่า !”