ภาคที่ 3 บทที่ 35 ล้างท่าเรือด้วยเลือด (1)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 35 ล้างท่าเรือด้วยเลือด (1)

“ฆ่า !” หลังจากที่ซูเฉินตะโกนออกคำสั่ง องครักษ์กรมพลังต้นกำเนิดและกองทหารเกราะโลหิตทั้งหมดก็ตะโกนตอบรับคำสั่ง ก่อนจะพากันพุ่งตรงเข้าใส่กลุ่มอันธพาลฉางชิงอย่างพร้อมเพรียง

“บัดซบ ! ซูเฉินเจ้าลูกหมา นี่เจ้ากล้า !” ลวี่เทียนหยางตะลึง

ซูเฉินลงมือเคลื่อนไหวทันทีที่เขาบอกว่าจะทำ โดยไม่แม้แต่จะลังเล

ลวี่เทียนหยางรับรู้ได้ว่าในสถานการณ์ที่ไม่สู้ดีเช่นนี้ มันไม่มีประโยชน์ที่จะพูดอะไรอีกแล้ว สิ่งที่เขาทำได้มีเพียงการสู้กลับเท่านั้น และเมื่อได้ มันก็มีภาพของหมีดำตัวใหญ่ปรากฏขึ้นด้านหลังของเขาพร้อมกับกลิ่นอายอันรุนแรงที่แผ่ออกมาทั่วร่าง

ตัวลวี่เทียนหยางกำเนิดมาในฐานะชนชั้นล่าง เขาพยายามอย่างหนักจนมาถึงจุด ๆ นี้ และด้วยรู้ดีว่าตนถูกลิขิตให้ไร้ซึ่งอนาคตในเส้นทางของการฝึกตน ดังนั้นเขาจึงยอมรับชะตากรรม ทำให้เมื่อลวี่เทียนหยางอยู่ในระดับของด่านก่อเกิดลมปราณ เขาก็ได้เลือกสายเลือดหมีผาที่ซึ่งบังเอิญถูกใช้เป็นเกณฑ์มาตรฐานสำหรับเปรียบเทียบระดับความแข็งแกร่งของผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดมา

ความแข็งแรงเทียบเท่าหมี 1 ตัวหรือ 2 ตัว ซึ่งไอ้เจ้าหมีนั่นก็หมายถึงเจ้าสัตว์อสูรชนิดนี้นี่เอง

หมีผาไม่ได้มีทักษะการโจมตีอะไร สิ่งที่พวกมันมีคือพลังกายภาพล้วน ๆ แต่ด้วยเกราะหินผาที่มีแต่กำเนิด มันจึงทำให้เจ้าหมีพวกนี้มีความสามารถในการป้องกันที่ค่อนข้างน่าประทับใจ เมื่อพิจารณาร่างกายที่ทรงพลังแล้ว พวกมันจึงจัดเป็นอสูรโล่เนื้อชั้นดีเยี่ยม

ลวี่เทียนหยางไม่ได้คาดหวังว่าตนจะสามารถเอาชนะซูเฉินได้ แต่เขาคิดว่าอีกฝ่ายอยู่ในระดับด่านกลั่นโลหิตเช่นเดียวกัน ดังนั้นในเมื่อระดับของพวกเขาเท่ากันแล้ว งั้นตัวเขาที่เชี่ยวชาญในเรื่องการป้องกัน ก็น่าจะสามารถรับมือฝ่ายตรงข้ามไว้สักพักหนึ่งโดยไม่มีปัญหาใด ๆ

ด้วยเหตุนี้รองหัวหน้าลวี่ผู้นี้ จึงได้เปิดใช้งานพลังสายเลือดของเขาและพุ่งเข้าใส่ซูเฉินโดยไม่เกรงกลัว ซัดออกฝ่ามือทลายขุนเขาไปทางอีกฝ่าย

ฝ่ามือทลายขุนเขานับเป็นทักษะต้นกำเนิดพื้นฐานของผู้ไร้สายเลือด มันแข็งแกร่งกว่าการโจมตีทั่วไปหลายเท่า และเมื่อมันรวมเข้ากับความแข็งแกร่งจากสายเลือดของลวี่เทียนหยาง พลังของฝ่ามือนี้ก็เทียบเท่ากับความแข็งแกร่งของหมี 8 ตัวเลยทีเดียว

ลวี่เทียนหยางใช้ออกด้วยฝ่ามือทรงพลังที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ

ทว่าเขาไม่ได้คาดคิดว่าซูเฉินจะเมินตน ชายหนุ่มพูดขึ้นว่า “กังเหยียน เจ้าจัดการมัน”

กังเหยียนปรากฏตัวขึ้นจากข้างหลังผู้เป็นนาย ก่อนใช้มือซ้ายชูขึ้นสูงรวมพลังต้นกำเนิดก่อเป็นโล่ขนาดใหญ่ ต้านรับฝ่ามือทรงพลังของฝั่งตรงข้ามไว้

ตู้ม !

เกิดเสียงฝ่ามือปะทะเข้ากับเกราะภูผาเหล็กอย่างจังก็จริง ทว่าก็ล้มเหลวในการทำลายโล่ มันไม่ได้สร้างรอยขีดข่วนทิ้งไว้เลยจนแม้แต่กังเหยียนเองก็รู้สึกตกใจกับผลลัพธ์นี้ไปด้วยเช่นกัน

เขาจ้องไปที่โล่ จากนั้นหันกลับไปมองลวี่เทียนหยาง “เจ้าอยู่ระดับด่านกลั่นโลหิตแล้วจริง ๆ หรือ ?”

จนถึงตอนนี้ กังเหยียนไม่เคยพบกับผู้ฝึกฝนด่านกลั่นโลหิตที่อ่อนแอขนาดนี้มาก่อนเลย

ใบหน้าของลวี่เทียนหยางเปลี่ยนกลายเป็นสีแดง ด้วยความโกรธและอับอาย “อย่าได้เหลิงให้มันมากนัก !”

ภาพหมีดำที่อยู่ข้างหลังของเขาส่งเสียงร้องโหยหวนอย่างโกรธเกรี้ยว เกราะหินผาปรากฏขึ้นมาคลุมรอบตัวของลวี่เทียนหยางไว้ จากนั้นตัวเกราะก็ได้เริ่มเปล่งแสงสีทองจาง ๆ ออกมา

“หืม ?” กังเหยียนอุทานเบา ๆ ด้วยความประหลาดใจ และในขณะที่เขาก้าวไปข้างหน้า เขาก็ไม่ได้สนใจการโจมตีของอีกฝ่ายเลย ทำเพียงแค่สวนกลับไปด้วยหมัดของตนเองเท่านั้น เขาระเบิดหมัดแทกเข้ากับเกราะหินผา ทำให้หินทั่วร่างคู่ต่อสู้แตกออกซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ทว่าอีกฝ่ายก็ไม่ได้รับผลกระทบร้ายแรงจากมันแต่อย่างใดเช่นกัน

กังเหยียนฉีกยิ้มออกมา เขาเข้าใจแล้ว “งั้นเจ้าก็เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการป้องกัน ? ยอดเยี่ยม เพราะข้าเองก็เช่นกัน หากเป็นเช่นนั้นก็มาลองนี้ !”

“ฮ่า !” เขาตะโกนร้องออกมาขณะที่คนตัวใหญ่ชกออกไปอีกหมัด

ทว่าครั้งนี้มันแตกต่างจากเดิม ด้วยแรงกดดันที่แข็งแกร่งได้กระจายออกมาจากหมัดอย่างชัดเจน ด้วยเขาใช้วิชาสะท้านภูผา

ร่างกายของลวี่เทียนหยางสั่นสะท้านราวกับถูกฟาดด้วยอุ้งเท้าหมี ก่อนกระเด็นกลับไปในหมัดเดียว และเมื่อลองมองดูที่เกราะหินผาของตน เขาก็ต้องตกใจหลังจากเห็นมันเริ่มแตกและหลุดออกเป็นชิ้น ๆ

รอยยิ้มของกังเหยียนขยายกว้างยิ่งขึ้น “อีกครั้ง !”

เขาพุ่งไปข้างหน้าอีกครั้ง บีบให้ลวี่เทียนหยางต้องดีดตัวถอยหลังและปล่อยการโต้กลับมา ทว่ากังเหยียนไม่พยายามจะหลบเลยแม้แต่น้อย หมัดยังคงถูกระดมโจมตีออกไป พลางตะโกนใส่อีกฝ่าย “เจ้าจะหลบไปทำไมกัน ? ยืนหยัดต่อสู้กับข้าซะ ใครล้มก่อนเท่ากับพ่ายแพ้ !”

ตู้ม ตู้ม ตู้ม !

ทั้งสองแลกเปลี่ยนหมัดกันครั้งแล้วครั้งเล่า

พวกเขาทั้งคู่เป็นผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดที่ถนัดการป้องกัน อย่างไรก็ตามความสามารถในการรุกของลวี่เทียนหยางนั้นค่อนข้างอ่อนแอ ในขณะที่ความสามารถในการรุกและการป้องกันของกังเหยียนกลับยอดเยี่ยมกว่า

แรงปะทะที่รุนแรงทำให้ลวี่เทียนหยางถูกผลักถอยมา แม้แต่เกราะหินผาก็ไม่สามารถต้านทานพลังนั้นได้ มันเริ่มแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ก่อนที่การโจมตีที่รุนแรงเป็นพิเศษของฝั่งตรงข้ามจะทำให้มันแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ

กำปั้นของกังเหยียนยังคงตรงเข้าไปกระแทกที่ลำตัวของคู่ต่อสู้ ทำให้ร่างของอีกฝ่ายสั่นไหวแต่กลับไม่ล้มลง ด้วยมีแสงสีทองจาง ๆ ปกคลุมร่างกายของลวี่เทียนหยาง ทำให้คนตัวใหญ่ต้องประหลาดใจ “เกราะรบเหล็กกล้า ?”

ลวี่เทียนหยางกำลังใช้ทักษะเกราะรบเหล็กกล้าจริง ๆ

กังหยานมีความสุขอย่างมากเมื่อเห็นเช่นนั้น และเปิดใช้งานเกราะรบเหล็กกล้าของตน จากนั้นก็พุ่งเข้าใส่อีกฝั่งอย่างเต็มแรง

เกราะรบเหล็กกล้าของเขาแข็งแกร่งกว่าอีกฝ่ายมาก กังเหยียนใช้แขนของเขาประหนึ่งตะบองเหล็กฟาดลงมา ทำให้ลวี่เทียนหยางตกตะลึง รีบยกมือขึ้นเพื่อป้องกันตัวเองตามสัญชาตญาณ หากแต่ก็แทบจะทนการโจมตีไม่ไหว

มุมปากของกังเหยียนยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยและกล่าวว่า “เจ้าซื้อทักษะเกราะรบเหล็กกล้ามาจากแดนฝันงั้นหรือ ?”

ลวี่เทียนหยางตอบกลับไปโดยสัญชาตญาณ “ไม่ ข้าได้มันมาจากเพื่อน”

“งั้นก็หมายความว่าเจ้าไม่ได้ใช้เงินของตัวเองเลย ให้ตายเถอะ …… เช่นนั้นก็ตายได้แล้ว !”

ตู้ม !

การโจมตีที่รุนแรงและทรงพลังกระแทกเข้าที่ใบหน้าของรองหัวหน้ากลุ่มอันธพาล ส่งเขากระเด็นไปด้านหลัง

กังเหยียนค่อย ๆ ดึงกำปั้นของตนกลับมา และหัวเราะเยาะอย่างเหยียดหยาม “เจ้าเป็นผู้ฝึกฝนด่านกลั่นโลหิตแบบไหนกัน ? รองหัวหน้ากลุ่ม ? เจ้ามันก็แค่ขยะ !”

หลังจากอยู่ในสถาบันมังกรซ่อนเร้นมาเป็นเวลานาน มันก็ทำให้กังเหยียนได้พบกับพวกระดับสูงมากมายจนทัศนวิสัยของเขากว้างขวางขึ้น และสำหรับผู้ฝึกฝนด่านกลั่นโลหิตเช่นนี้ เขาก็สามารถจัดการได้ง่ายยิ่งกว่าง่าย

ในขณะที่ลวี่เทียนหยางกังเหยียนถูกจัดการ กลุ่มอันธพาลฉางชิงก็ได้ถูกกรมพลังต้นกำเนิดกวาดล้างไปด้วย

และไม่ว่ากลุ่มอันธพาลฉางชิงจะเป็นใคร มีชื่อเสียงขนาดไหน สุดท้ายพวกเขาก็เป็นเพียงแค่เหล่าอันธพาลที่มารวมกลุ่มกันเท่านั้น

บางครั้งการต่อสู้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของตัวเอง แต่ขึ้นอยู่กับว่าคู่ต่อสู้นั้นอ่อนแอเพียงใด

ไม่สำคัญว่าจะแข็งแกร่งพอหรือไม่พอ ตราบใดที่คู่ต่อสู้อ่อนแอกว่า ทุกอย่างก็จะถูกจัดการได้อย่างง่ายดายและงดงาม

ไม่ว่าผู้ฝึกยุทธ์จากกรมพลังต้นกำเนิดจะอ่อนแอเพียงใด แต่พวกเขาได้รับการฝึกอบรมอย่างเป็นทางการมาก่อนแล้ว อีกทั้งยังเป็นทหารผู้ติดอาวุธชั้นดีได้มาตรฐานและถูกต้องตามกฎหมาย

ทหารที่ถูกต้องตามกฎหมายปะทะกับกลุ่มอันธพาล ? แน่นอนว่ากลุ่มอันธพาลย่อมเป็นฝ่ายโดนสับเละ

เวลานั้นเอง คนของกรมพลังต้นกำเนิดจำนวนมากร้องตะโกนก้องขณะที่พุ่งเข้าไปหาผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิด 2-3 คนที่เป็นผู้นำการโจมตี พวกเขาฝ่าผ่านสมาชิกกลุ่มอันธพาลไปอย่างรวดเร็วราวกับพายุทอร์นาโด ก่อนปล่อยคมดาบวาดผ่านอากาศไปมาพร้อมกับฝนเลือดที่โปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า

“ซูเฉินนี่เจ้ากล้า ! อย่าลืมสิว่าใครคือผู้สนับสนุนกลุ่มอันธพาลฉางชิงนี้ !”

ซูเฉินพูดพลางเอามือไพล่หลัง “ไม่ว่าใครจะอยู่เบื้องหลังกลุ่มอันธพาลของพวกเจ้า แต่หากเจ้าสังหารคนของทางการ มันก็มีโทษเพียงสถานเดียวเท่านั้น และนั่นก็คือความตาย ! ข้าละอยากจะเห็นนักใครกันที่กล้ามาปกป้องพวกเจ้า ฆ่าพวกมันให้หมด ใครก็ตามที่ต่อต้านอย่าปล่อยให้มันรอด !”

เสียงโห่ร้องของการต่อสู้ดังไปทั่วทั้งท่าเรือ

เหล่าอันธพาลแตกตื่นและกรีดร้องระงม พวกเขาต้องการที่จะหลบหนีไป แต่ก็มีคนของกรมพลังต้นกำเนิดรายล้อมอยู่ทั่วทุกทิศทาง แล้วอย่างนี้พวกเขาจะวิ่งหนีไปที่ไหนได้กัน ?

ดาบส่องประกายดุจห่าฝน ฟาดลงมาใส่เหล่าอันธพาล ฟันพวกเขาออกเป็นชิ้น ๆ ย้อมทั้งท่าเรือด้วยเลือดสีแดงเข้ม

ลูกเรือของเรือที่อยู่ใกล้ริมฝั่งแม่น้ำต่างพากันหวาดผวาจนขวัญหาย บางคนที่เพิ่งขึ้นฝั่งถึงกับย้อนกลับขึ้นไปบนเรือของพวกเขา ไม่เต็มใจที่จะกลับลงมาอีกครั้ง

ช่วงเวลาแค่เพียง 1 ก้านธูป กลุ่มอันธพาลฉางชิงที่มีอิทธิพลครอบคลุมท่าเรือเมืองธารน้ำใสแห่งนี้ ก็ถูกกวาดล้างจนเรียบ

เมื่อการต่อสู้สิ้นสุดลง ไม่มีสมาชิกของกลุ่มอันธพาลฉางชิงถูกปล่อยให้รอดเลยแม้แต่คนเดียว

ผู้ฝึกยุทธ์ที่รับผิดชอบในการเก็บกวาด ได้ทำการตรวจนับจำนวนศพอย่างละเอียดและรวดเร็ว จากนั้นก็วิ่งไปหาซูเฉินและพูดว่า “นายท่าน เราได้สังหารคนของกลุ่มอันธพาลฉางชิงไปทั้งหมด 83 คน และจับไว้ได้อีก 32 คน นอกจากนี้เราได้พบสิ่งนี้บนร่างของลวี่เทียนหยางขอรับ”

เมื่อกล่าวจบคนผู้นั้นก็ยื่นแหวนต้นกำเนิดให้ซูเฉิน

ชายหนุ่มกวาดตามองผ่านมันอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะหัวเราะออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “นี่คือแหวนต้นกำเนิดของหลิวจี้อวิ๋น กล้าหาญมากที่ถึงกับเอามาใส่เอง ดูเหมือนว่ามันจะเป็นหนึ่งในผู้สังหารจริง ๆ”

นี่ไม่ใช่การใส่ความ แต่เป็นความจริง

แน่นอนว่าหวังเหวินซิ่นคือผู้ที่บอกเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้

นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมซูเฉินจึงเลือกวันที่เป็นเวรของลวี่เทียนหยาง ในการบุกเข้าโจมตีท่าเรือ ด้วยเขาต้องการจับอีกฝ่ายให้ได้คาหนังคาเขา

ลวี่เทียนหยางยังคงมีชีวิตอยู่ ตัวเขากับแหวนต้นกำเนิด ควบคู่ไปกับแผ่นภาพที่บันทึกทุกอย่าง หลักฐานทั้งหมดได้ถูกรวบรวมเอาไว้แล้ว ตอนนี้กลุ่มอันธพาลฉางชิงไม่สามารถถอนตัวออกไปจากเรื่องนี้ได้อีก ไม่ว่าพวกเขาจะต้องการมากแค่ไหนก็ตาม

แน่นอนว่าพวกเขายังคงมีโอกาส

นั่นคือการแย่งเอาแหวนต้นกำเนิดมาและทำลายแผ่นภาพทิ้งซะ

เมื่อซูเฉินเก็บกวาดท่าเรือเสร็จแล้ว กลุ่มคนอีกกลุ่มก็พุ่งเข้ามาที่เกิดเหตุในทันใด