ภาคที่ 3 บทที่ 36 ล้างท่าเรือด้วยเลือด (2)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 36 ล้างท่าเรือด้วยเลือด (2)

เมื่อหลี่เยว่เร่งรุดมาถึงพร้อมกับกลุ่มอันธพาลฉางชิงที่เหลืออยู่ ทุกอย่างก็ตกอยู่ในสภาพไร้ระเบียบไปแล้ว ซากศพกระจายเกลื่อนไปทั่ว

“ซูเฉิน เจ้ากล้า !”

เมื่อได้เห็นฉากเบื้องหน้า ดวงตาของหลี่เยว่ก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ

ท่าเรือเมืองธารน้ำใสเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญที่สุดของกลุ่มอันธพาลฉางชิง และเป็นฐานที่มั่นสำคัญของพวกเขา ด้วยเหตุนี้ผู้ที่รับผิดชอบในการปกป้องสถานที่แห่งนี้ จึงเป็นลูกน้องที่เชื่อถือได้และมีความสามารถมากที่สุดของหลี่เยว่

ทว่าตอนนี้พวกพ้องที่ไว้ใจได้ทั้งหมดนั่นของเขา ก็ได้ถูกซูเฉินกวาดล้างไปเรียบร้อยแล้ว

ซูเฉินยืนอยู่บนท่าเรือที่ย้อมไปด้วยเลือดและหัวเราะอย่างเย็นชา จ้องมองไปยังหัวหน้าของกลุ่มอันธพาลฉางชิง “ไม่ใช่ว่าประโยคนั้นข้าควรจะเป็นผู้ที่พูดหรอกหรือ ? หลี่เยว่ เจ้ากล้ามากที่ลงมือฆ่าเจ้าหน้าที่ของกรมพลังต้นกำเนิด หลิวจี้อวิ๋น การสังหารข้าราชการของทางการ เท่ากับการสมคบคิดที่จะกบฏ เจ้ารู้ความผิดนี้ของตนหรือไม่ ?”

ดวงตาของหลี่เยว่ลุกโชนไปด้วยความโกรธ “”เจ้ากล้าใส่ความข้าโดยไม่มีหลักฐานงั้นหรือ ?”

“ใส่ความ ? ข้าจำเป็นต้องทำเช่นนั้นด้วยหรือ ?” ซูเฉินยกมือขึ้น “นี่คือแหวนต้นกำเนิดที่ข้าได้มาจากมือของลวี่เทียนหยาง มันเป็นของหลิวจี้อวิ๋นและมีตราประจำตัวสลักไว้อยู่ มีแม้กระทั่งทรัพย์สินส่วนตัวบางส่วนที่ยังไม่ได้ถูกจัดการ นี่คือหลักฐานชี้ตัวที่แน่นหนา เจ้ายังจะกล้าปฏิเสธที่จะยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่อีกหรือไม่ ?”

หลี่เยว่ชี้นิ้วของเขาไปทางซูเฉิน และตวาดขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด “เจ้ากำลังใส่ความข้า !”

“ถูกใส่ความหรือไม่เจ้าก็รู้ตัวเองดี หากเจ้าไม่พอใจเจ้าสามารถร้องเรียนต่อเบื้องสูงได้ แต่ก่อนหน้านั้นเจ้าจะต้องถูกจับกุม เอาตัวเขาไป !”

“นี่เจ้ากล้า !” หลี่เยว่ตะโกนร้องโหยหวน

เขาตระหนักดีว่า ยามนี้ตนอยู่ในจุดที่ยากลำบากเพียงใด

ตอนนี้ซูเฉินได้แหวนต้นกำเนิดไปแล้ว กลุ่มอันธพาลฉางชิงจะต้องลงมือเคลื่อนไหว แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้ลงมือเคลื่อนไหวก็ตาม

เขาโบกแขนและตะโกนส่งสัญญาณ “ฆ่า !”

พวกอันธพาลจำนวนมากที่ตามมาข้างหลัง พุ่งตรงเข้ามาในทันที

ณ จุดนี้ไม่มีที่ว่างให้ใครถอย ถ้าอยากที่จะรอดพวกเขาก็ต้องกลายเป็นผู้ชนะของการต่อสู้ที่นี่ ในครั้งนี้ !

หากซูเฉินชนะ เรื่องที่กลุ่มอันธพาลฉางชิงสังหารเจ้าหน้าที่ของทางการ ก็จะกลายเป็นเรื่องที่แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว

แต่หากกลุ่มอันธพาลฉางชิงชนะ ซูเฉินก็จะกลายเป็นผู้ใส่ความคนเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน และความไว้วางใจในตัวของเขาจะถูกทำลายไปหมด

นี่คือการต่อสู้ที่ใครก็ตามที่ชนะจะถือว่าเป็นฝ่ายที่ ‘ชอบธรรม’

ทั้ง 2 ฝั่งจึงได้ตัดสินใจที่จะต่อสู้กันถึงขั้นตายกันไปข้าง

กลุ่มอันธพาลฉางชิงพุ่งไปข้างหน้าตะโกนอย่างดุร้าย ดาบของพวกเขาเคยลิ้มรสเลือดมาก่อนแล้ว และดูเหมือนว่าพวกมันจะมีความกระหายเลือดอยู่สมควร ถ้าศัตรูลงมือเต็มกำลังจริง ๆ ก็กล่าวได้ว่าอาจจะไม่ได้อ่อนแอไปกว่าผู้ฝึกยุทธ์ของกรมพลังต้นกำเนิดเลย

อย่างไรก็ตามในเวลาเดียวกันกับที่กลุ่มอันธพาลพุ่งออกมาข้างหน้า สิ่งที่รอพวกเขาอยู่กลับกลายเป็นพายุลูกศรที่ตกลงมาจากท้องฟ้า

ลูกศรที่คมกริบพุ่งผ่านอากาศ

คนของกลุ่มอันธพาลฉางชิงไม่ได้มีชุดเกราะ ฝนลูกศรตกลงมาจึงทำให้เลือดไหลท่วมถนนอีกครั้ง พวกเขาส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสที่จะได้กวัดแกว่งดาบด้วยซ้ำ

“กองทัพเกาทัณฑ์ ?” หลี่เยว่ตะโกนอย่างไม่เชื่อ (1)

เห็นได้ชัดว่าหน้าไม้เหล่านี้ไม่ใช่หน้าไม้หรือธนูทั่ว ๆ ไป แต่เป็นหน้าไม้ใหญ่ที่ทหารใช้กัน แม้ว่าพวกมันจะไม่ใช่เครื่องมือต้นกำเนิด แต่ก็จัดเป็นอาวุธที่มีความแข็งแกร่งใกล้เคียงกับเครื่องมือต้นกำเนิดอย่างมาก ความสามารถในการรุกของมันเหนือล้ำจนน่ากลัว ใช้ทหารถือหน้าไม้เพียง 20 คนก็เพียงพอแล้วที่จะเป็นภัยร้ายแรงต่อผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิด และหากพวกเขามีกันเป็นร้อย นั่นก็เพียงพอที่จะคุกคามผู้ฝึกฝนด่านกลั่นโลหิตได้เลย โดยพื้นฐานแล้วพวกเขาเป็นตัวแทนของความแข็งแกร่งสูงสุดที่คนธรรมดาจะสามารถไปถึงได้

ปัญหาคือหน้าไม้ที่หนักเหล่านี้เป็นของทหารเท่านั้น กรมพลังต้นกำเนิดไม่ควรที่จะมีมันอยู่

ซูเฉินไปเอาทั้งหมดนั้นมาจากไหนกัน ?

มีคนไม่น้อยที่ถือหน้าไม้เหล่านั้นไว้ เขาประเมินว่าคงจะมีอย่างน้อย 50 คน

คนที่ถือหน้าไม้ทั้ง 50 คน ไม่ได้สวมเครื่องแบบสีฟ้าของกรมพลังต้นกำเนิด หรือเครื่องแบบของกองทหารเกราะโลหิต แต่พวกเขาแต่งตัวเป็นข้ารับใช้ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นผู้พิทักษ์จากตระกูลซู !

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ หน้าไม้หนักทั้ง 50 อันนั้นไม่ได้ถูกจัดหามาโดยกรมพลังต้นกำเนิด แต่เป็นตัวของซูเฉินเอง

เมื่อตระหนักได้ถึงนี้ หลี่เยว่ก็เริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาเป็นครั้งแรก

ซูเฉินผู้นี้เป็นใครกันแน่ ?

แต่ในเวลานี้เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะเสียใจอีกต่อไป ด้วยรู้ดีว่ามีเพียงการฆ่าซูเฉินเท่านั้น ที่จะทำให้ตนสามารถควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดได้อีกครั้ง

เมื่อหลี่เยว่คิดเช่นนี้ เขาก็ยกมือขึ้นในอากาศ ทันใดนั้นศรหน้าไม้อันแหลมคมจำนวนนับไม่ถ้วนก็หยุดลงกลางอากาศ ราวกับถูกใครบางคนดึงเอาไว้

จากนั้นหลี่เยว่ก็สะบัดมือของเขา ส่งลูกศรเหล่านั้นให้ร่วงลงไปที่พื้นทั้งหมด

หลี่เยว่รวบรวมลูกศรทั้งหมดมาและส่งพวกมันให้บินกลับ ทำให้พายุลูกศรปรากฏขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้พวกเขามุ่งหน้าไปในทิศทางของซูเฉินแทน

“โอ้ ! ท่านหัวหน้าแข็งแกร่งมาก !” กลุ่มอันธพาลทั้งหลายต่างเริ่มตะโกนโห่ร้องขึ้นอย่างพร้อมเพรียง

“ซูเฉิน ไม่ว่าเจ้าจะวางแผนไว้อย่างไร แต่นี่คือยุคที่ความแข็งแกร่งเป็นที่เคารพนับถือ ! ไม่ว่าเจ้าจะมีไหวพริบมากเพียงไหน หากเจ้าไม่มีความแข็งแกร่งที่เพียงพอมันก็ไร้ความหมาย !” เสียงคำรามก้องของหลี่เยว่กระจายไปทุกมุมของท่าเรือ

เขากำลังพยายามที่จะใช้กลวิธีนี้เพื่อโจมตีศรัทธาและแรงใจที่ผู้คนมีต่อซูเฉิน

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ชายหนุ่มก็ยังคงอยู่ในด่านกลั่นโลหิต

เป็นไปไม่ได้ที่ด่านกลั่นโลหิตจะเอาชนะด่านทะลวงลมปราณ

“จริงหรือ ?” ซูเฉินยิ้มเล็กน้อย เขาเหยียดแขนไปและกางมือออก ฝนลูกศรในท้องฟ้าลดความเร็วลงอย่างรวดเร็ว ราวกับกำลังเผชิญกับแรงต้านที่มองไม่เห็น ก่อนที่จะสูญเสียการทรงตัวและตกลงสู่พื้นในที่สุด “เมื่อวานนี้ก็มีคนสองคนพูดเช่นเดียวกันกับเจ้า เดาว่าท้ายที่สุดมันเกิดอะไรขึ้น ?”

หลี่เยว่ตกตะลึง

เขาไม่ได้ถามและซูเฉินก็ไม่ได้อธิบายเพิ่มเติม

ก่อนเป็นชายหนุ่มที่พลิกฝ่ามือส่งพญาเหยี่ยวเพลิงบินตรงไปหาหลี่เยว่

เหยี่ยวเพลิงสีแดงสดก่อตัวขึ้นจากเปลวไฟอันน่าสะพรึงกลัวที่เผาผลาญทุกสิ่ง ในขณะที่มันพุ่งเข้าใส่ฝ่ายตรงข้ามประหนึ่งผู้ส่งสารแห่งความตาย

หลี่เยว่รู้สึกถูกคุกคามจากการโจมตีครั้งนี้โดยสัญชาตญาณของเขา

เขากรีดร้องลั่น พลังที่ระเบิดออกส่องประกายระยิบระยับพุ่งสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า งูขาวขนาดใหญ่ลอยขึ้นไปในอากาศบิดตัวเลื้อยอยู่บนท้องฟ้า

อสรพิษฝาสุภเรศขาว !

นี่คือผลประโยชน์ที่หลี่เยว่ได้รับจากการขายตัวเองให้กับตระกูลไหล สายเลือดอสรพิษฝาสุภเรศขาว

ทันทีที่อสรพิษฝาสุภเรศขาวปรากฏตัวขึ้น มันก็พุ่งเข้าหาเหยี่ยวเพลิงในอากาศทันที เปลวไฟที่รุนแรงพุ่งตรงเข้าใส่ร่างของอสรพิษฝาสุภเรศขาว ก่อนจะค่อย ๆ ละลายหายไปในความว่างเปล่า ราวกับว่าเปลวไฟนั้นเป็นภาพลวงตา

ในเวลาเดียวกันเจ้างูขาวก็สะบัดตัวไปมากลางอากาศ ปลดปล่อยกลิ่นอายที่เย็นยะเยือกกระจายออกมาจากร่างกายของมัน ทำให้ทุกคนรู้สึกหนาวสั่น

หลี่เยว่หัวเราะอย่างดุร้าย “เจ้ารู้สึกถึงมันไหม ? ความหวาดกลัวในความตาย ! นี่คือพลังของอสรพิษฝาสุภเรศขาว ! นรกอสรพิษฉก !”

ทันใดนั้นอสรพิษฝาสุภเรศขาวก็ได้บินโฉบลงมาจากอากาศพุ่งตรงเข้าหาพื้นด้านล่าง

“น่าสนใจ” ซูเฉินพยักหน้า และเปิดใช้งานสุเมรุสูญอีกครั้ง ความเร็วของเจ้างูขาวลดลงอย่างมาก “ดูเหมือนว่าความสามารถของข้าจะยังไม่เพียงพอ ที่จะอาศัยวิธีการปกติเพื่อเอาชนะผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณ”

พญาเหยี่ยวเพลิงเป็นทักษะต้นกำเนิดไร้สายเลือดที่ทรงพลังอย่างยิ่ง มันจะกลายเป็นสมบัติล้ำค่าอย่างแน่นอนหากซูเฉินปล่อยมันสู่สาธารณะ ซึ่งวิชานี้ก็คงจะกลายเป็นทักษะกำเนิดอันดับหนึ่งในทันที เหตุผลเดียวที่มันไม่อาจสร้างความเสียหายให้แก่หลี่เยว่ นั่นเพราะระดับพลังของการบ่มเพาะที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด

ท้ายที่สุดอีกฝ่ายก็ยังคงเป็นผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณ จำนวนของพลังงานต้นกำเนิดที่เขาสามารถควบคุมได้รวมกับการสนับสนุนจากสายเลือด มันจึงไม่แปลกใจเลยที่เขาสามารถกำจัดพญาเหยี่ยวเพลิงได้

แต่สำหรับซูเฉินที่มีของเล่นใหม่ ทักษะต้นกำเนิดรูปแบบระเบิดก็นับเป็นเพียงวิธีการปกติไปแล้ว

ครู่ต่อมาเปลวไฟก็ก่อตัวในมือของเขาอีกครั้ง

อย่างไรก็ตามในครานี้เปลวไฟไม่ปะทุพลังที่เกือบจะระเบิดออกอีกต่อไป แต่กลับมืดมนและเงียบสงบ ประกายแสงที่พวกมันทอออกมานั่นกลับให้ความรู้สึกเย็นยะเยือก

เปลวไฟสีดำ ลุกโซนและเผาไหม้อย่างต่อเนื่อง และค่อย ๆ ก่อตัวจนเริ่มมีรูปร่างเหมือนร่างมนุษย์

ซูเฉินเทพลังต้นกำเนิดของเขาลงในเปลวไฟในรูปร่างคล้ายกับมนุษย์ที่กำลังขยายตัวอยู่อย่างต่อเนื่อง ขนาดของมันสูงเกินซูเฉินและกังเหยียนไปอย่างรวดเร็ว จนในที่สุดมันก็ใหญ่ขึ้นและสูงขึ้นจนมีขนาดเกือบ 3 จั้ง

“ฮ่า !!”

ทันทีที่มนุษย์ตัวใหญ่ปรากฏขึ้น มันก็ส่งเสียงคำรามดังสนั่น

“เพลิงเงายักษ์ โจมตี !”

เพลิงเงายักษ์คำรามขึ้นอีกครั้งและเหวี่ยงหมัดของมัน สร้างแรงกดดันอันน่ากลัวที่เข้ากวาดล้างทุกสิ่งอย่างที่ขวางหน้า