ภาคที่ 3 บทที่ 37 ล้างท่าเรือด้วยเลือด (3)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 37 ล้างท่าเรือด้วยเลือด (3)

หมัดขนาดยักษ์ของเพลิงเงาที่เปี่ยมด้วยพลังทำลายล้างอันน่าสะพรึงกลัว พุ่งกระแทกเข้าใส่ร่างของอสรพิษฝาสุภเรศขาวอย่างรุนแรง

เงาร่างของอสรพิษฝาสุภเรศขาวแตกเป็นเสี่ยง ๆ และถูกแผดเผาภายใต้เปลวเพลิงที่น่ากลัวนั่น

เปลวไฟสีดำกวาดออกไปเบื้องหน้าเป็นคลื่นราวกับเพลิงภูเขาไฟที่กำลังปะทุ ปลดปล่อยพลังอันยิ่งใหญ่ในการทำลายล้างสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในบริเวณใกล้เคียง

หลี่เยว่ตะโกนด้วยความตกใจเมื่อเห็นฉากนี้ ในเวลาเดียวกันนั้นเปลวไฟสีดำก็ได้ลามมาถึงตัวเขาแล้ว

หัวหน้ากลุ่มอันธพาลรับรู้ได้ถึงสถานการณ์ที่ไม่สู้ดีนัก อสรพิษฝาสุภเรศขาวพุ่งออกมาและระเบิดออก จนทำให้เกิดกรีดร้องเสียงแหลมดุจวิญญาณที่โศกเศร้าหลายร้อยดวง

งูขาวขนาดใหญ่ที่โผล่ออกมาอีกครั้ง และพ่นพิษที่ดูเหมือนจะสามารถกัดกร่อนทุกอย่างได้ ใส่เพลิงเงายักษ์

เพลิงเงายักษ์ร้องคำรามและระดมโจมตีอย่างต่อเนื่อง ในฐานะที่เป็นทักษะต้นกำเนิดใหม่ล่าสุดและทรงพลังที่สุดของซูเฉิน เพลิงเงายักษ์ไม่ใช่ทักษะต้นกำเนิดแบบที่ใช้จู่โจมครั้งเดียวจบ ตราบเท่าที่ผู้ใช้สามารถจ่ายพลังต้นกำเนิดให้มันได้ มันก็จะคงอยู่ได้นานพอควร

หมัดเปลวไฟสีดำแห่งทำลายล้างที่ดุร้ายและบ้าคลั่ง กระหน่ำลงมาเรื่อยหมัดต่อหมัด คลื่นเปลวเพลิงที่น่าสะพรึงกลัวมากพอจะทำลายพื้นที่กว่าครึ่งของท่าเรือ ได้ถูกระเบิดปลดปล่อยออกมา

แม้แต่ตัวหลี่เยว่ที่อยู่ในด่านกลั่นโลหิตเองที่ต้องเผชิญกับการโจมตีอย่างบ้าคลั่งของเพลิงเงายักษ์ ก็ยังพบว่ายากที่จะรับมือยิ่ง

บัดซบ !

บัดซบ !!

บัดซบเอ้ย !!!

ทักษะต้นกำเนิดนั่นมันอะไรกัน ? มันจะทรงพลังขนาดนี้ได้ยังไง ?

นี่คือความแข็งแกร่งที่ด่านกลั่นโลหิตควรจะมีงั้นหรือ ?

แค่เพลิงเงายักษ์ก็ก็เพียงพอที่จะจัดการกับผู้ฝึกฝนด่านกลั่นโลหิตแล้ว หากซูเฉินเข้ามาร่วมด้วย เช่นนั้นเขาจะสู้ต่อได้อย่างไร ?

สิ่งที่หลี่เยว่คิดนั่นถูกต้อง พริบตาต่อมาซูเฉินก็ได้ส่งพญาเหยี่ยวเพลิงมาหาเขาอีกครั้ง

ก่อนที่ในชั่วพริบตานั้นชายหนุ่มจะกระโจนออกมาด้านหน้า ฟาดดาบหมาป่าสวรรค์กลืนจันทร์ในมือขวาเข้าหาคู่ต่อสู้ ขณะที่มือซ้ายของเขากำหมัดและชกออกไป

การโจมตีระยะไกลและระยะใกล้มุ่งตรงมาบรรจบที่ตัวหลี่เยว่ !

ในช่วงเวลานั้นซูเฉินใช้ออกถึง 3 กระบวนท่าพร้อมกัน นับเป็นจุดสูงสุดของความสามารถในการต่อสู้ของเขาในตอนนี้

แม้แต่ผู้ฝึกฝนด่านกลั่นโลหิตก็ไม่สามารถหลบเลี่ยงได้ เมื่อต้องเผชิญกับการโจมตีพร้อมกันทั้งสามนี้

อสรพิษฝาสุภเรศขาวร่ายรำในอากาศและพ่นคลื่นความเย็นออกมา เพื่อสกัดกั้นหมัดเพลิงอันหนักหน่วงของเพลิงเงายักษ์ ในเวลาเดียวกันโล่แสงก็กะพริบขึ้นบนร่างกาย เข้าต้านรับพญาเหยี่ยวเพลิงได้อย่างมั่นคง

ทักษะต้นกำเนิดร่วมสมัยประเภทป้องกันนั้นอ่อนแอกว่าของวิชาโบราณอาร์คาน่า นอกจากนี้พญาเหยี่ยวเพลิงของซูเฉินยังทรงพลังอย่างมาก การระเบิดเพียงครั้งเดียวนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทุบมันให้เป็นเศษเล็กเศษน้อย

พริบตาเดียวกันซูเฉินก็ตามเข้ามา ทำให้หลี่เยว่ไม่มีเวลาให้ถอยกลับ เขาจำเป็นต้องตัดสินใจในเสี้ยววินาทีว่าจะจัดการกับการผสมผสานระหว่างดาบกับหมัดนี้อย่างไร

และเขาก็เลือกที่จะอดทนต่อการชก

หลี่เยว่รวบรวมแรงที่มากที่สุดเท่าที่เขาทำได้เพื่อเหวี่ยงร่างของตนไปทางด้านซ้ายของซูเฉิน และหลบคมดาบไปได้อย่างหวุดหวิด ทว่าในขณะเดียวกันนั้น หมัดของอีกฝ่ายก็ได้มาถึงตัวของเขาแล้ว !

ตู้ม !

เลือดสดสาดกระเซ็นไปทั่วทุกทิศ !

เลือดจำนวนมากพุ่งทะลักออกมาจากหลุมขนาดใหญ่เท่าชามที่ดูน่าสยดสยองบนหน้าอกของหลี่เยว่

“เจ้า … ” หลี่เยว่ตะโกนด้วยความตกใจ

ซูเฉินตอบกลับอย่างเย็นชา “หมัดของข้าแข็งแกร่งกว่าดาบ”

เพลิงเงายักษ์พุ่งมาข้างหน้าและปล่อยหมัดอีกครั้งพร้อมกับร้องคำราม

ทันใดนั้นรองหัวหน้าอีก 2 คนของกลุ่มอันธพาลฉางชิงก็ได้พุ่งตรงเข้ามา หนึ่งปัดป้องการโจมตีจากแขนของเพลิงเงายักษ์ ส่วนอีกหนึ่งเข้าไปหยุดซูเฉิน

ซูเฉินปล่อยหมัดอีกครั้งพร้อมทั้งฟาดดาบของเขาผ่านอากาศ

ฟ้าร้องดังกึกก้องปรากฏขึ้นให้ได้ยินเสียง

รองหัวหน้าคว้าหลี่เยว่และรีบหลบไปทางด้านดาบของซูเฉิน เขายอมเลือกที่จะถูกฟาดด้วยดาบของคู่ต่อสู้มากกว่าหมัดของชายหนุ่ม

ดาบหมาป่าสวรรค์กลืนจันทร์ฟาดลงมาอย่างรวดเร็ว

คมดาบระเบิดพลังออกพร้อมกับเสียงฟ้าร้องกึกก้อง

การระเบิดที่น่ากลัวของฟ้าร้องดังขึ้นไปทั่วบริเวณ แล้วตามมาติด ๆ ด้วยเสียงร้องโหยหวน แผ่นหลังของรองหัวหน้ากลายเป็นก้อนเนื้อแหลกเหลวราวกับว่าเขาถูกโจมตีด้วยเพลิงอัสนีนับสิบลูก เขากรีดร้องออกมาอย่างน่าเวทนาขณะที่ถูกส่งกระเด็นลอยผ่านอากาศออกไป

“เจ้า … ” รองหัวหน้าจ้องไปที่ซูเฉินด้วยความกลัว

“เพียงแค่เพราะหมัดของข้าแข็งแกร่งกว่าดาบ ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะสามารถรับดาบของข้าได้เสียหน่อย เจ้าโง่” ซูเฉินตอบกลับอย่างเฉยชา

พญาเหยี่ยวเพลิงอีกตัวบินออกไปทันที หลังจากที่เขาพลิกฝ่ามืออีกครั้ง

รองหัวหน้าอีกคนถูกเพลิงเงายักษ์ควบคุมเอาไว้โดยสมบูรณ์ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่สามารถยื้อไว้นานกว่านี้ได้อีกแล้ว การมาถึงของพญาเหยี่ยวเพลิงคราวนี้ ส่งรองหัวหน้าผู้นั้นลงไปกองกับพื้นและไม่สามารถลุกขึ้นมาได้อีก

ชั่วพริบตารองหัวหน้ากลุ่ม 2 คน ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสด้วยฝีมือของซูเฉินเพียงคนเดียว

ในที่สุดซูเฉินหยุดจ่ายพลังต้นกำเนิด ทำให้เพลิงเงายักษ์เงยหน้าส่งเสียงร้องโหยหวนอยู่เป็นเวลานาน ก่อนที่จะสลายหายไปอย่างไม่เต็มใจ

ซูเฉินถอนหายใจยาว

เพลิงเงายักษ์นั้นทรงพลังมาก แต่มันก็ใช้พลังต้นกำเนิดมากเกินไปทั้งยังจำเป็นต้องได้รับพลังนั้นอย่างต่อเนื่อง ซูเฉินจึงไม่สามารถคงสภาพมันไว้นานเกินไปได้

โชคดีที่หลี่เยว่ไม่ใช่ผู้ฝึกฝนด่านทะลวงลมปราณที่น่ากลัวนัก ถ้าเขาแข็งแกร่งขึ้นอีกนิดและยังคงต้านไว้ได้อีกพักหนึ่ง ถึงตอนนั้นชายหนุ่มก็คงจะเป็นฝ่ายล้มพับไปก่อน

ซูเฉินมาจากสถาบันมังกรซ่อนและเคยชินกับการต่อกรกับพวกระดับสูง วิสัยทัศน์ของเขาก็กว้างไกล ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ได้ให้น้ำหนักกับการต่อสู้ครั้งนี้มากนัก ในมุมมองของเขานั้น การเอาชนะผู้ฝึกฝนด่านทะลวงลมปราณที่ยอดเยี่ยมที่จบการศึกษาจากสถาบันมังกรซ่อนเร้นได้ ถึงจะถือเป็นการก้าวกระโดดข้ามระดับอย่างแท้จริง

แต่ทว่าคนอื่น ๆ ไม่ได้คิดเช่นนั้น การที่ซูเฉินสามารถเอาชนะหนึ่งผู้ฝึกฝนด่านทะลวงลมปราณ กับอีกสองผู้ฝึกฝนด่านกลั่นโลหิตได้ในการต่อสู้หนึ่งต่อสาม นับเป็นเรื่องที่น่าตกใจอย่างมาก !!!

แม้แต่ผู้ฝึกฝนด่านกลั่นโลหิตที่แย่ที่สุด ก็ยังคงอยู่ในด่านกลั่นโลหิต ! ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถกระโดดข้ามระดับและเอาชนะพวกเขาเช่นนี้ได้

ทุกคนจ้องไปที่ซูเฉินด้วยความตกตะลึงอย่างมาก

สายตาของคนจากกลุ่มอันธพาลฉางชิงเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ในขณะที่สายตาของคนจากกรมพลังต้นกำเนิดกลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

คนจากกรมพลังต้นกำเนิดส่งเสียงเชียร์ดังกึกก้อง ทำให้ขวัญกำลังใจของพวกเขาเพิ่มขึ้นสูงอย่างพรวดพราด ตรงกันข้ามกับอีกฝ่ายอย่างสิ้นเชิง และเมื่อพวกเขาพุ่งไปข้างหน้าเพื่อกวาดล้างกลุ่มอันธพาล คนของกลุ่มอันธพาลฉางชิงก็ไม่มีความตั้งใจที่จะต่อสู้อีกแล้ว การนองเลือดเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องขณะที่พวกเขาพยายามที่จะถอยหนี

ทันใดนั้นเงาของคนคนหนึ่งก็โฉบผ่านไป “ซูเฉิน ข้าคงต้องให้เจ้าหยุดไว้เสียตรงนี้ !”

ฝ่ามือจำนวนมากมายพุ่งลงมาจากท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว ทำให้ซูเฉินจำต้องตอบโต้กลับไปด้วยฝ่ามือของเขา ส่งทั้งคู่ถูกส่งให้ถอยกลับไปด้านหลังจากแรงปะทะ

คนที่ซุ่มโจมตีซูเฉินจากท้องฟ้า พลิกตัวในอากาศและร่อนลงบนพื้น คนผู้นั้นคือหวังเหวินซิ่น

“คุณชายหวัง !” สมาชิกกลุ่มต่างเริ่มร้องตะโกนส่งเสียงเชียร์ขึ้นพร้อม ๆ กัน

“ถอย !” หวังเหวินซิ่นประสบความสำเร็จในการโจมตีครั้งแรก “พวกเจ้าทุกคนออกไปจากที่นี่ซะ ! ข้าจะกันหลังให้เอง !”

“คุณชาย !” สมาชิกกลุ่มอันธพาลยังคงโห่ร้อง

หวังเหวินซิ่นมีชื่อเสียงอย่างมากในกลุ่มอันธพาลฉางชิง ไม่เช่นนั้นหลี่เยว่ก็คงจะไม่กลัวและคอยระวังเขา

และการที่เขาก้าวออกไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญเมื่อกลุ่มอันธพาลฉางชิงตกอยู่ในจุดอับที่เลวร้ายเช่นนี้ มันก็ย่อมสามารถชนะใจคนทั้งกลุ่มที่อยู่นั่นได้ในทันที ทำให้ทุกคนจ้องมองเขาด้วยความซาบซึ้ง

“เร็วเข้า รีบออกไปจากที่นี่เสีย !” หวังเหวินซิ่นเหวี่ยงฝ่ามือของเขาไปในอากาศ ผลักกลุ่มอันธพาลที่อยู่ข้างหลังเขาออกไปอย่างแรง

หนึ่งในสมาชิกกลุ่มตะโกนขึ้นมาว่า “ออกไปจากที่นี่กันเถอะ ! ตามข้ามา !”

กลุ่มอันธพาลฉางชิงจึงฉวยโอกาสกระจายตัวหลบหนีไป

หวังเหวินซิ่นคอยขัดขวางกรมพลังต้นกำเนิดด้วยตัวคนเดียว ทว่าเขากลับไม่ได้ทำร้ายใคร ทั้งหมดที่เขาทำคือตะโกนเสียงดัง “ผู้จัดการความรู้ซูโปรดเมตตา ! การลอบสังหารท่านชายหลิวนั้นกระทำโดยหลี่เยว่ คนที่เหลือในกลุ่มนั้นไม่ได้รับรู้เรื่องนี้ ตอนนี้หลี่เยว่ผู้นั้นก็ได้ตายไปแล้ว ดังนั้นโปรดปล่อยพวกเขาที่เหลือไปเถิด ผู้จัดการความรู้ซู”

“เช่นนั้น เจ้าก็ยอมรับแล้วว่าพวกเจ้าเป็นผู้ลอบสังหาร ?” ซูเฉินเอ่ยถามช้า ๆ

“ใช่ !” หวังเหวินซิ่นกล่าวด้วยสีหน้าทำอะไรไม่ถูก

“นอกจากแหวนต้นกำเนิดนี้แล้ว ยังมีหลักฐานชิ้นอื่นอีกไหม ? เช่นใครมีส่วนร่วมในการฆาตกรรมนี้บ้าง”

“ข้าไม่ได้มีส่วนร่วมในเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ดังนั้นข้าจึงไม่รู้รายละเอียดทั้งหมด แต่หากผู้จัดการความรู้ซูเต็มใจที่จะให้เวลาแก่ข้า ข้าจะตามหาผู้มีส่วนร่วมในครั้งนี้และจับตัวมาส่งมอบให้ท่าน แทนคำอธิบายในเรื่องนี้ !”

“โอ้ ?” ซูเฉินเลิกคิ้ว “งั้นเจ้าก็เต็มใจที่จะร่วมมือ ?”

“กลุ่มอันธพาลฉางชิงเป็นฝ่ายผิด ดังนั้นข้าก็ได้แต่เพียงหวังว่าท่านจะช่วยมีเมตตาเหลือทางรอดไว้ให้พวกข้าเท่านั้น”

“หากเจ้าให้ความร่วมมือ มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้” ซูเฉินกล่าวขณะที่เขาโบกมือ ส่งสัญญาณให้ฝ่ายปิดล้อมและฝ่ายจู่โจมโดยรอบทั้งหมดถอยกลับอย่างช้า ๆ

หวังเหวินซิ่นหยุดปัดป้องการโจมตีได้ในที่สุด เขาประสานมือแล้วพูดว่า “ขอบคุณผู้จัดการความรู้ซูมากสำหรับความเมตตา ให้เวลาข้าสักหน่อยแล้วข้าจะให้คำตอบที่น่าพอใจแก่ท่านอย่างแน่นอน”

“งั้นข้าจะรอ” ซูเฉินหัวเราะ

หวังเหวินซิ่นหันกลับมาและจากไป

ในที่สุดม่านการแสดงครั้งนี้ก็ได้ปิดลง

การแลกเปลี่ยนคำพูดของทั้งสองเกิดขึ้นในที่สาธารณะโดยมีพยานมากมายหลายคน แม้ว่าผู้คนจำนวนมากเลือกที่จะหนีไป แต่ก็ยังมีผู้กล้าหาญบางคนที่เลือกเสี่ยงชีวิตเพื่อเฝ้าดูการต่อสู้นี้ เช่นเหล่าคนที่อยู่บนเรือที่ยังคงจอดอยู่ริมฝั่งแม่น้ำที่ได้เห็นและได้ยินทุกอย่าง

กล่าวได้ว่าการปรากฏตัวในนาทีสุดท้ายของหวังเหวินซิ่นไม่เพียงแต่จะช่วยสมาชิกของกลุ่มอันธพาลฉางชิงส่วนใหญ่เท่านั้น แต่ยังเป็นการวางรากฐานสำหรับการขึ้นสู่อำนาจของเขา ด้วยเขาได้ยืนยันหลักฐานที่หักล้างไม่ได้ว่ากลุ่มอันธพาลฉางชิงได้สังหารเจ้าหน้าที่ของทางการไปจริง ซึ่งการแสดงออกอย่างชอบธรรมนี้ มันก็ได้สร้างชื่อเสียงและทำให้เขาได้รับความเคารพมากมาย ทั้งยังเปลี่ยนเส้นทางให้กลุ่มอันธพาลฉางชิงหันไปร่วมมือกับซูเฉินได้

จากนี้ก็ถึงคราของตระกูลไหลที่จะต้องปวดหัวแทนแล้ว