ภาคที่ 3 บทที่ 38 การสร้างรากฐานอย่างช้าๆ

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 38 การสร้างรากฐานอย่างช้าๆ

ปัง !

ถ้วยเครื่องปั้นดินเผาขนาดเล็กที่ตกแต่งด้วยลวดลายปลาที่เล่นในน้ำและดอกไม้ ได้พบปะกับพื้นหินอัคนีอย่างใกล้ชิดก่อนจะแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

ใบหน้าของไหลหวูอี่ถูกปกคลุมไปด้วยความขุ่นมัว

แม้ว่าเขาจะอายุได้ 2 ร้อยปีแล้ว แต่ไหลหวูอี่ก็ยังคงรักษารูปลักษณ์ของชายวัยกลางคนที่ดูแข็งแรงและกระปรี้กระเปร่าเอาไว้

อย่างไรก็ตาม เมื่อแข็งแรงและกระปรี้กระเปร่านัก มาตอนนี้มันก็ได้กลายเป็นความโกรธที่ดูน่ากลัวเป็นพิเศษเช่นกัน

“ซูเฉิน !” ไหลหวูอี่กัดฟันคำรามชื่อของอีกฝ่ายออกมา

“ท่านพ่อ ตอนนี้สิ่งต่าง ๆ นับว่าค่อนข้างลำบากอยู่บ้าง หลังจากที่หวังเหวินซิ่นเข้าไปควบคุมกลุ่มอันธพาลฉางชิง สิ่งแรกที่มันทำคือมาหาข้าและขอให้ข้าช่วยในจัดการกับเรื่องนี้ มันบอกว่าหากเราไม่รีบแก้ไขโดยเร็ว ซูเฉินจะสังหารพวกมันทั้งหมด”

“ข้ารู้ ข้าได้ยินมาว่าซูเฉินต้องการให้หวังเหวินซิ่นส่งมอบตัวผู้กระทำความผิดทั้งหมดออกไป …ภายในเวลาที่กำหนด !”

“ใช่” ไหลเทียนหลี่กล่าวต่อไปว่า “หวังเหวินซิ่นพบผู้กระทำผิดแล้ว แต่มันยังไม่ได้ส่งมอบตัวพวกนั้นให้อีกฝ่าย ด้วยมันกำลังรอฟังความคิดเห็นของเรา”

“หมายความว่าอย่างไร ที่ว่ามันกำลังรอฟังความคิดเห็นของเรา ?”

“มันต้องการให้เราแบกรับความรับผิดชอบนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยแม้แต่น้อยว่ามันกำลังก้มหัวให้กับซูเฉิน ! ในเวลาเดียวกันมันก็กำลังตรวจสอบการลอบสังหารของหลิวจี้อวิ๋น โดยให้เหตุผลว่านั่นเป็นการแสดงให้ซูเฉินเห็นถึงความจริงใจของมัน ช่างเป็นวิธีที่น่าอับอายยิ่งนัก ! เช่นนั้นมันก็เหมือนกับการไปเป็นขี้ข้าอีกฝ่ายไม่ใช่หรือไง ! บัดซบ ! สุดท้ายก็ต้องเป็นเราที่ต้องจัดการ”

ไหลหวูอี่คร่ำครวญอย่างหน่ายใจ “แค่คนไม่กี่คน มันไปหาคนมาสุ่ม ๆ แล้วส่งมอบไปให้มันจบ ๆ ไม่ได้เลยหรือไง ?”

“ปัญหาคือมันไม่เต็มใจที่จะทำเช่นนั้น” ไหลเทียนหลี่ตอบ

“หืม ? เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ?” ไหลหวูอี่กล่าวด้วยความประหลาดใจ

“ท่านพ่อลองคิดดู ถึงความจริงที่ว่าซูเฉินไม่ใช่คนที่จะหลอกลวงได้ง่าย ๆ และถ้าพูดถึงเรื่องนี้ เราเองก็เป็นฝ่ายที่สั่งให้คนลงมือก่อน ซึ่งคนลงมือนั่นก็คือผู้ช่วยที่ไว้ใจได้ของหัวหน้ากลุ่มคนก่อน”

“และสำหรับหวังเหวินซิ่นแล้ว อดีตหัวหน้ากลุ่มที่เพิ่งจะเสียชีวิตไปนั้นยังคงอิทธิพลหลงเหลืออยู่ จึงเป็นการยากที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้มีคนภักดีต่อเขา ซึ่งใครก็ตามที่สามารถลอบสังหารหลิวจี้อวิ๋นได้ มันก็ย่อมจะต้องเป็นหนึ่งในผู้ช่วยที่เชื่อถือได้ของหลี่เยว่ ผู้ที่มีขัดแย้งกับ หวังเหวินซิ่นมากที่สุด … ”

“เช่นนั้นหวังเหวินซิ่นจึงต้องการที่จะจัดการพวกเขาซะ” ไหลหวูอี่เข้าใจ

“ใช่ แต่มันจะดีที่สุดถ้ามันไม่เคลื่อนไหวด้วยตนเอง” ไหลเทียนหลี่กล่าวเสริม

“ดังนั้นมันจึงส่งต่อดาบให้ซูเฉิน”

“ใช่ และมันก็ต้องการให้เราเป็นคนส่งดาบนี้ซูเฉิน ไม่ใช่ตัวมันเอง”

“ไอ้เวรนั่น !” ไหลหวูอี่ทุบโต๊ะด้วยความโกรธ “มันกล้าใช้เราเพื่อกำจัดของร้อนที่แสลงมือตัวเองงั้นหรือ !?”

ไหลเทียนหลี่กล่าวอย่างหมดหนทาง “เดิมทีหวังเหวินซิ่นก็เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มอันธพาลฉางชิงที่ถูกปราบปราม แม้ว่าเราจะควบคุมกลุ่มอันธพาลฉางชิงได้ แต่มันก็นับเป็นการคุมผ่านทางหลี่เยว่อีกที ไม่ใช่หวังเหวินซิ่นคนนี้ จึงไม่แปลกที่นักมันจะไม่ได้เป็นพวกเดียวกับเรา และนั่นคือความจริง”

“แล้วถ้าเราจะพยายามผูกมัดมันในตอนนี้ล่ะ ?”

“สายเกินไปแล้ว” ไหลเทียนหลี่ส่ายหัว “แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้ส่งมอบตัวคนผิดให้ทางการ แต่หวังเหวินซิ่นก็ได้ให้รายชื่อและสารภาพปากเปล่ากับซูเฉินไปแล้ว ทั้งพยานบุคคล ทั้งพยานวัตถุ ตอนนี้กล่าวได้ว่าหลักฐานครบได้มีครบถ้วนหมดแล้ว การลอบสังหารหลิวจี้อวิ๋นโดยฝีมือของกลุ่มอันธพาลฉางชิง นับเป็นคดีที่เปิดและปิดได้ในทันที สิ่งเดียวที่ขาดหายไปคือผู้กระทำผิดที่ยังไม่ได้ถูส่งมอบตัวไป”

“มันกลัวว่า เราจะบังคับให้มันเปลี่ยนตัวคนที่จะส่งออกไป !” ไหลหวูอี่กล่าวด้วยความตกใจ

“นั่นคือความตั้งใจจริง ๆ ของมัน ในเมื่อสิ่งต่าง ๆ มาถึงจุดนี้แล้ว เราควรจะทำอย่างไรดีท่านพ่อ ?”

ไหลหวูอี่ปิดตาของเขาอย่างอดไม่ได้

หลังจากคิดอยู่นานเขาก็พูดว่า “ถ้าเราไม่เห็นด้วยที่จะส่งมอบคนไป ซูเฉินก็จะกวาดล้างกลุ่มอันธพาลฉางชิง ด้วยกรมพลังต้นกำเนิดทำอย่างเปิดเผย จนสามารถเพิ่มพูนศักดิ์ศรีของมัน และยังสามารถสาวเรื่องนี้มาจนถึงตระกูลไหลได้”

“ซึ่งหากเราตกลงที่จะส่งมอบคนไป มันก็เปรียบได้กับว่าเรากำลังก้มหัวให้ซูเฉิน ศักดิ์ศรีและอิทธิพลของเราที่มีต่อกลุ่มอันธพาลฉางชิงจะลดลงอย่างมาก แล้วหวังเหวินซิ่นก็จะสามารถควบคุมได้อย่างเต็มที่ นั่นคือสถานการณ์ทั้งหมดที่เรากำลังเผชิญอยู่ ?”

“ใช่ขอรับ ท่านพ่อ !”

“ไอหยา ! ดูเหมือนว่าเราจะต้องเลือกสิ่งที่เลวร้ายน้อยกว่า จากสิ่งเลวร้ายทั้งสองอย่างงั้นสินะ” ไหลหวูอี่กล่าวอย่างไม่เต็มใจ

“ลูกเข้าใจ”

แม้ว่าการให้หวังเหวินซิ่นควบคุมกลุ่มอันธพาลฉางชิงไปอย่างสมบูรณ์จะไม่ได้ส่งผลดีต่อตระกูลไหลนัก แต่มันก็ส่งผลกระทบเพียงเรื่องของการต่อสู้เพื่ออิทธิพลเท่านั้น ตราบใดที่พวกเขาสัญญาว่ายินดีที่จะจ่ายและทำให้อีกฝ่ายได้รับผลกำไร พวกเขาก็ย่อมจะสามารถควบคุมกลุ่มอันธพาลฉางชิงได้ไม่มากก็น้อย ซึ่งมันก็ดีกว่าการบังคับกลุ่มอันธพาลฉางชิงให้มาภายใต้การคุ้มครองของพวกเขาไม่ใช่น้อย ด้วยมันจะทำให้สถานการณ์ทวีความรุนแรงขึ้น

ถึงกลุ่มตระกูลชั้นสูงจะมีอำนาจ แต่พวกเขาก็ยังต้องรู้ว่าเมื่อใดควรหยุด เพราะพวกเขาไม่มีอำนาจมากถึงขนาดที่จะเขย่าสวรรค์ ฉะนั้นพวกเขาจึงต้องควบคุมความทะเยอทะยานของตนเอาไว้ ไม่เช่นนั้นพวกเขาก็จะถูกกำจัดออกไปไม่ช้าก็เร็ว

“แล้วซูเฉินล่ะ … ” ไหลเทียนหลี่ถาม

ไหลหวูอี่ครุ่นคิดสักครู่จากนั้นก็พูดว่า “ถนนหนานอัน ศาลาสิบลี้และตอนนี้ก็ท่าเรือธารน้ำใส … เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ ? คนผู้นี้เล่นด้วยไม่ง่ายเลย”

“ใช่ คนที่สามารถดักจับเราได้หลายครั้งติดต่อกัน ทั้งยังมีความแข็งแกร่งเป็นของตัวเอง ทำได้แม้กระทั่งสังหารหลี่เยว่กับสองรองหัวหน้า ในการต่อสู้หนึ่งต่อสาม ประมาทไม่ได้เลย !” ไหลเทียนหลี่ถอนหายใจ

“ความล้มเหลวก่อนหน้านี้เป็นเพราะเราประเมินอีกฝ่ายต่ำเกินไป แต่เราจะไม่ทำอะไรแบบนั้นอีก ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องทำการบ้านที่เราได้ละเลยไป”

“ท่านพ่อ ท่านหมายถึง … ”

“ส่งคน 2-3 คนไปที่เมืองฉางผานและตรวจสอบประวัติของซูเฉินเสีย หากเราต้องการจัดการศัตรูเราก็ต้องเข้าใจศัตรูก่อน”

“ขอรับ”

“จากนั้น เราต้องทำให้ซูเฉินกลายเป็นเป็นเป้าหมายที่มีลำดับความสำคัญสูงที่สุด ในการประชุมแนวร่วมครั้งต่อไป”

“เป้าหมายหลักของกลุ่มแนวร่วม ?” ไหลเทียนหลี่ตกตะลึง

“ถูกต้อง ซูเฉินทำให้เราต้องทนทุกข์กับความพ่ายแพ้มามากแล้ว และเราไม่สามารถจัดการด้วยตัวเองได้อีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากเหตุการณ์นี้ การควบคุมกรมพลังต้นกำเนิดของมันก็จะมั่นคงยิ่งขึ้นไปอีก ในอนาคตมันจะกลายเป็นเรื่องยากที่จะเขย่ารากฐานนั้นได้ และแค่เพียงสถานะของมัน ในฐานะตัวแทนเจ้ากรมของกรมพลังต้นกำเนิด ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้คนคนนี้เป็นเป้าหมายของกลุ่มแนวร่วม”

“แต่ถ้าเป็นเช่นนั้น เราก็จะไม่สามารถจัดการกับซูเฉินไปได้สักพักเลยนะ”

“เราไม่จำเป็นจะต้องรีบคว้าชัยชนะมาเช่นนั้น ผู้ชนะคือคนที่เห็นคุณค่าของความอดทน ความผิดพลาดครั้งก่อนของเราเป็นเพราะเราประเมินคู่ต่อสู้ของเราต่ำไป และต้องการเอาชนะอีกฝ่ายในการต่อสู้ครั้งเดียว ตอนนี้มันเป็นเวลาที่เราควรจะเรียนรู้จากความผิดพลาดของเรา”

“ขอรับ !”

——————————————

สิ่งหนึ่งที่ไหลหวูอี่กล่าวได้ถูกต้องอย่างยิ่ง หลังจากการต่อสู้ที่ท่าเรือธารน้ำใส การควบคุมกรมพลังต้นกำเนิดของซูเฉินก็มั่นคงมากยิ่งขึ้น

ณ คฤหาสน์ซู

หยวนเลี่ยหยางกำลังเดินวนไปมาอยู่รอบ ๆ ห้องโถงใหญ่ สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความวิตกกังวล ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

หลังจากนั้นไม่นานเสียงฝีเท้าของซูเฉินก็ดังมาจากด้านหลังกำแพง

ซูเฉินเดินออกมาจากด้านหลังฉาก มือของเขาเปื้อนไปด้วยเลือด

หมิงชูเตรียมอ่างน้ำไว้แล้ว เมื่อเขาเห็นซูเฉินเดินออกมา เขาก็รีบยกมันไปให้นายน้อยในทันที

ชายหนุ่มจุ่มมือลงไปในอ่าง เลือดที่ไหลออกจากมือของเขากระจายไปทั่วในน้ำทำให้เกิดดอกไม้สีแดงสด

หลังจากล้างมือแล้ว ซูเฉินก็หยิบผ้าขนหนูหมิงชูส่งให้เขามาเช็ดมือก่อนจะพูดว่า “นี่คือเลือดของหลี่เยว่ สายเลือดอสรพิษฝาสุภเรศขาวมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและมีบางจุดที่ดูน่าสนใจ น่าเสียดายที่หลี่เยว่เป็นเพียงสายพันธุ์ผสมระดับต่ำที่สุด มันจึงเป็นเรื่องยากสำหรับตัวเขาที่จะแสดงความแข็งแกร่งของสายเลือดอสรพิษฝาสุภเรศขาวออกมาให้ครบถ้วน แต่ก็ไม่เป็นไร ข้าคิดว่าเร็ว ๆ นี้ข้าคงจะมีโอกาสได้เห็นสายเลือดอสรพิษฝาสุภเรศขาวด้วยตัวเอง”

ซูเฉินกล่าวขณะที่เขาจ้องมองหยวนเลี่ยหยาง จากนั้นเขาก็ยื่นมือออกมาแล้วพูดว่า “นั่ง”

หยาดเหงื่อไหลผ่านหน้าผากของหยวนเลี่ยหยาง “ท่านผู้จัดการความรู้ที่เคารพอยู่ที่นี่ ผู้น้อยไม่กล้านั่งลงหรอกขอรับ”

“เจ้าไม่กล้านั่งลง เพราะข้าอยู่ที่นี่งั้นหรือ ? เหตุใดเจ้าถึงไม่ฟังคำสั่งของข้าที่ให้ไปยังท่าเรือธารน้ำใสกัน ?” ซูเฉินกล่าวอย่างเย็นชา

ในกรมพล้งต้นกำเนิดนี้มีผู้เชี่ยวชาญพล้งต้นกำเนิดอยู่เกือบ 20 คน แต่ในท้ายที่สุดมีเพียง 6 คนเท่านั้นที่ปรากฏตัวที่ท่าเรือธารน้ำใสพร้อมกับซูเฉิน

ไม่ใช่เพราะซูเฉินนำคนไปเพียง 6 หรือ 7 คน แต่เป็นเพราะคนอื่น ๆ ยังไม่มั่นใจและไม่ยอมอ่อนน้อมต่อซูเฉิน แม้ว่าพวกเขาจะยอมรับว่าซูเฉินคือผู้แทนเจ้ากรมชั่วคราวอย่างไม่มีทางเลือก แต่พวกเขาก็ไม่ได้ปฏิบัติตามคำสั่งของชายหนุ่มอย่างจริงจังนัก

แต่วันนี้ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว

การกวาดล้างที่ย้อมท่าเรือธารน้ำใสด้วยเลือด และการสังหารสามผู้นำของกลุ่มอันธพาลฉางชิงแบบหนึ่งต่อสาม ได้ทำให้ทุกคนตกตะลึง

หากกล่าวถึงสาเหตุที่พวกเขาไม่ได้เคารพชายหนุ่มนั่นก็เพราะรากฐานการบ่มเพาะที่อยู่เพียงด่านกลั่นโลหิตของซูเฉินไม่เพียงพอที่จะโน้มน้าวใจพวกเขา แต่ตอนนี้เมื่อความแข็งแกร่งของของเขาที่ทัดเทียมได้กับผู้ฝึกฝนด่านทะลวงลมปราณได้เผยแพร่ออกไป มันก็ทำให้เขามีอำนาจไปทั่วเมืองธารน้ำใสแล้วในตอนนี้ !

และที่สำคัญที่สุดก็คือ แม้แต่หยวนเลี่ยหยางเองก็ยังไม่มั่นใจ ว่าตัวเขาจะสามารถจัดการกับหลี่เยว่และอีกสองคนได้ด้วยคนเดียวเช่นซูเฉินหรือไม่

แล้วภายใต้สถานการณ์เช่นนี้มีหรือที่หยวนเลี่ยหยางจะกล้ามองซูเฉินอย่างไม่จริงจัง ?

เมื่อเขานึกถึงความจริงที่ว่าเขาได้ท้าทายผู้เชี่ยวชาญที่ดุร้ายผู้นี้ หยวนเลี่ยหยางก็รู้สึกถึงความเสียใจที่หลั่งไหลออกมาจากทุกส่วนของร่างกายตน

เขาช่างรนหาที่ตายจริง ๆ

เมื่อเผชิญกับคำพูดของซูเฉิน หยวนเลี่ยหยางก็ทำได้เพียงสั่นสะท้านและตอบด้วยเสียงสั่นเครือ “นายท่าน ข้าน้อยผิดเองขอรับ !”

“ถ้าเจ้ารู้ตัวว่าผิด เจ้าก็ต้องชดใช้ ไม่คิดอย่างนั้นหรือ ?” ซูเฉินกล่าวไปเรียบ ๆ ไม่ได้อบอุ่นหรือเย็นชา

“ข้าน้อยเข้าใจแล้วขอรับ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปข้าจะปฏิบัติตามคำสั่งของท่านผู้จัดการความรู้ทุกตัวอักษรขอรับ”

“ดี พรุ่งนี้กลุ่มอันธพาลฉางชิงจะส่งมอบตัวผู้กระทำผิดในคดีฆาตกรรมหลิวจี้อวิ๋นมาให้เรา เจ้าไปจัดการดูแลซะ”

“ขอรับ !”

หยวนเลี่ยหยางรู้ว่าซูเฉินกำลังขอให้เขาแสดงความภักดีออกมา

เมื่อหัวของผู้ร้ายเหล่านั้นจากกลุ่มอันธพาลฉางชิงร่วงถึงพื้น ทุกคนก็จะได้รับรู้ว่าตระกูลไหลได้ตกต่ำลงแล้ว

และในเวลาเดียวกันนั้น ที่เมืองธารน้ำใสก็จะมีดาวดวงใหม่เพิ่มขึ้นมา !!!