บทที่ 39 การประชุมแนวร่วม (1)
เดือนและฤดูกาลแปรผัน พริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้วอีกหนึ่งปี ซึ่งสภาพอากาศก็ยังคงยอดเยี่ยมเช่นเคย
ในยุคของผู้เชี่ยวชาญพลังต้นเนิด พลังต้นเนิดคือทุกสิ่งทุกอย่าง
เหล่าผู้ที่เชี่ยวชาญพลังพิเศษที่สามารถควบคุมสภาพอากาศได้ มักจะคอยตรวจสอบเพื่อให้แน่ใจว่าสภาพอากาศเอื้ออำนวยแก่การเจริญเติบโตของในพืชผลทุก ๆ ปี
คนธรรมดาทั่วไปสามารถทนกับการกดขี่ของผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ได้ ตราบใดที่พวกเขาไม่ได้สร้างภัยธรรมชาติขึ้นมา
ด้วยเหตุนี้ทุกฤดูใบไม้ผลิ บุคคลสำคัญหลายคนจึงมักจะจัดงานฉลอง เพื่อแบ่งปันทรัพยากรส่วนเกินในช่วงฤดูใบไม้ผลิ
ในช่วงเวลานี้พวกเขาจะมารวมตัวกัน และแจกจ่ายทรัพยากร มอบหมายภารกิจต่าง ๆ ให้ผู้คน วิเคราะห์และจัดการกับปัญหาต่าง ๆ ในช่วงที่ผ่านมา
การประชุมแนวร่วมในเมืองธารน้ำใสนี้ มีสิบตระกูลสายเลือดชั้นสูงเป็นศูนย์กลางและตัวแทนของงานเลี้ยงดังกล่าว
โดยมีตระกูลหวังที่รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมแนวร่วมในปีนี้
เจ้าบ้านตระกูลหวัง หวังซานหยู ผู้มีอายุครบ 300 ปีในปีนี้และยังคงแข็งแรงดียิ่ง เขาเป็นชายที่แข็งแกร่งผู้อยู่ในระดับด่านสู่พิสดาร ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาเป็นเสาหลักที่แข็งแกร่ง และไม่มีใครสามารถมาแทนที่ได้ของตระกูลหวัง
เมืองธารน้ำใสไม่ได้ใหญ่โตอะไร ผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารจึงนับว่าหาตัวได้ยากพอสมควร
และด้วยตัวตนของเขาในปัจจุบัน จึงกล่าวได้ว่ากองกำลังที่ทรงพลังมากที่สุดของเมืองธารน้ำใสแห่งนี้ อยู่ทางฝั่งของตระกูลสายเลือดชั้นสูง
ในวันนี้ตระกูลใหญ่และชนชั้นสูงจำนวนมากจากทั่วทุกมุมของเมือง ได้มุ่งหน้ามารวมตัวกันที่เรือนหลักของตระกูลหวัง ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับตรอกต้นหลิวทางตอนใต้ของเมือง
รถม้ามากมายเคลื่อนตัวกันมาเป็นขบวน หลั่งไหลเข้ามาสู่ตรอกต้นหลิว
“เหล่าหง ไม่ได้เจอกันนาน !”
“โอ้ เหล่าหรงนี่เอง ! เป็นอย่างไรบ้าง ?”
“ไอหยา ไม่ค่อยดีเท่าไหร่หรอก ช่วงนี้มีแต่เรื่องวุ่นวายไปหมด !”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น”
คฤหาสน์ตระกูลหวังเต็มไปด้วยเสียงผู้คนที่กำลังพูดคุยทักทายกัน
ภายในห้องโถงใหญ่ ณ เรือนหลักตระกูลหวัง การสนทนาเล็ก ๆ ระหว่างเหล่าสมาชิกของกลุ่มชนชั้นสูงเองก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว
การประชุมนี้มีผู้เข้าร่วมเพียง 10 คนเท่านั้น พวกเขาแต่ละคนคือตัวแทนจาก 10 ตระกูลสายเลือดชั้นสูง ผู้ซึ่งถือครองอำนาจส่วนใหญ่ของตระกูล
ผู้ที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งหลักคือหวังเผยหยวน หัวหน้าตระกูลคนปัจจุบันของตระกูลหวัง
หนวดเคราสีดำยาวบนหน้าทำให้หวังเผยหยวนดูสง่ามาก
หลังจากที่นั่งลง เขาก็กล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อเราต่างก็เป็นเพื่อนเก่ากันอยู่แล้ว เช่นนั้นข้าก็จะไม่ขอพูดอะไรให้มากมาย เรามาเริ่มกันเถอะ”
ทุกคนตอบรับคำกล่าวของเขาอย่างเห็นด้วย
หวังเผยหยวนพูดต่อ “เรื่องแรก เมื่อ 3 เดือนก่อนพันธมิตรทางธุรกิจในป่าแม่น้ำตะวันตกของเรา ได้กล่าวว่าพวกเขาต้องการที่จะขึ้นราคาตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป ไม่ว่าจะเป็นทักษะการกำเนิด เครื่องหนังขนสัตว์ และวัสดุล้ำค่าอื่น ๆ ที่เราซื้อจากพวกเขา จะถูกเพิ่มราคาขึ้น 3 เท่า”
“3 เท่า ? พวกมันกล้าคิดเช่นนั้นได้อย่างไร !” ใครบางคนกล่าวพลางส่งเสียงเหอะขึ้นจมูก
“อีกฝ่ายคิดว่าราคาก่อนหน้านี้ต่ำเกินไป และเมื่อของเหล่านั้นมาอยู่ในมือของพวกเรา เราสามารถขายออกได้ในราคาร้อยเท่า ดังนั้นพวกเขาจึงคิดว่าการเพิ่มราคาขายขึ้นเป็น 3 เท่า ไม่นับว่าเป็นการขอมากเกินไป”
“น่าขันสิ้นดี ! สามัญชนเหล่านั้นควรมีความสุขที่อย่างน้อยก็สามารถหาเงินได้ แต่พวกมันก็ยังกล้าไม่พอใจ ! ในความเห็นของข้า เราไม่จำเป็นจะต้องจ่ายให้พวกมันแม้แต่แดงเดียวด้วยซ้ำ !”
“เจ้าจะกล่าวเยี่ยงนั้นก็มิได้ผิด แต่ดูเหมือนว่าครั้งนี้พวกป่าแม่น้ำตะวันตกจะตัดสินใจขึ้นราคาไปแล้ว หมู่บ้านโดยรอบของที่นั่นได้ผนึกกำลังกัน หากเราไม่เห็นด้วยกับการขึ้นราคานี้ อีกฝ่ายก็จะไม่ขายของให้แก่เรา”
“เราคือผู้ควบคุมธุรกิจทั้งหมดในเมืองธารน้ำใส หากไม่ขายให้พวกเราแล้วพวกมันจะไปขายให้ใครได้อีกกัน ?”
“แน่นอนว่าพวกเขาก็ย่อมจะขายให้เมืองอื่นแทน เจ้ารู้ไหมว่ามีคนอิจฉาในธุรกิจของเรากับป่าแม่น้ำตะวันตกอยู่เพียงใด”
“บัดซบ เจ้าพวกขอทานพวกนี้ต้องมีคนคอยสนับสนุนอยู่ข้างหลังเป็นแน่”
“ใช่ คงจะมีใครสักคนยุยงเรื่องนี้อยู่ ป่าแม่น้ำตะวันตกถือเป็นแหล่งรายได้ของเรา เราไม่สามารถปล่อยให้คนอื่นเข้ามายุ่งได้ ข้าคิดว่าการตกลงยอมจ่ายราคาเพิ่มขึ้นไม่ใช่ทางแก้ไขปัญหาที่ดี ดังนั้นเราจึงควรส่งกองกำลังที่มีความสามารถไป และจัดการผู้ที่สร้างปัญหาเสีย เพื่อให้ปัญหานี้หายไป”
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย
หลังจากการพูดคุยกันแล้ว ทุกคนต่างเห็นพ้องต้องกันว่าพวกเขาไม่สามารถเห็นด้วยกับคำขอที่หยาบคายของสามัญชนจากป่าแม่น้ำตะวันตกได้ และหากอีกฝ่ายกล้าปฏิเสธที่จะขายสินค้าให้แก่พวกเขา งั้นพวกเขาก็จะส่งกองกำลังออกไปและทำให้เรื่องมันง่ายขึ้นซะ
“เรื่องที่สอง โจรสลัดกลุ่มใหม่ได้ปรากฏตัวขึ้นใกล้กับทางสามแยก พวกมันหยิ่งผยอง หยาบคายและไร้เหตุผลอย่างมาก เมื่อเดือนที่แล้วพวกมันได้เข้ามาปล้นชิงเรือของพวกเราไป ซึ่งตัวข้าก็ได้ส่งคนไปคุยเรื่องนี้แล้ว ทว่ามันก็ไร้ประโยชน์ เป็นที่น่าเสียดายที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีทางเลือกนอกจากใช้กำลังเพื่อจัดการกับพวกมัน และเราจะตามกฎเดิม ทุกตระกูลจะต้องส่งกำลังคนมาเข้าร่วม”
นับตั้งแต่มีการจัดตั้งการประชุมแนวร่วมขึ้น กฎเกณฑ์และข้อปฏิบัติต่าง ๆ ก็ได้ถูกปรับเปลี่ยนแก้ไขจนสมบูรณ์แล้ว เช่นเดียวกับทีมเก็บกวาดที่ถูกจัดตั้งขึ้นอย่างรวดเร็วภายใต้คำแนะนำของเหล่าหัวหน้าตระกูล
จากนั้นแต่ละตระกูลก็พากันพูดคุยเรื่องปัญหาอื่น ๆ ของพวกเขาต่ออีกเล็กน้อย
“เอาล่ะ มาถึงปัญหาสุดท้ายแล้ว ปีที่แล้วผู้จัดการความรู้คนใหม่ได้มาถึงยังเมืองธารน้ำใสแห่งนี้ ซึ่งตัวผู้จัดการความรู้คนนี้ก็ไม่ง่ายเลยที่จะจัดการ มันสามารถจัดการคุณหนูกับนายน้อยจาก 2 ตระกูลไปได้ทันที หนึ่งในนั้นยังคงนอนนิ่งอยู่บนเตียง และจำต้องอาศัยยาเพื่อต่อชีวิต หลังจากนั้นมันก็ได้สังหารหลิ่วอู๋หยาและยึดเอากรมพลังต้นกำเนิดไปด้วยกำลัง ทำให้การควบคุมคนของทางการของเราลดลงอย่างมาก ตอนนี้แม้แต่กลุ่มอันธพาลฉางชิงก็ยังถูกชักจูงไป ทว่าข้าก็ได้ยินมาว่ากลุ่มอันธพาลฉางชิงยังไม่ตกอยู่ภายใต้การควบคุมอย่างสมบูรณ์ ?”
คำถามสุดท้ายนี้ได้ถูกส่งตรงไปหาไหลหวูอี่
ด้วยคำพูดนั้น มันก็ทำให้ไหลหวูอี่หน้าแดงด้วยความอับอาย “หวังเหวินซิ่นผู้นี้เป็นราวม้าพยศ แม้ภายนอกจะดูเหมือนว่ามันเชื่อฟังเรา แต่เมื่อใดก็ตามที่ข้าบอกกล่าวให้ฝ่ายนั้นทำอะไรสักอย่าง ทุกอย่างก็ดูจะวุ่นวาย หากไม่ไร้ประสิทธิภาพก็ยุ่งเหยิงไปหมด กลุ่มอันธพาลฉางชิงได้รับการช่วยเหลือด้วยฝีมือของมันเพียงคนเดียว ทำให้อิทธิพลของหวังเหวินซิ่นในกลุ่มนั้นสูงมาก มันจึงไม่ง่ายนักที่ข้าจะเข้าไปเปลี่ยนแปลงอะไร สถานการณ์นี้ถึงได้ถูกลากยาวมาจนถึงปานนี้ อย่างไรก็ตามพวกท่านไม่ต้องกังวลไป ข้าจะแก้ปัญหานี้ให้เรียบร้อยในเร็ววัน”
หวังเผยหยวนพยักหน้า “กลุ่มอันธพาลฉางชิงเป็นปัญหาของตระกูลไหล ข้าเพียงแค่ถามไปด้วยความความอยากรู้อยากเห็นเท่านั้น ทว่าผู้จัดการความรู้ซูผู้นี้ นับว่าเป็นปัญหาสำหรับตระกูลสายเลือดชั้นสูงทุกตระกูลอย่างแท้จริง เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเรา ด้วยเหตุนี้ข้าจึงเสนอให้ถือว่าอีกฝ่ายเป็นศัตรูของแนวร่วมของเรา”
“ตกลง !”
“ตกลง !”
“ตกลง !”
เสียงตอบรับข้อเสนอดังสนั่นไปทั่วห้องโถง
นับตั้งแต่ที่ซูเฉินเข้าควบคุมกรมพลังต้นกำเนิด เขาก็ได้กลายเป็นศัตรูกับ 10 ตระกูลสายเลือดชั้นสูงในเมืองธารน้ำใสไปครึ่งหนึ่งแล้ว การเปลี่ยนแปลงนี้เพียงแค่ทำให้เขากลายเป็นศัตรูอย่างเป็นทางการก็เท่านั้น
“แล้วเหตุใดท่านหัวหน้าตระกูลไหลและตระกูลหลงไม่บอกเกี่ยวกับภูมิหลังของซูเฉินแก่พวกเราเสียหน่อยเล่า อย่าบอกนะว่าพวกท่านประสบความพ่ายแพ้จนต้องสูญเสียครั้งใหญ่ โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ?”
ใบหน้าของไหลหวูอี่และหลงชิงเจียงเปลี่ยนกลายเป็นแดงด้วยความอับอายในเวลาเดียวกัน
ทั้งสองมองหน้ากัน ก่อนที่หลงชิงเจียงจะพูดขึ้น “ถ้าเช่นนั้นข้าจะเริ่มก่อน นับตั้งแต่ที่ลูกชายของข้าได้รับบาดเจ็บสาหัส ข้าก็ได้ส่งคนไปที่สถาบันมังกรซ่อนเร้นเพื่อตรวจสอบภูมิหลังของชายคนนี้ มันเป็นลูกศิษย์ของฉือไคฮวงและต้องการที่จะทำลายข้อจำกัดทางสายเลือด เพื่อนำพวกไร้สายเลือดได้ก้าวขึ้นมาเช่นเดียวกับอาจารย์ของมัน ชายผู้นี้นับเป็นศัตรูของตระกูลสายเลือดชั้นสูงทั้งหมดอย่างแท้จริง”
“ฮึ่ม พวกช่างฝันที่หยิ่งผยองอีกคน” หลายคนในห้องส่งเสียงขึ้นอย่างไม่พอใจ
“คนผู้นี้เกิดในเมืองหลินเป่ยของมณฑลสามเทือกเขา เป็นหนึ่งในทายาทของตระกูลไร้สายเลือดในที่แห่งนั่น เมื่อยามที่อายุได้ 12 ปี เขาสูญเสียการมองเห็นไปด้วยอุบัติเหตุที่แปลกประหลาด ส่งผลให้ตระกูลได้ยอมแพ้ในตัวมัน อย่างไรก็ตามชายคนนี้ดื้อรั้นอย่างมากและไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้ มันฝึกฝนต่อไปและยังคงครองตำแหน่งผู้นำของผู้สืบทอดตระกูลเป็นเวลาหลายปี หลายคนต้องการให้มันหลีกทาง แต่ก็ไม่สามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้”
“แม้แต่คนตาบอดก็ยังเอาชนะไม่ได้ ? ช่างเป็นตระกูลที่ไร้ค่าเสียจริง” ทุกคนเยาะเย้ย
หลงชิงเจียงกล่าวต่อว่า “ใช่ พวกมันเป็นกองสวะอย่างแท้จริง หลังจากตาบอดมาหลายปี ซูเฉินก็กลับมามองเห็นได้อีกครั้ง อย่างไรก็ดีเด็กคนนี้มีไหวพริบมาก มันเลือกที่จะซ่อนความจริงและแสร้งทำเป็นตาบอดต่อไป ทำให้สามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ไปได้มากมาย ท้ายที่สุดซูเฉินก็ได้ทำให้ทุกคนในมณฑลสามเทือกเขาต้องตกตะลึงไปด้วยการเข้าสู่ 10 อันดับแรกของการสอบเข้าในปีนั้น”
“จึงกล่าวได้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่มีไหวพริบและมีความอดทนสูง”
หลงชิงเจียงกล่าวต่อไป “นอกจากนี้ เพราะด้วยฐานะชายตาบอดที่มี รวมกับการได้ครอบครองอันดับหนึ่งของรุ่นเยาว์ในตระกูลเป็นเวลานาน ซูเฉินจึงมักจะถูกวางแผนต่อต้านอยู่ตลอดเวลา ทำให้มันหมดศรัทธาในตัวตระกูลและเลือกที่จะตัดสายสัมพันธ์ นับตั้งแต่เข้าสู่สถาบันมังกรซ่อนเร้น อีกฝ่ายก็ไม่นับว่าตนมีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลอีกต่อไป”
“พูดอีกอย่างก็คือไม่มีประโยชน์ที่จะใช้ตระกูลมาเป็นเครื่องข่มขู่มัน ?”
แม้ว่าการคุกคามจากสมาชิกในครอบครัวจะเป็นเรื่องที่ต้องห้ามที่สุดในโลก แต่ก็ยังคงมีผู้ที่ชอบวิธีง่าย ๆ และและได้ผลดีเหล่านี้อยู่
แต่สำหรับซูเฉินแล้ว วิธีนี้ดูจะไม่มีผลอะไรกับเขานัก
หลงชิงเจียงพยักหน้าเล็กน้อย “นับว่าเป็นวิธีที่ค่อนข้างจะไร้ประโยชน์”
“ช่างน่าเสียดาย” ทุกคนถอนหายใจ
“เด็กคนนี้นอกเหนือจากพื้นฐานการฝึกฝนที่ต่ำกว่าพวกเราแล้วก็ไม่มีจุดอ่อนอื่นที่ชัดเจนเลย ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับนิสัยใจคอของตัวอีกฝ่ายเองหรือสถานการณ์ของครอบครัวก็ตาม”
ใครบางคนกล่าวขึ้นว่า “ไม่น่าแปลกใจเลยที่จะรับมือมันได้ยาก”
“มีอีกสิ่งหนึ่งที่ดูเหมือนว่าท่านหัวหน้าตระกูลหลงจะพลาดไป” ไหลหวูอี่กล่าวขัดขึ้นในทันใด
“ท่านหมายถึงสิ่งใด ?” หลงชิงเจียงสับสนเล็กน้อย
ไหลหวูอี่กล่าวเสริม “มันยังเป็นผู้ที่ได้รับเหรียญผู้กล้าระดับ 2 อีกด้วย”