บทที่ 40 การประชุมแนวร่วม (2)
เหรียญผู้กล้าระดับ 2 !
ชายผู้นี้เป็นหนึ่งในผู้กล้าระดับ 2 ของจักรวรรดิ !?
คำพูดของไหลหวูอี่ทำให้บรรดาหัวหน้าตระกูลผู้รวมตัวกันอยู่ในที่นี้ แทบจะผุดลุกออกจากเก้าอี้
การที่จะรับเหรียญผู้กล้ามาได้นั้น ถือเป็นเรื่องยากมากอย่างยิ่ง ผู้ที่ได้รับมันมาทุกคนจะได้รับการบันทึกชื่อเอาไว้ และจะได้รับการเคารพจากคนในกองทัพอย่างสูง
ถึงแม้ในทางปฏิบัติมันจะไม่ได้มอบให้อำนาจหรือสิทธิพิเศษอะไรให้ผู้ครองก็ตาม ทว่ามันก็ได้มาพร้อมกับประโยชน์อีกมากมายที่มองไม่เห็นแทน
อาทิเช่น ใครก็ตามที่กล้าลงมือสังหารผู้กล้าคนใดคนหนึ่งเหล่านี้ จะถูกจักรวรรดิตรวจสอบอย่างละเอียดและเคร่งครัด พวกเขาจะไม่ยอมให้มีการดำเนินงานอย่างชุ่ย ๆ โดยเด็ดขาด นั่นจึงทำให้เหรียญนี้ได้มีชื่อเรียกอีกอย่างว่าเหรียญสั่งตาย
ผลประโยชน์อีกหนึ่งประการคือ มันเป็นเครื่องความสัมพันธ์อันดีระหว่างตัวผู้ครองกับกองทัพ กองทัพนั้นให้ความสำคัญกับผู้กล้าเสมอ และผู้ที่ได้รับเหรียญผู้กล้าก็คือผู้ที่ได้สร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมเอาไว้ ไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ไหน พวกเขาก็จะได้รับความเคารพอย่างสูง
นี่คือธรรมเนียม สามัญสำนึก มารยาท และเป็นแม้กระทั่งความเชื่อ !
นี่คือเหตุผลที่ซูเฉินมีหน้าไม้หนัก 50 อันไว้ใช้ในกองกำลังของเขา การหาสิ่งเหล่านี้มานั้นไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขาเลยแม้แต่น้อย ที่เขาต้องทำก็เพียงแค่ไปหากองทหารที่ประจำการอยู่ใกล้ ๆ และขอซื้อบางส่วนมาเท่านั้น ตราบใดที่มันไม่ได้มากเกินไปกองทหารในพื้นที่ก็ย่อมไม่คัดค้านอะไรอยู่แล้ว
แน่นอนว่ามันก็ยังคงต้องใช้เงิน แต่ถึงแม้พวกเขาจะมีเงินก็ใช่ว่าจะสามารถซื้อได้ตามต้องการ ไม่เหมือนอย่างชายหนุ่มที่สามารถซื้อได้ตามที่เขาพอใจ โดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับผลที่ตามมาเลย
หากเขาต้องการเปลี่ยนมือเพื่อทำกำไร การขายมันออกไปเพียงอย่างเดียวก็สามารถทำเงินได้มากมายแล้ว
สามารถกล่าวได้ว่าเหรียญผู้กล้าของซูเฉินเป็นไพ่ตายที่ใหญ่ที่สุดของเขา และยังเป็นเหตุผลหลักที่เขากล้าที่จะทำตัวแข็งข้อไม่ยอมใคร
ทุกคนถึงได้แสดงอาการตกใจในทันทีเมื่อได้ยินเรื่องนี้
ตระกูลเหลียนที่เงียบอยู่ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ คิดย้อนกลับไปในวันที่เขากำลังเจรจากับซูเฉิน
ในวันนั้นซูเฉินใช้เว่ยเหลียนเฉิงเพื่อตอบโต้ตระกูลหลง และใช้ตระกูลเหลียนเป็นตัวสนับสนุน แต่ในเวลานั้นหัวหน้าพ่อบ้านเหลาได้คิดไว้แล้วว่า ซูเฉินไม่ได้คิดที่จะพึ่งพาตระกูลเหลียนอย่างจริงจัง
อีกฝ่ายจะต้องมีแผนสำรองเอาไว้อย่างแน่นอน
และดูเหมือนว่าเหรียญผู้กล้าระดับ 2 นี้จะเป็นหนึ่งในแผนสำรองเหล่านั้น
ทว่าปัญหาคือถึงแม้พวกเขาจะสู้กับซูเฉินมาหลายครั้งแล้ว มันก็ยังไม่เพียงพอที่จะบังคับให้อีกฝ่ายใช้ไพ่ตายนี้ออกมาได้เลยสักนิด
ราวบ่อน้ำลึกที่ไม่อาจหยั่งถึงก้น ที่ไม่มีทางรู้เลยว่าสุดบ่อนี้ลึกแค่ไหน และมีความลับมากน้อยเพียงใดที่ยังคงซ่อนอยู่ในบ่อน้ำนั้น
ตอนนี้พวกเขาได้รู้เกี่ยวกับเหรียญผู้กล้าแล้ว
แต่แล้วอย่างอื่นเล่า ?
หากวันใดวันหนึ่ง มีคนต้องการฆ่าซูเฉินอย่างสิ้นหวังโดยไม่คำนึงถึงผลที่ตามมา มันจะเกิดอะไรขึ้น ?
พวกเขาจะสามารถทำได้สำเร็จหรือไม่ ?
ไม่มีใครรู้
การแสดงออกของหลงชิงเจียงกลายเป็นน่าเกลียดยิ่งขึ้นไปอีก “เหรียญผู้กล้าระดับ 2 … มันมีสิ่งนั้นได้อย่างไรกัน ? เป็นไปได้อย่างไร ? มันไปเข้าร่วมในศึกใหญ่มางั้นหรือ ? แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มันไม่มีสงครามขนาดใหญ่ระหว่างมนุษย์กับเผ่าคนเถื่อนเกิดขึ้นเลยนะ !”
ไหลหวูอี่ถอนหายใจ “มาถามข้าแล้วข้าจะไปรู้ได้อย่างไร ? ทั้งหมดที่ข้ารู้ก็มีเพียงแค่ ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะเข้าไปมีส่วนร่วมในปฏิบัติการลับอย่างหนึ่ง ในการเดินทางครั้งนั้นซูเฉินทำผลงานได้ดีจึงได้รับรางวัลนี้มา”
“ให้ตายเถอะ ! ตอนนี้ก็กลายเป็นว่ายิ่งยากที่จะจัดการกับมันไปใหญ่” หลงชิงเจียงกระแทกกำปั้นของเขาลงบนโต๊ะอย่างรุนแรง
หากข่าวที่ว่าซูเฉินเป็นผู้ถือครองเหรียญผู้กล้าแพร่กระจายออกไป คนที่พยายามที่จะฆ่าเขาก็คงจะหายไปกว่าครึ่งในทันที
เมื่อเห็นท่าทางเหล่านี้ หวังเผยหยวนก็ขมวดคิ้วขึ้น “แล้วยังไง ? แค่เหรียญผู้กล้าระดับ 2 ก็ทำให้พวกเจ้ากลัวแล้ว ? แม้เหรียญผู้กล้าระดับ 2 จะยิ่งใหญ่ แล้วมันยังไงมันเทียบกับความยิ่งใหญ่ของเจ้าเมืองได้หรือ ? ในเมื่อเรายังสามารถควบคุมอันซื่อหยวนไว้ในมือได้ แล้วพวกเจ้าจะมากลัวอะไรกับแค่คนที่ถือเหรียญผู้กล้ากัน ?”
หลังจากได้คิดตามทุกคนก็รู้สึกเห็นด้วยกับคำพูดเหล่านี้ มันช่วยทำให้อาการปวดหัวของพวกเขาลดลงอย่างมาก
ในความเป็นจริง ถึงคำพูดของหวังเผยหยวนนับได้ว่าถูกต้อง แต่มันก็นับว่าไม่ถูกต้องได้เช่นเดียวกัน
ด้วยอิทธิพลของ 10 ตระกูลสายเลือดชั้นสูง พวกเขาไม่จำเป็นจะต้องเก็บเรื่องของเหรียญผู้กล้าระดับ 2 มาคิดเป็นจริงเป็นจังเกินไป
สิ่งที่จำเป็นที่พวกเขาควรจะมุ่งความสนใจไป คือการแข่งขันกับอีกฝ่ายด้วยจุดแข็งทั้งหมดของพวกเขา
10 ตระกูลสายเลือดชั้นสูงสามารถเพ่งความสนใจทั้งหมดของพวกเขาไปที่ซูเฉินเพียงคนเดียวได้หรือไม่ ?
แน่นอนว่าไม่ !
ยิ่งตระกูลและกิจการต่าง ๆ ของพวกเขาใหญ่มากขึ้นเท่าใด ก็จะยิ่งมีปัญหาและศัตรูมากขึ้นตามมา
ซูเฉินไม่ใช่ศัตรูเพียงคนเดียวของพวกเขา 10 ตระกูลสายเลือดชั้นสูง มีเป้าหมายที่ต้องจับตาดูอยู่มากมายเกินไป
แต่เดิม มันก็เป็นเพียงการเผชิญหน้ากันของสัตว์อสูรเพียงแค่ 3 ตัวเท่านั้น สถานการณ์และระดับพลังจึงอยู่ในภาวะสมดุล แต่เมื่อได้พบว่าแท้จริงแล้วซูเฉินเป็นผู้ถือครองเหรียญผู้กล้าระดับ 2 มันเหมือนกับว่าได้มีสัตว์อสูรอีกตัวหนึ่งกระโจนออกมาจากที่ใดก็ไม่รู้ แล้วทำลายความสมดุลให้แตกสลายไปทันที
นี่คือปัญหาหลักของตัวซูเฉิน
เขาไม่ใช่คนที่สามารถบดขยี้ 10 ตระกูลสายเลือดชั้นสูงได้ แต่เขาก็แทบจะกลายเป็นตัวถ่วงน้ำหนักที่สำคัญอย่างยิ่ง ในการถ่วงดุลอำนาจระหว่างทั้งสองฝ่ายไปเสียแล้ว
ตอนแรกพวกเขามองซูเฉินเป็นเพียงแค่หมากตัวเล็ก ๆ ที่ไม่มีนัยสำคัญอะไร จนกระทั้งปล่อยให้สิ่งต่าง ๆ ดำเนินมาจนถึงจุดนี้ … แล้วจะไม่ให้เหล่าหัวหน้าตระกูลสายเลือดชั้นสูงรู้สึกปวดหัวได้อย่างไร ?
การเปลี่ยนเรื่องอย่างกะทันหันของหวังเผยหยวน ทำให้ทุกคนมีความมั่นใจมากขึ้นชั่วคราว ทว่าเขาก็รู้อยู่แก่ใจดีว่าซูเฉินเองก็เป็นเหมือน อันซื่อหยวนกับหลู่ชิงกวง ที่ถูกลิขิตให้กลายเป็นอุปสรรคของตระกูลสายเลือดชั้นสูง
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงกล่าวขึ้น “ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเหรียญผู้กล้านั้นย่อมจะก่อให้เกิดปัญหาอย่างแน่นอน กลยุทธ์หลายอย่างที่ก่อนนี้เคยใช้ได้ก็คงจะไม่ได้ผลอีกต่อไป แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่สามารถจัดการกับมันได้”
“ถูกต้อง หากทุกคนรวมพลังกัน เราจะต้องหาทางจัดการกับซูเฉินได้อย่างแน่นอน”
ทันใดนั้นเองก็มีใครบางคนหัวเราะขึ้นอย่างเย็นชา “ก็แค่ซูเฉิน จำต้องปวดหัวกับการหาทางรับมือมากขนาดนั้นเชียวหรือ ?”
ทุกคนมองไปตามทิศทางของเสียงทันที และพบว่าผู้ที่กล่าวขึ้นคือชายที่มีดวงตาทรงสามเหลี่ยม
“หัวหน้าตระกูลเหอ ?” หวังเผยหยวนยิ้ม “ท่านมีความคิดดี ๆ อะไรอยู่ในใจงั้นหรือ ?”
หัวหน้าตระกูลเหอ มีนามว่า เหอหวูเชียน แม้ว่าชื่อของเขาจะมีความหมายว่า ‘ไม่มีเงิน’ แต่ตระกูลของเขานั้นจัดได้ว่าค่อนข้างร่ำรวยและเขาเองก็ถือเป็นพวกที่มีหัวในการทำธุรกิจ เหอหวูเชียนจึงเป็นนับคนขี้เหนียวตามมาตรฐาน
เมื่อได้ยินคำพูดของหวังเผยหยวน เหอหวูเชียนก็กล่าวไปว่า “ข้ามีกลยุทธ์อยู่ 3 อย่างที่อาจเป็นประโยชน์ในการจัดการกับซูเฉิน”
“เชิญท่านกล่าว”
“ประการแรก ในการจัดการกับซูเฉินก่อนอื่นเราต้องคิดหาวิธีแยกเขาออกมาจากกรมพลังต้นกำเนิด กรมพลังต้นกำเนิดที่มีซูเฉินอยู่กับกรมพลังต้นกำเนิดที่ไม่มีซูเฉินอยู่ เป็นสองสิ่งที่แตกต่างกันมาก ปัญหาใหญ่ที่สุดของอีกฝ่ายในตอนนี้คือเขาไม่ได้เป็นหัวหน้าของกรมพลังต้นกำเนิด แต่เป็นเพียงผู้จัดการความรู้ เหตุผลเดียวที่มันสามารถควบคุมกรมทั้งกรมได้ นั่นก็เพราะหลิ่วอู๋หยาได้ตายไปแล้ว ทว่าใครเป็นคนตัดสินกันว่าหลังจากที่หลิ่วอู๋หยาตาย มันจะได้เป็นหัวหน้าคนต่อไป ?”
ทุกคนชะงักและหันมองหน้ากัน
หวังเผยหยวนกล่าวว่า “ท่านหมายถึง … ”
“อันซื่อหยวนได้เสนอให้ซูเฉินกลายเป็นเจ้าเมืองคนต่อไป คำแต่งตั้งอย่างเป็นทางการน่าจะออกมาในปีนี้ แต่เราก็ยังสามารถทำให้คำแต่งตั้งนั้นไม่มีวันเกิดขึ้น หรือแม้กระทั่งเปลี่ยนตัวคนรับช่วงต่อให้เป็นคนของเราแทนได้ ในเวลานั้นหากซูเฉินต้องการที่จะควบคุมกรมพลังต้นกำเนิด มันก็คงไม่เรื่องง่ายนัก”
“วิเศษมาก !” ทุกคนตะโกนพร้อมกัน
ด้วยอิทธิพลของ 10 ตระกูลสายเลือดชั้นสูง หากพวกเขาต้องการที่จะเสนอชื่อใครสักคนให้เป็นเจ้าเมือง มันก็มีความเป็นไปได้อยู่ค่อนข้างมาก คำถามเดียวคือพวกเขาจะต้องจ่ายเท่าไหร่
10 ตระกูลสายเลือดชั้นสูงไม่เคยให้ความสำคัญกับซูเฉินอย่างจริงจังมาก่อน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่คิดที่จะใช้ความพยายามมากนัก การเสนอชื่อคนของตนเองเข้ารับตำแหน่งนั้นนั้นไม่ค่อยน่าพอใจเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับการติดสินบนเจ้าหน้าที่ อันที่จริงอย่างหลังสะดวกกว่าและเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่ามาก
“ประการที่สอง จากการเผชิญหน้าที่ผ่านมาของเรากับมัน ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าอีกฝ่ายเป็นพวกก้าวร้าว ไร้เหตุผลและเจ้ากี้เจ้าการ มันไม่เคารพใคร คนประเภทนี้ยากที่จะควบคุม อีกคนที่เจ้ากี้เจ้าการพอกันก็คือหลู่ชิงกวง ในฐานะผู้บัญชาการทหารรักษาเมืองหลู่ชิงกวงจึงเป็นคนสนิทที่น่าเชื่อถือที่สุดของอันซื่อหยวน แต่ด้วยการปรากฎตัวขึ้นลงอย่างกะทันหันของซูเฉิน ตำแหน่งของผู้บัญชาการคนนี้ย่อมต้องสั่นคลอนอย่างแน่นอน หากเรายั่วยุไปที่จุดนั้น … ”
“ใช่แล้ว !” ทุกคนส่งเสียงขึ้นอย่างมีกำลังใจ “หลู่ชิงกวงเป็นพวกดื้อรั้นและไม่ค่อยชอบพูดมากนัก หากเรายั่วยุไปสักเล็กน้อย พวกเขาจะต้องต่อสู้กันเองแน่นอน !”
“เป็นแผนการที่ดียิ่ง หัวหน้าตระกูลเหอ !”
“หัวหน้าตระกูลเหอ แล้วประการที่สามคือ ?” หวังเผยหยวนถาม
เมื่อได้ยินคำชมของทุกคนเหอหวูเชียนก็รู้สึกภูมิใจ เขาเสียใจเล็ก ๆ ที่ไม่ได้พกเอาพัดมาโบกเสริมกลยุทธ์ของตนให้ดูกล้าหาญยิ่งขึ้นสัก 2-3 ครา หัวหน้าตระกูลเหอกล่าวต่อ “ประการสุดท้ายนั้นง่ายที่สุด ไม่ใช่ว่าซูเฉินมาจากสถาบันมังกรซ่อนเร้น ? ไม่ใช่ว่ามันแข็งแกร่งนัก ? เช่นนั้นเราก็ไปหาคนจากสถาบันมังกรซ่อนเร้นมาจัดการกับมันเสียสิ”
ทุกคนมองหน้ากัน “หาคนจากสถาบันมังกรซ่อนเร้นมาจัดการ ? ใครจะเต็มใจมากัน ? แล้วเราจะไปหาคนผู้นั้นได้ที่ไหน ?”
“ตราบใดที่เรายังมีเงินจ่ายเหตุใดจะไม่มีใครอยากเต็มใจมา ? ในสถาบันพวกเขาอาจจะเป็นเพื่อนกัน แต่หลังจากออกจากสถาบันไป พวกเขาก็ย่อมมีสิ่งที่ต้องการทำแตกต่างกันและมีเส้นทางเป็นของตัวเอง มิตรภาพบาง ๆ ระหว่างอดีตเพื่อนร่วมชั้น นั้นไม่สามารถเทียบกับหินพลังต้นกำเนิดที่จับต้องได้ สำหรับการค้นหาตัวพวกเขานั้น เป็นเรื่องง่ายยิ่งกว่า … ”
เหอหวูเชียนหัวเราะ “เพราะบังเอิญว่าข้าพอจะรู้จักอยู่บาง”