บทที่ 41 การมาถึงของอวิ๋นเป้า
ในระหว่างการประชุมแนวร่วมประจำปีครั้งนี้ ซูเฉินได้กลายเป็นเป้าหมายของกลุ่มแนวร่วมอย่างเป็นทางการ
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ซูเฉินก็ไม่ได้เป็นเพียงแค่ความไม่พอใจส่วนตัวของตระกูลสายเลือดชั้นสูงบางคนอีกต่อไป แต่กลายเป็นบุคคลผู้ไม่ได้รับการยอมรับจากตระกูลสายเลือดชั้นสูงทั่วทั้งเมืองธารน้ำใส
ทว่าชายหนุ่มก็ไม่ได้สนใจ
เขายังคงทำงานวิจัยอย่างมีความสุข ค้นคว้าและทดลองแนวคิดใหม่ ๆ เพื่อเปิดเผยความลึกลับที่ลึกซึ้งของโลกนี้
เวลาได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
จนกระทั้ง 2 เดือนผ่านไปในพริบตา
เป็นเวลาเกือบ 1 ปีแล้วที่ซูเฉินมายังเมืองธารน้ำใสแห่งนี้ ทำให้สถานะของเขาในเมืองก็ได้มั่นคงขึ้นเรื่อย ๆ
เมืองธารน้ำใสในช่วงนี้ยังคงค่อนข้างสงบ ไม่ได้มีเหตุการณ์วุ่นวายเกิดขึ้นแต่อย่างใด
ราวกับว่าทั้งสองฝ่ายเรียนรู้ที่จะยับยั้งชั่งใจได้แล้ว พวกเขาต่างก็ยังคงทำตัวสงบเสงียมอยู่อย่างเงียบ ๆ และเฝ้ารอโอกาส
ในวันนี้ขณะที่ซูเฉินกำลังทำการทดลองของเขาเหมือนเช่นเคย หมิงชูก็ได้เข้ามารายงานว่า “นายน้อย อวิ๋นเป้าอยู่ที่นี่แล้ว”
“อวิ๋นเป้า ? ในที่สุดก็มาแล้วหรือ ?” ดวงตาของซูเฉินสว่างขึ้น เขาไม่สนใจการทดลองในมืออีกและรีบเดินออกไป
อวิ๋นเป้ากำลังรอเขาอยู่ที่ห้องโถงใหญ่
เมื่อเห็นซูเฉินเดินออกมา อวิ๋นเป้าก็ยิ้มทัก “หัวหน้า !”
“ในที่สุดเจ้าก็มาถึงแล้ว” ชายหนุ่มพยักหน้า
เขาเดินกางแขนตรงเข้าไป ก่อนจะสวมกอดอีกฝ่าย
พริบตาเดียวกันนั้น ทั้งคู่ก็ได้ปล่อยพลังของตนออกมา จนคลื่นพลังงานที่รุนแรงระเบิดกระจายออกมาจากร่างพวกเขา ทว่าโชคก็ยังดีที่โต๊ะและเก้าอี้ในห้องโถงใหญ่ทั้งหมดล้วนทำมาจากเหล็ก จึงแค่กระเด็นออกไปก็เท่านั้น
การปะทะกันในครั้งนี้ ทำให้ซูเฉินฮึดฮัดที่ถูกบังคับให้ถอยหลังกลับไปครึ่งก้าวอย่างอดไม่ได้
อวิ๋นเป้ารีบผละมือของเขาออกอย่างรวดเร็ว ก่อนซูเฉินจะลูบหน้าอกของตนและพูดว่า “เจ้าเด็กนี่ ไม่ได้เจอกันมาพักหนึ่ง ดูจะพัฒนาขึ้นอีกแล้ว”
สีหน้าอวิ๋นเป้ากลับดูผิดหวังยิ่ง “กายาหยกเงาของข้าพัฒนามาจนประสบความสำเร็จถึงขั้นระดับสูงแล้ว แต่ก็ยังบังคับให้เจ้าถอยกลับไปได้แค่ครึ่งก้าว เจ้าเองก็ไม่ใช่นักสู้ระยะประชิดเต็มตัวด้วย เช่นนั้นมันก็ไม่นับว่ายุติธรรมเพราะถือว่าข้าได้เปรียบ”
“ดูเจ้าเด็กอวดดีนี่สิ เจ้าจะไม่มีความสุขสักนิดเลยรึถ้าเจ้าล้มข้าโดยสมบูรณ์ไม่ได้นะฮึ ?” ซูเฉินชกอีกฝ่ายเบา ๆ แล้วกวักมือเรียกให้นั่งลง ก่อนหมิงชูจะรินชาให้พวกเขา แล้วเป็นซูเฉินที่พูดต่อ “การฝึกของกองกำลังลับเป็นอย่างไรบ้าง เสร็จสิ้นแล้วหรือยัง ?”
อวิ๋นเป้าบ่นงึมงำ “ข้าฝึกเสร็จไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อน และกะจะกลับตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว แต่อาจารย์ของข้ามองว่าข้ามีศักยภาพซ่อนอยู่มากกว่านั้น เลยฝึกข้าต่ออีก 2-3 เดือน ช่างน่ารำคาญจริง ๆ ”
ซูเฉินหัวเราะ “ดูท่าพวกระดับสูงจะชื่นชอบเจ้า แต่ดูเหมือนเจ้าจะไม่ค่อยมีความสุขกับเรื่องนี้มากสักเท่าไหร่เลยนะ”
“นั่นก็เพราะข้าอยากจะมาช่วยเจ้าก่อนยังไงเล่า ! ข้าได้ยินมาว่าเจ้ากับตระกูลสายเลือดชั้นสูงของที่นี่ไปกันไม่ราบรื่นเท่าไหร่ ?”
“เจ้าเรียกมันว่าไปกันไม่ราบรื่นงั้นหรือ ?” ซูเฉินประหลาดใจ “ข้ากับฝั่งนั้นเป็นประหนึ่งน้ำกับไฟ เข้าใจไหม ? ข้าสังหารคนของพวกมันไปมากมาย และอีกฝ่ายเองก็ต้องการลอบสังหารข้าเช่นกัน แต่เพราะข้าเป็นคนของทางการ พวกนั้นจึงไม่กล้าที่จะทำเกินเลย”
“หากแต่พวกมันก็ยังคงเคลื่อนไหวอย่างอย่างลับ ๆ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา อีกฝั่งก็ทำให้เกิดเหตุวุ่นวายระหว่างผู้เชี่ยวชาญขึ้นบนถนน สร้างเรื่องไปทั่วทุกหนทุกแห่งและบังคับให้ข้ายุ่งไม่หยุด แม้จะไม่มีเหตุร้ายแรงอะไร แต่พวกมันก็ไม่ยอมปล่อยให้ข้าได้อยู่อย่างสงบสุข และยังพยายามแสดงให้เห็นว่าสงครามนี้มันยังไม่จบ”
“ข้าจะช่วยเจ้าสังหารพวกมันเอง” อวิ๋นเป้ากล่าว
“อย่างไร ? ลอบสังหารทีละคน ?” ซูเฉินถามด้วยรอยยิ้ม
“ไม่จำเป็น” อวิ๋นเป้าตอบอย่างมั่นใจ “ข้าจะตั้งข้อหากบฏและอาชญากรรมให้แก่พวกมัน แล้วนำกองทัพเข้ามากวาดล้างพวกมันทั้งหมดเสีย”
ซูเฉินเกือบจะสำลักชาตาย เขาจ้องไปทางอวิ๋นเป้า “นั้นคือสิ่งที่เจ้าเรียนรู้มาจากการฝึกกับกองกำลังลับมากว่าครึ่งปี ?”
“ไม่ใช่ว่ามันได้ผลดีหรอกหรือ ?” อวิ๋นเป้าตอบกลับ
ซูเฉินโบกปัดมือ “อย่าแม้แต่จะคิดถึงมัน ข้าไม่มีทางอนุญาตให้ทำเช่นนั้นอย่างแน่นอน !”
ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ว่าอวิ๋นเป้าจะทำมันได้จริงหรือไม่ และถึงแม้ว่าเขาจะทำได้ แต่หากมีการสอบสวนพบว่าคำกล่าวอ้างของเขาเป็นเท็จขึ้นมา เขาก็คงจะถูกลงโทษอย่างรุนแรงเป็นแน่ นอกจากนี้วิธีนี้มีแต่จะทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ซึ่งเกินกว่าขอบเขตขั้นที่ซูเฉินจะรับได้
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการใส่ร้ายศัตรูและสมคบคิดแบบนั้นมันบ้าเกินไป มันนับเป็นการทำลายกฎของเกมไปโดยสิ้นเชิง
ในอดีตชายหนุ่มอาจจะยังคงใช้ทุกวิธีการในการจัดการกับศัตรูของเขา
แต่เมื่อผ่านมากว่าสิบปี วิสัยทัศน์ของซูเฉินก็กว้างขึ้น ตอนนี้วิธีคิดของเขาก็ดูสูงขึ้นมาก ด้วยเขาได้ตระหนักแล้วว่าการจัดการกับฝ่ายตรงข้ามโดยไม่สนวิธีการของตนนั้นไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้อง
ผู้คนไม่ควรแสวงหาเพียงแค่ชัยชนะเท่านั้น แต่ควรจะเป็นชัยชนะที่ได้มาอย่างสมเหตุสมผลและยุติธรรมด้วย
เพราะชัยชนะคือการได้รับผลประโยชน์มามากขึ้น
หากราคาของการได้ชัยชนะมาคือการสูญเสียที่มากเกินไป นั้นก็นับว่าไม่คุ้มค่า
ไม่ว่าเขาจะเคารพกฎของเกมหรือไม่ แต่นี่ก็คือจุดสำคัญที่สุดของเรื่องนี้
ชัยชนะที่ได้รับมาโดยการตามกฎของเกม เป็นชัยชนะที่สูญเสียน้อยที่สุด
ในขณะที่ชัยชนะที่ได้รับมาจากการเล่นนอกกฎ นับเป็นชัยชนะที่ต้องสูญเสียไปมากที่สุด
หลายคนเลือกที่จะมองข้ามกฎเกณฑ์ เมื่อต้องประเมินคุณค่าของสิ่งต่าง ๆ โดยคิดว่านั่นเป็นวิธีที่สร้างสรรค์กว่า อย่างไรก็ตามการต่อสู้ไม่ใช่การคำนวณ ผลของการคิดทำลายเกณฑ์ที่ตั้งไว้ ย่อมจะไม่ได้รับการยอมรับเกณฑ์นั้นเสมอ การได้รับชัยชนะด้วยการกระโดดออกนอกกฎ ยากยิ่งกว่าการได้รับชัยชนะมาด้วยการเคารพกฎเหล่านั้น
นี่คือเหตุผลที่การเล่นนอกกฎเพื่อแก้ปัญหา จึงเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายแต่ยากที่จะปัดกวาด กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ผลลัพธ์ของการขจัดความขัดแย้งได้ในเวลาสั้น ๆ อาจสร้างปัญหาที่ยากจะแก้ไขขึ้นมามากมายในอนาคต เรื่องแบบนี้ไม่ใช่อะไรที่น่ายกย่องและโอ้อวดเลย
แน่นอนว่าหากวิธีการนั่นอยู่ในจุดที่สามารถเปลี่ยนแปลงกฎได้นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
การต่อสู้ในเมืองธารน้ำใสนี้นับเป็นกรณีเดียวกัน หากซูเฉินอนุญาตให้อวิ๋นเป้าทำตามที่เขาพูด ตระกูลสายเลือดชั้นสูงทั้ง 10 ก็ย่อมสามารถจะถูกทำลายได้ในทันใด แต่ในทางกลับกันก็จะกลายเป็นศัตรูของตระกูลสายเลือดชั้นสูงทั้งหมดไปในทันทีเช่นกัน !
แม้ว่าการค้นคว้าเกี่ยวกับการก้าวข้ามขีดจำกัดสายเลือดของซูเฉิน จะทำให้เขาถูกกำหนดให้กลายเป็นศัตรูของตระกูลสายเลือดชั้นสูงอยู่แล้ว ทว่านั่นก็ถือเป็นเรื่องของอนาคต เมื่อเวลานั้นมาถึงความแข็งแกร่งของเขา ณ จุดนั้นก็คงจะเพียงพอที่จะรับมือกับมันได้แล้ว
ผิดกลับการทำเรื่องแบบนั้นในตอนนี้ ที่รั้งแต่จะทำให้เขาต้องเผชิญกับความโกรธเกรี้ยว และการแก้แค้นที่รุนแรงของตระกูลสายเลือดชั้นสูงทั้งหมดก่อนที่จะพร้อม
นี่คือสาเหตุที่ซูเฉินปฏิเสธคำแนะนำของอวิ๋นเป้าอย่างรุนแรงและเด็ดขาด เขาไม่มีทางจะยอมอ่อนข้อในเรื่องนี้กับอวิ๋นเป้าอย่างแน่นอน มิฉะนั้นแล้วหากเขาผ่อนปรนหยวน ๆ ให้แล้วล่ะก็ อวิ๋นเป้าอาจจะลงมือทำอย่างที่กล่าวขึ้นมาจริง ๆ ก็เป็นได้
เมื่อเห็นท่าทีเด็ดขาดของซูเฉิน อวิ๋นเป้าก็ทำได้เพียงล้มเลิกความคิดนั้นไปเท่านั้น “ก็ได้ แล้วเราจะทำเช่นไร ?”
ซูเฉินตอบว่า “ไม่จำเป็นต้องทำอะไร เพียงแค่เฝ้าดูสถานการณ์อย่างเงียบ ๆ ก็พอ”
คำตอบนี้ทำให้อวิ๋นเป้าผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด
ซูเฉินหัวเราะ “เอาล่ะ ๆ หากเจ้าอยากจะทำอะไรสักอย่าง เช่นนั้นข้าก็มีเรื่องบางอย่างจะขอให้เจ้าช่วย”
“เรื่องอะไร ?”
“ข้ากำลังวางแผนที่จะออกไปหาประสบการณ์และฝึกปรือสักพัก แต่ข้าก็ยังรู้สึกไม่ไว้ใจสถานการณ์ของที่นี่อยู่เล็กน้อย หากมีเจ้าอยู่ที่นี่ ข้าก็สบายใจขึ้นเยอะ”
“เจ้าจะออกไปฝึก ?” อวิ๋นเป้าถามด้วยความประหลาดใจ
“ใช่ ถ้าเป็นไปได้ข้าอยากจะช่วยให้กังเหยียนสามารถทะลวงผ่านด่านกลั่นโลหิตไป วิธีที่ดีที่สุดในการจัดการกับศัตรูคือการเพิ่มความแข็งแกร่งให้ตัวของเราเอง ข้อได้เปรียบที่ใหญ่ที่สุดที่เรามีคือตำแหน่งในฐานะเจ้าหน้าที่ของทางการ ที่ทำให้ตระกูลสายเลือดชั้นสูงเหล่านั้นไม่กล้าฝ่าฝืนกฎอย่างง่าย ๆ ส่วนข้อเสียที่ใหญ่ที่สุดของเราก็คือความแข็งแกร่งที่ยังไม่เพียงพอ และนั่นก็คือเหตุผลที่ข้าอยากจะใช้ประโยชน์จากการพักรบในตอนนี้เพื่อยกระดับความแข็งแกร่ง”
ซูเฉินพูดความจริงเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น
การเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่กังเหยียนเป็นแผนของเขาจริง ๆ แต่ซูเฉินก็หวังเช่นกัน ว่าเขาจะสามารถเพิ่มระดับการฝึกฝนของตนขึ้นมาบ้างสักเล็กน้อยในระหว่างนี้ ทักษะการทะลวงสู่ด่านกลั่นโลหิตของฉือไคฮวงได้มีการพัฒนาครั้งใหญ่ การรวมตัวกันของค่ายกลยันต์พลังต้นกำเนิดกับกฎแห่งบรูค ได้พิสูจน์แล้วว่พวกมันมีประโยชน์อย่างมาก ทำให้ฉือไคฮวงสามารถทำสิ่งที่เขาไม่เคยทำสำเร็จตลอด 30 ปี ได้ด้วยเวลาเพียง 6 ปี
คงอีกไม่นานนักที่ทักษะการทะลวงสู่ด่านกลั่นโลหิตโดยไม่ต้องพึ่งสายเลือดนี้จะเสร็จสมบูรณ์
และเมื่อวันนั้นมาถึง ซูเฉินก็ไม่ต้องการที่จะพบว่าระดับการฝึกฝนของเขายังไม่เพียงพอ
นี่คือเหตุผลที่เขาตัดสินใจว่ามันถึงเวลาที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตัวของเขาเอง
อวิ๋นเป้าจ้องมองซูเฉินอย่างจริงจัง
จากนั้นไม่นานเขาก็พูดขึ้นว่า “เจ้ามีทักษะบางอย่างที่สามารถยกระดับพื้นการฝึกฝนของเจ้าผ่านการต่อสู้ได้ใช่หรือไม่ ?”
ซูเฉินตกตะลึง
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น “ดูเหมือนว่าจะถูกเจ้ามองออกเสียแล้ว”
“มันเกี่ยวอะไรกับท่าทางแปลก ๆ ที่เจ้ามักจะทำทุกครั้ง หลังจากฆ่าสัตว์อสูรเหล่านั้นได้แล้วหรือไม่ ?”
“ … ใช่”
“งั้นเจ้าก็ไม่ใช่นับถือพุทธ ?”
“ … ไม่”
ซูเฉินรู้สึกอายเล็กน้อย เมื่อถูกอวิ๋นเป้ามองความลับของเขาออก
จากนั้นอวิ๋นเป้าก็พยักหน้า “ถ้าอย่างนั้น ข้าก็ไม่ต้องกังวลอีกต่อไปแล้ว”
“ไม่กังวล ? เจ้ากังวลเรื่องอะไรกัน ?” ซูเฉินรู้สึกงุนงง
“เมื่อข้ารู้แล้วว่า เจ้าไม่ได้ทุ่มเททั้งชีวิตไปกับการคาดหวังและเชื่อมั่นในสิ่งลวงตาที่ไม่มีตัวตนเหล่านั้น ข้าก็รู้สึกโล่งใจ” อวิ๋นเป้ากล่าวด้วยความจริงใจ
นี่เป็นครั้งแรกที่ซูเฉินได้ยินอวิ๋นเป้ากล่าวคำพูดที่ลึกซึ้งเช่นนี้ออกมา