บทที่ 42 รวมทะเลความรู้
ซูเฉินได้ไปพบหวังเหวินซิ่นก่อนที่เขาออกเดินทาง
ถึงภายนอกหวังเหวินซิ่นจะดูเหมือนเป็นคนของตระกูลไหล แต่ในความเป็นจริงเขาได้ยอมจำนนต่อซูเฉินไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อไม่นานมานี้โครงการโทเทมโลหิตสลายรุ่นที่ 2 ของซูเฉินมีความก้าวหน้าอย่างมาก และได้ขอให้หวังเหวินซิ่นเลือกผู้ใต้บังคับบัญชาที่เชื่อถือได้ของเขามา 2-3 คน เพื่อสร้างโทเทมโลหิตสลายรุ่นที่ 2 ให้กับพวกเขา
โทเทมโลหิตสลายรุ่นที่ 2 ไม่จำเป็นต้องลงอักขระทั่วร่างกายเหมือนดั่งรุ่นแรกอีกต่อไป จำนวนทักษะต้นกำเนิดที่สามารถรองรับได้ในตอนนี้ก็เพิ่มขึ้นเป็น 5 วิชาแล้ว
หวังเหวินซิ่นได้เสนอชื่อคน 3 คนให้กับซูเฉิน ทำให้พวกเขาได้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญทันที แน่นอนว่าชายหนุ่มไม่ได้ให้สสารเงาแก่อีกฝ่าย แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น หวังเหวินซิ่นก็เลิกคิดที่จะต่อต้านซูเฉินไปโดยสิ้นเชิง
เขาตระหนักถึงผลที่ตามมาของการทำเช่นนั้นดีเกินไป ท้ายที่สุดในตอนนี้ซูเฉินสามารถสร้างกลุ่มผู้เชี่ยวชาญได้ด้วยตัวเองแล้ว
แม้ว่ามันจะมีข้อจำกัดบางอย่าง แต่เมื่อเทียบกับกลุ่มคนที่แข็งแกร่งในระดับเดียวกันแล้ว ก็นับว่าเพียงพอที่จะทำอะไรหลาย ๆ อย่าง
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา การควบคุมกลุ่มอันธพาลฉางชิงของหวังเหวินซิ่นก็แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ซูเฉินแนะนำอวิ๋นเป้าให้หวังเหวินซิ่นรู้จัก และมอบคำสั่งให้แก่มือสังหาร 2-3 คน หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็พากังเหยียนจากไปพร้อมกันกับเขา
เพราะการออกไปด้านนอกในครั้งนี้ของซูเฉินเป็นการจากไปอย่างลับ ๆ ดังนั้นเมื่อจึงไม่มีเรื่องวุ่นวายอะไรเกิดขึ้น อีกทั้งเขายังได้ขอให้หวังเหวินซิ่นจัดการหาเรือโดยสารผ่านแม่น้ำแม่น้ำฉางชิงให้ และจากไปทั้ง ๆ แบบนั้น
เรือลำนี้ไม่ได้มีขนาดใหญ่นัก ผู้โดยสารมีบัณฑิตหนุ่มคนหนึ่ง สองแม่ลูกอ่อน ชายชราและชายผิวคล้ำร่างกำยำ เมื่อนับรวมกับซูเฉินและกังเหยียนแล้ว ก็มีเพียงแค่ 7 คน
คนเรือ(1)เป็นคู่สามีภรรยา ฝั่งสามีนั้นเป็นชายค่อนข้างสูงใหญ่และบึกบึน ส่วนภรรยาของเขากลับตรงกันข้าม นางทั้งบอบบางและดูอ่อนโยน
ห้องโดยสารหลักของเรือสามารถรองรับคนได้ทั้งหมด 7 คน ซึ่งตัวคนเรือและภรรยาต้องการรอผู้โดยสารคนอื่นอีก แต่หวังเหวินซิ่นผู้เคารพคำสั่งของซูเฉิน ไม่ต้องการการออกไปนอกเมืองของชายหนุ่มแพร่กระจายออกไป นอกจากนี้การที่มีผู้โดยสารน้อยลงหนึ่งคน ก็หมายถึงห้องโดยสารที่กว้างขวางยิ่งขึ้น ดังนั้นหัวหน้าหวังจึงรบเร้าให้พวกเขาออกเรือโดยเร็ว ทั้งคู่บ่นพึมพำถึงการสูญเสียลูกค้าและการทำธุรกิจที่ขาดทุนนี้ไม่หยุด จนแม้แต่สีหน้าของพวกเขาก็กลายเป็นน่าเกลียด
ซูเฉินไม่สนใจทั้งสอง เขาผงกหัวพิงเรือราวกับหลับไป แต่ในความเป็นจริงชายหนุ่มกำลังฝึกพลังจิตของตนอยู่
เส้นสายพลังจิตของเขาสามารถควบคุมสสารเล็ก ๆ โดยรอบได้อย่างสมบูรณ์แล้ว ตราบเท่าที่ซูเฉินต้องการ เขาก็สามารถที่จะป้องกันไม่ให้ฝุ่นละอองเข้ามาในรัศมีรอบ ๆ ตัวได้โดยไม่ต้องใช้เวทมนตร์ใด ๆ
พลังจิตนั้นจะพัฒนาจากระดับจุลภาคไปเป็นระดับมหภาค บางทีในอนาคตอันใกล้พลังจิตของซูเฉินอาจจะมากพอที่จะสามารถควบคุมวัตถุต่าง ๆ ได้จริง ๆ
อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ใช่เป้าหมายของซูเฉิน
แม้ว่าการใช้พลังจิตในการควบคุมวัตถุจะฟังยอดเยี่ยม แต่พลังต้นกำเนิดก็สามารถทำแบบนั้นได้เช่นกัน ทั้งยังง่ายและสะดวกยิ่งกว่า ด้วยเขาต้องการที่จะมีพลังจิตในระดับเดียวกับเจ้าแห่งแดนฝันลวงตา และพลังที่มากพอจะสร้างอะไรสักอย่างที่เหมือนอย่างแดนฝัน เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ในโลกจริง เช่นเดียวกับที่พลังต้นกำเนิดของเขาสามารถทำได้
ไม่ว่าจะใช้พลังจิตควบคุมวัตถุได้หรือไม่ นั่นก็เป็นเพียงตัวชี้วัดความเข้มแข็งของพลังจิตของคน ๆ หนึ่งเท่านั้น หน้าที่ที่แท้จริงของพลังจิตคือการเพิ่มพลังให้กับจิตวิญญาณของเจ้าของ
การเพิ่มพลังให้กับจิตวิญญาณนั้นมีประโยชน์มากมาย อาทิเช่นช่วยเพิ่มพลังของวิชาจิต เพิ่มผลของภาพลวงตาให้ดูสมจริงยิ่งขึ้น ลดความเสี่ยงจากการโดนพลังตีกลับจากการฝึกวิชาจิตล้มเหลว ทำให้จิตใจแจ่มแจ้ง ช่วยให้ความคิดคล่องตัวปลอดโปร่งมากขึ้น ฯลฯ …
เพราะซูเฉินได้ฝึกเคล็ดวิชาจิตแท้และดื่มโอสถปลุกวิญญาณเป็นครั้งคราว พลังจิตของเขาจึงสูงถึง 120 หน่วยแล้ว ความสามารถในการคิดของเขาเหนือกว่าคนทั่วไปมาก บางทีนี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมช่วงเวลาที่ผ่านมาชายหนุ่มจึงประสบความสำเร็จในการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง
ตอนนี้ซูเฉินนั่งอยู่ในห้องโดยสารบนเรือ ทำให้เขาไม่สามารถทำการทดลองอะไรข้างนอก ได้แต่ทำการทดลองในทะเลความรู้ของตนแทน
พลังจิตที่เพิ่มขึ้นทำให้ความสามารถในการคำนวณของซูเฉินดียิ่งขึ้นไปด้วย ตอนนี้เพียงแค่คิดก็เขาสามารถคำนวณหาคำตอบได้อย่างง่ายดาย
ในขณะที่ซูเฉินกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่า งจู่ ๆ ก็มีความคิดแปลก ๆ บางอย่างพุ่งเข้ามาในหัวของเขา
มันจะเป็นไปได้หรือไม่ที่จะเสริมสร้างบางสิ่งที่เขารู้แล้วลงไปในทะเลความรู้ของเขา ? มันจะช่วยประหยัดพลังในการคำนวณได้มากขึ้นหรือไม่ ?
พูดง่าย ๆ ก็คือซูเฉินตั้งใจที่จะรวมทะเลความรู้ของเขา
เพราะทะเลแห่งความรู้ของคนเราไม่ใช่สิ่งที่จับต้องได้จริง ผลลัพธ์ทั้งหมดจึงต้องอาศัยพลังในการคำนวณของแต่ละคน
ตัวอย่างเช่น ถ้าซูเฉินจำลองการทดลองโดยพยายามรวมสสารต้นกำเนิดอันใหม่ เข้ากับโทเทมโลหิตสลายของเขา ซูเฉินก็ไม่จำเป็นจะต้องทำการคำนวณองค์ประกอบของโทเทมโลหิตสลาย เพราะเขาคุ้นเคยกับมันแล้ว การคำนวณเพียงอย่างเดียวที่เขาต้องทำ คือการคำนวณผลของการรวมสสารต้นกำเนิดอันใหม่เข้ามาเท่านั้น
แต่ไม่ว่าจะเป็นโทเทมโลหิตสลายหรือวิธีการรวมสสารต้นกำเนิดอันใหม่ ตัวเขาในตอนนี้ก็ยังคงต้องใช้พลังเพื่อคำนวณพวกมันทั้งสองอย่าง
หากสามารถรวมสิ่งที่คุ้นเคยอยู่แล้วเข้าด้วยกันได้โดยไม่ต้องคำนวณซ้ำ มันก็จะประหยัดพลังที่ต้องใช้และทำให้เขาสามารถมุ่งความสนใจไปคำนวณสิ่งที่ไม่คุ้นเคยแทนได้
ข้อดีการทำเช่นนี้คือ มันจะช่วยซูเฉินประหยัดพลังที่จะใช้การคำนวณได้อย่างมาก จากนั้นเขาก็จะสามารถเข้าไปถึงการคำนวณในระดับที่สูงและยากยิ่งกว่านี้ได้
เมื่อก่อนซูเฉินมักจะอยู่แต่ในห้องทดลองของเขา จึงไม่จำเป็นต้องทำการจำลองเพื่อทดลองแบบนี้ ทว่าตอนนี้ตัวเขาอยู่บนเรือและไม่มีอะไรให้ทำ จึงได้เกิดความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัวอย่างไม่มีปี่มีขลุย
ทันทีที่ซูเฉินคิดได้ เขาก็เริ่มพยายามส่งพลังจิตของตัวเองกลับเข้าไปในทะเลแห่งความรู้ทันที
หมอกหนาทึบปรากฏขึ้นเหนือผิวน้ำที่นิ่งสงบในทันใด ซึ่งหมอกนี้ก็เป็นรูปร่างทางกายภาพของพลังจิต ที่ได้เข้ามาในทะเลแห่งความรู้ของเขานั่นเอง
หมอกที่ว่ายังคงหมุนวนอย่างต่อเนื่องอยู่เหนือทะเล ก่อนที่บางส่วนจะค่อย ๆ ควบแน่นรวมกันก่อตัวเป็นโต๊ะยาวขึ้น
มันคือโต๊ะวิจัย
ในไม่ช้าโต๊ะวิจัยก็ถูกสร้างขึ้นอย่างสมบูรณ์
บางทีอาจเป็นเพราะมันเป็นครั้งแรกที่ซูเฉินลองทำอะไรแบบนี้ โต๊ะวิจัยตัวนี้จึงดูหยาบและไม่สวยงามเท่าไหร่นัก อย่างไรก็ดีมันก็ได้แสดงให้เห็นถึงเส้นทางใหม่ในการเพิ่มพลังจิตของเขา
ซูเฉินพยายามที่จะทำให้โต๊ะวิจัยตัวนี้แข็งตัวและกระจายหมอกทั้งหมดที่เหลือให้หายไป
เมื่อหมอกพลังจิตกลุ่มสุดท้ายได้แยกออกจากโต๊ะวิจัย จิตวิญญาณของซูเฉินก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดเล็กน้อย ราวกับว่ามันกำลังทรมานจากการสะท้อนกลับบางอย่าง
เขาค้นพบว่าพลังจิตของตน ได้ลดลงเล็กน้อยในระหว่างที่เขากำลังทำเรื่องเมื่อครู่
ถึงอย่างนั้น โต๊ะวิจัยก็ยังคงสภาพสมบูรณ์อยู่ในทะเลแห่งความรู้ของเขา
มันเป็นไปได้
รอยยิ้มเล็ก ๆ ได้ปรากฏขึ้นที่มุมปากของซูเฉิน
การใช้พลังจิตเพียงเพื่อสร้างโต๊ะวิจัยขึ้นในทะเลความรู้เป็นสิ่งที่ไม่ว่าใครก็คงไม่อยากทำ แต่ซูเฉินไม่ใช่ ด้วยเขาคิดว่านี่เป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การค้นคว้า
ไม่มีใครรู้ว่าในอนาคต สิ่งนี้จะพัฒนาไปอย่างไรได้บ้าง บางทีมันอาจจะมีค่า แต่บางทีมันก็อาจจะไร้ค่า หรือบางทีมันอาจจะกลายเป็นสิ่งที่กลับมาหลอกหลอนเขาในอนาคตก็เป็นได้
แต่ซูเฉินก็ไม่กลัวที่จะลอง
ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาที่แท้จริง ย่อมเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการแสวงหาความรู้อย่างไม่รู้จักพอ และความต้องการที่จะทดลองสิ่งใหม่ ๆ อย่างไม่หยุดยั้ง
จากนั้นซูเฉินก็เริ่มใช้พลังจิตของตน สร้างถ้วยแก้วสำหรับทดลอง ผลึกแก้วทรงสามเหลี่ยม และของอย่างอื่น ๆ ขึ้นมาอีกครั้ง
ต่อมาซูเฉินก็ใช้พลังจิตของเขาอีกเล็กน้อยเพื่อสร้างวัตถุดิบต่าง ๆ ขึ้น อาทิ ดอกซากวิญญาณ
หลังจากนั้นเขาก็เริ่มปรุงโอสถปลุกวิญญาณขึ้นในทะเลความรู้ของเขา
และจากการปรุงโอสถปลุกวิญญาณมาหลายปี ซูเฉินจึงคุ้นเคยกับการปรุงยาเพื่อฟื้นฟูพลังวิญญาณเหล่านี้ มากจนถึงจุดที่ไม่สามารถจะคุ้นเคยกับมันมากไปกว่านี้ได้อีกแล้ว
ทว่าการใช้พลังจิตสร้างวัตถุเสมือนจริงขึ้น และทำให้พวกมันเกิดปฏิกิริยาตอบสนองกันและกัน ให้เหมือนดั่งในโลกแห่งความเป็นจริงนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ด้วยเขาจำเป็นต้องสร้างกลไกการตอบสนองที่คล้ายกันเพื่อให้เกิดปฏิกิริยาอย่างที่ควรเป็น
ครั้งนี้ ซูเฉินล้มเหลว
แม้ว่าเขาจะชำนาญจนสามารถปรุงโอสถปลุกวิญญาณได้แม้จะหลับตา แต่ภายในทะเลความรู้นี้ ไม่มีสิ่งใดที่เป็นไปตามกฎแห่งความเป็นจริง สิ่งที่ชายหนุ่มต้องทำคือทำพวกมันออกมาให้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด ด้วยการกำหนดให้พวกมันเป็นไปตามกฎธรรมชาติของโลกแห่งความจริง ในขณะที่เขาสร้างพวกมันขึ้นมา
ซูเฉินได้พบว่าการทำเช่นนี้ เรียกได้ว่าเป็นการศึกษากฎของธรรมชาติไปในตัว
เช่น หากเขากำหนดทฤษฎีบางอย่างเกี่ยวกับกฎแห่งธรรมชาติขึ้นได้ แต่ทฤษฎีนั้นกลับไม่สามารถคงอยู่ทะเลความรู้ นั่นก็หมายความว่าทฤษฎีของเขามีข้อผิดพลาดและจำเป็นต้องแก้ไข ในทางกลับกันหากทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น ก็เท่ากับเป็นการยืนยันว่าทฤษฎีนั้นถูกต้องแล้ว
ในที่สุด ซูเฉินก็ได้ค้นพบเหตุผลแรกในการรวมทะเลความรู้ของเขา
โชคดีที่หลังจากการทดลองล้มเหลวลง วัตถุเสมือนจริงทั้งหมดจะหายไปและถูกส่งคืนเป็นพลังจิตเช่นเดิมไปให้ซูเฉิน ข้อเสียเพียงอย่างเดียวคือทุกครั้งที่เขาต้องการสร้างส่วนผสมขึ้นมา จะเกิดอาการปวดหัวเพราะพลังจิตถูกตัดขาด แต่นี่ก็นับเป็นการช่วยฝึกเพิ่มความอดทน และการยอมรับความล้มเหลวไปในตัวได้ด้วยเช่นกัน
ซูเฉินเริ่มทดลองอย่างต่อเนื่อง
เวลาผ่านไปด้วยการทดลองซ้ำ ๆ ของเขา เช่นเดียวกับเรือที่แล่นออกจากเมืองธารน้ำใสมุ่งหน้าไปทางตะวันตกอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งมาถึงแม่น้ำใหญ่ที่สองข้างฝั่งเป็นป่ารกทึบ
*****