ภาคที่ 3 บทที่ 43 ป่าแม่น้ำตะวันตก (1)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 43 ป่าแม่น้ำตะวันตก (1)

“ข้างหน้าเจ้าคือช่องเขาปลามังกร ป่าแม่น้ำตะวันตกอยู่เลยจากช่องเขานี้ไป ถัดจากนั้นก็เป็นเมืองป่าตะวันตก” นายเรือ(1)กล่าวขึ้น เขาชี้ออกไปทางด้านหน้าของเขาขณะที่กำลังนั่งอยู่ที่หัวเรือ

“ป่าแม่น้ำตะวันตก ? ป่าทึบเก่าแก่ที่อยู่มาตั้งแต่สมัยโบราณ ที่ว่ากันว่าภายในยังมีสัตว์โบราณและวัตถุดิบหายากอยู่มากมาย แต่เพราะมันถูกสาปจึงกลายเป็นสถานที่ที่คนนอกไม่สามารถเข้าไปได้ง่าย ๆ นั่นน่ะหรือ ?” ซูเฉินถามขณะยืนอยู่ที่หัวเรือ

หลังจากใช้เวลาเกือบครึ่งวันอยู่บนเรือ พวกเขาก็ได้ออกห่างจากเมืองธารน้ำใสมาไกลมากแล้ว เช่นเดียวกับที่ซูเฉินรวมทะเลความรู้ของเขาเสร็จ และเรียกสติของเขากลับมาสู่ความเป็นจริง

“ใช่แล้ว ที่นั่นแหละ !” นายเรือชราพยักหน้า “ที่แห่งนั้นเป็นสถานที่ ที่เลวร้ายมาก ๆ ผู้คนมากมายต้องการเข้าไปสำรวจและหาสมบัติอยู่ทุกปี แต่น้อยคนนักที่จะสามารถกลับออกมาได้”

“ถึงจะน้อยแต่ก็ยังมีคนรอดมาได้ไม่ใช่หรือ ?” ซูเฉินถาม

“ไอ้หยา นายท่านอย่าได้คิดเช่นนั้นเชียว ! ความเสี่ยงมันมีมากเกินไป บางคนรอดชีวิตกลับมาได้ก็จริง ทว่าผู้ที่รอดกลับมาพวกนั้นก็ไม่เคยกลับเข้าไปในป่าลึกอีกเลย และยังมีอีกหลายคนที่กลับมาพร้อมคำสาป มีแม้กระทั้งครอบครัวทั้งครอบครัวที่ต้องตายอย่างอนาถเพราะก็มัน !”

ซูเฉินยิ้ม “คำสาปนี้สามารถส่งต่อได้หรือ ?”

“ก็เพราะอย่างนั้นนั่นจึงเป็นเหตุผลที่มันน่ากลัวมากไม่ใช่หรือไร ?”

“แต่ข้าได้ยินมาว่ามีคนบางกลุ่มสามารถอยู่รอดได้ในป่าแม่น้ำตะวันตกนี่ ?” บัณฑิตหนุ่มถาม

“พวกนั้นทั้งหมดเป็นชาวพื้นเมือง เป็นกลุ่มคนป่า คนเหล่านี้เติบโตขึ้นมาในป่าจึงสามารถอาศัยอยู่ในป่าลึกได้โดยไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ แต่พวกมันก็ไม่สามารถออกมาจากป่าได้เช่นกัน ว่ากันว่าถ้าพวกมันออกจากป่าทึบนานเกินไปพวกมันจะตาย มันคือสถานที่ที่คนข้างในไม่สามารถออกมาข้างนอก เช่นเดียวกับที่คนข้างนอกไม่สามารถเข้าไปได้ เป็นราวกับกับคุกขนาดใหญ่” นายเรือถึงกับส่ายหัวขณะกล่าว

“ไม่น่าแปลกใจเลย ว่าเหตุใดทรัพยากรพวกนั้นอยู่ภายใต้การควบคุมของ 10 ตระกูลสายเลือดชั้นสูงเพียงกลุ่มเดียว แม้ว่าผลผลิตของป่าแม่น้ำตะวันตกจะดีมากก็ตาม” ซูเฉินบ่น

“ใช่เลยขอรับ นั่นคือแหล่งทำเงินมหาศาลสำหรับพวกมัน พวกนั้นซื้อวัตถุดิบหายากจำนวนมากจากคนพื้นที่เหล่านี้ในราคาที่ต่ำ จากนั้นก็ขายออกไปในราคาสูงกว่าเดิมเกือบร้อยเท่า” กังเหยียนกล่าวขึ้นที่ด้านข้าง

“ข้าได้ยินมาว่า ความขัดแย้งส่วนใหญ่ระหว่างเจ้าเมืองอันกับ 10 ตระกูลสายเลือดชั้นสูงนั้นก็เป็นเพราะเหตุนี้ ด้วยเจ้าเมืองอันต้องการเก็บภาษีเรื่องนี้มาโดยตลอด แต่กลุ่มตระกูลสายเลือดชั้นสูงยังคงพยายามปัดความรับผิดชอบ และไม่เคยรายงานผลกำไรที่แท้จริงของตน ผลกำไรจากป่าแม่น้ำตะวันตก นับได้เป็นหินพลังต้นกำเนิดจำนวนกว่า 10 ล้านทุกปี แต่เจ้าเมืองอันกลับไม่ได้ทองแม้แต่แดงเดียว แล้วท่านจะไม่ร้อนรนได้อย่างไร ?”

ซูเฉินตกใจ “นี่ตระกูลสายเลือดชั้นสูงเหล่านี้รู้แต่วิธีสูบเลือดเนื้อจากผู้อื่น แต่ไม่คิดที่จะเสียสละอะไรให้ผู้ใดบ้างเลยหรือ พวกมันสมควรตายไปเสียจริง ๆ”

ตระกูลสายเลือดชั้นสูงนั้นมีอิทธิพลในท้องถิ่นอยู่ไม่น้อย เมื่อผู้โดยสารสองสามคนที่อยู่ข้างได้ยินสิ่งที่ซูเฉินพูด พวกเขาก็พากันกระโดดออกห่างด้วยความกลัว และไม่กล้าที่จะสนทนากับชายหนุ่มอีกต่อไป

ซูเฉินกล่าวว่า “นายเรือ ข้าเปลี่ยนใจแล้ว เราจะขึ้นฝั่งที่ป่าแม่น้ำตะวันตก”

เดิมทีซูเฉินวางแผนที่จะล่าสัตว์อสูรในเทือกเขาตะวันตกที่อยู่ห่างออกไป แต่เขาตัดสินใจที่เปลี่ยนแผนมาที่นี่แทน

เมื่อนายเรือได้ยินว่าซูเฉินต้องการขึ้นฝั่งใกล้กับป่าแม่น้ำตะวันตก เขาก็พยายามโน้มน้าวชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว แต่ซูเฉินยังคงไม่เปลี่ยนใจ นายเรือจึงทำได้เพียงแค่ยอม ๆ ไป

หลังจากเดินทางต่ออีกครึ่งค่อนวัน ในที่สุดเรือโดยสารก็แล่นผ่านช่องเขาปลามังกรและมาถึงป่าแม่น้ำตะวันตกเป็นที่เรียบร้อย

ซูเฉินกับกังเหยียนขึ้นฝั่งในทันทีที่เรือหยุดเทียบท่า

นายเรือส่ายหัวและถอนหายใจ ขณะที่เขาเฝ้ามองแผ่นหลังทั้งสองหายเข้าไปในป่า “ส่งตัวเองไปตายอีก 2 คนแล้ว”

ในสายตาของนายเรือชรา เขาได้ถือว่าทั้งสองนั้นได้ตายไปแล้ว

เมื่อมาถึงขึ้นสู่ริมฝั่งแม่น้ำ ทั้งสองก็ออกเดินทางเข้าไปในส่วนลึกของป่าทันที

ป่าที่นี่ทั้งลึกและเงียบสงบ ยิ่งเดินเข้าไปไกลเท่าไหร่มันก็ยิ่งเงียบและยิ่งมืด

เมื่อได้ลองเข้าไปลึกขึ้น ก็จะได้พบว่าต้นไม้พวกนั้นยิ่งสูงใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ แม้แต่รากของพวกมันก็พากันงอกแทงออกมาเหนือดินจนเต็มพื้นไปหมด หากได้มองดูจากที่ไกล ๆ มันอย่างกับว่าพื้นดินถูกปกคลุมไปด้วยฝูงงู

เถาวัลย์เองก็ห้อยลงมาจากกิ่งไม้มากมายเต็มไปหมดเช่นกัน แต่บางครั้งในบรรดาเส้นสายเหล่านั้นก็มีงูจริง ๆ อยู่ เมื่อผู้คนเดินผ่านพวกมัน พวกเขาก็จะถูกโจมตีอย่างกะทันหัน

ฟุบ !

ซูเฉินยกมือขึ้นและหนีบหัวงูเอาไว้ด้วยสองนิ้วของเขา จากนั้นก็เอียงศีรษะหลบไปด้านข้าง ขณะที่ของเหลวที่เป็นพิษได้พุ่งผ่านหูของเขา

นิ้วของซูเฉินจับหัวงูเอาไว้เหมือนคีม ขณะที่เขาง้างปากมันและตรวจดูอย่างใกล้ชิด หลังจากรวบรวมตัวอย่างพิษบางส่วนมาได้แล้ว เขาก็ปล่อยงูไป

ด้วยเนตรมองโลกจุลภาคของเขา ความลับเบื้องหลังของเหลวที่มีสถานะเป็นพิษนี้ ถูกเขามองออกชัดเจนในพริบตา

ซูเฉินวิเคราะห์องค์ประกอบของพิษนี้อย่างรวดเร็ว มันไม่ได้มีฤทธิ์ร้ายแรง แต่เขาสามารถให้มันกลายเป็นสสารต้นกำเนิดพิษประเภทหนึ่งได้ หากรวมเข้ากับสสารต้นกำเนิดพิษสสารต้นกำเนิดพิษอื่น ๆ ที่เขามี บางทีมันอาจจะก่อให้เกิดพิษที่ทรงพลังขึ้นมาก็เป็นได้

ทันใดนั้นชุดค่าผสมที่เป็นไปได้กว่า 10 ชุดก็ผุดขึ้นมาในหัวของซูเฉิน

พิษไม่ใช่แนวทางการวิจัยของซูเฉิน แต่ถึงอย่างนั้น ชายหนุ่มก็สามารถกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านพิษได้ในเวลาไม่กี่นาที หากเขาต้องการ

หลังจากโยนงูทิ้ง ซูเฉินกับกังเหยียนก็ยังคงมุ่งหน้าต่อไป พวกเขาพบกับงูหลามดอกไม้ป่าอย่างรวดเร็ว แม้ว่ามันจะเป็นเพียงสัตว์อสูรระดับต่ำ แต่อย่างน้อยพวกเขาก็สามารถเก็บพลังต้นกำเนิดของมันมาหลังจากฆ่ามันไปแล้วได้

คู่นายบ่าวไม่ลังเลที่จะฆ่ามันและดูดซับพลังต้นกำเนิดของมันมาตรง ๆ

อย่างไรก็ตามผลของการดูดซับพลังนี้ มีผลต่อกังเหยียนก็มากกว่าซูเฉินอย่างชัดเจน

ด่านกลั่นโลหิตถูกวัดโดยดาราสีเขียว และปริมาณพลังงานต้นกำเนิดที่จำเป็นในการเข้าสู่ด่านทะลวงลมปราณก็สูงขึ้นมากเช่นกัน เป็นไปได้อยู่แล้วที่สัตว์อสูรระดับต่ำจะช่วยเพิ่มระดับการฝึกฝนให้ซูเฉินได้

มันเหมือน ๆ กับกรณีของคนที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง ที่คนคนนั้นจะต้องมีประสบการณ์มากพอเสียก่อนจึงจะได้เลื่อนขึ้นไปสู่ตำแหน่งอีกครั้ง และจริง ๆ แล้ว การฆ่าสัตว์ที่อ่อนแอเกินไปก็สามารถทำให้ประสบการณ์ลดลงได้เช่นกัน

ดังนั้นพวกเขาสองคนจึงไม่หยุดที่จะก้าวไปข้างหน้า และมุ่งหน้าเข้าป่าลึกต่อไป

หลังจากเดินมาได้อีกสักพักซูเฉินก็ส่งสัญญาณให้หยุดลง

ในสายตากังเหยียนมองเห็นเพียงหมอกควันอยู่เบื้องหน้า และดูเหมือนว่าไม่มีอะไรอยู่ที่นั่นเลย อย่างไรก็ตามในสายตาของซูเฉิน กลับมองเห็นจุดสีแดงหนาแน่นกลุ่มใหญ่ลอยอยู่บนท้องฟ้าไม่ไกลจากพวกเขา

“ข้างหน้ามีอะไรอยู่อย่างนั้นหรือขอรับ ?” กังเหยียนตระหนักถึงบางสิ่งบางอย่าง ก่อนที่เขาจะถามขึ้น

“ใช่ เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง มันมีขนาดใกล้เคียงกับสสารจุลภาค เรียกมันว่าจุลชีพก็พอ ใช้เนตรจิตของเจ้าดู แล้วเจ้าจะมองเห็นพวกมัน”

นับตั้งแต่ที่ซูเฉินค้นพบมวลรวมของสสารต้นกำเนิดในก้อนโลหะและทักษะพิเศษ เขาก็เรียกพวกมันว่าจุลชีพ

สสารจุลภาค สสารต้นกำเนิด และ อนุภาค จึงกลายเป็นโลกขนาดเล็ก 3 ระดับที่แตกต่างกันในสายตาของซูเฉิน

แม้ว่าสสารจุลภาคจะมองเห็นด้วยตาเปล่าได้ยาก แต่ทักษะต้นกำเนิดประเภทเนตรจิตก็ยังคงสามารถมองเห็นพวกมันได้ ทว่าก็ได้เพียงแค่มองเห็น ไม่สามารถสังเกตได้อย่างละเอียดที่ลงไปจนถึงองค์ประกอบของพวกมัน เหมือนอย่างเนตรมองโลกจุลภาคของซูเฉิน

กังเหยียนตอบอย่างขมขื่น “ข้าคิดว่ามันยุ่งยากเกินไป จึงไม่ได้ฝึกซ้อมมันมากนัก”

สีหน้าของซูเฉินหมนลง “เผ่าหินผาเป็นเผ่าที่เน้นพลังทางกายภาพมากกว่า และไม่สามารถใช้พลังต้นกำเนิดได้เช่นเดียวกับมนุษย์ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเผ่าหินผาเป็นพวกโง่โดยเนื้อแท้ นอกจากนี้มันยังไม่ได้หมายความว่าเผ่าหินผาจะทำได้แต่งานไร้สมองเท่านั้น กังเหยียน หากเจ้าคิดเพียงแค่ว่าตนเป็นคนของเผ่าหินผาที่ต้องต่อสู้และฆ่าเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องใช้สมอง ไม่ว่าคนอื่นจะช่วยอย่างไร เจ้าจะไม่มีโอกาสหรืออนาคตอยู่ดี”

กังเหยียนก้มหน้าลงอย่างเงียบ ๆ “ข้าเข้าใจแล้ว เมื่อกลับไปข้าจะฝึกให้หนัก”

ซูเฉินหันหลังกลับไปมองจุลชีพเหล่านั้นอย่างละเอียด จากนั้นก็เดินไปหาพวกมัน

เมื่อเขาเข้าไปในเขตหมอก จุลชีพเหล่านั้นระเบิดตัวออกและพุ่งตรงมาที่ซูเฉินในทันที

จากมุมมองในระดับมหภาคนั้น มันราวกับว่าจู่ ๆ กลิ่นคาวเลือดก็ปรากฏขึ้นดุจสัตว์อสูรบางตัวกำลังใกล้เข้ามา แต่กลับไม่มีอะไรที่สามารถมองเห็นได้อยู่เบื้องหน้า ซึ่งมันก็ได้สร้างความรู้สึกที่แปลกประหลาดและอันตรายให้คืบคลานไปตามผิวหนังของผู้คน

หากมองผ่านด้วยเนตรจิต ก็จะสามารถเห็นคลื่นหมอกสีแดงกระจายอยู่ทั่วไปทุกทิศทาง เช่นฝุ่นควันลอยอยู่ในอากาศ

ส่วนในโลกระดับจุลภาคที่มองเห็นทุกสิ่งได้อย่างชัดเจนนั้น จะเห็นจุลชีพเหล่านี้พุ่งไปข้างหน้าราวกับกระแสน้ำ เข้าสู่ส่วนต่าง ๆ ในร่างของซูเฉิน และหลังจากที่หลั่งไหลเข้าไป พวกมันก็จะหยั่งรากลง ก่อนที่ในเวลาเดียวกันพวกมันจะเริ่มดูดซับพลังชีวิตของเขา

*****