บทที่ 44 ป่าแม่น้ำตะวันตก (2)
ซูเฉินไม่ได้หลบเลี่ยงสิ่งมีชีวิตจิ๋วสีแดงเหล่านั้น
เมื่อกระแสน้ำสีแดงไหลเข้าสู่ร่างกายของเขา ชายหนุ่มก็ฉีกเสื้อผ้าและเริ่มตรวจสอบร่างกายของตน
เมื่อรวมกับทักษะมองภายในของเขา ซูเฉินจึงสามารถเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในร่างกายของตัวเองได้อย่างชัดเจน
เขาเฝ้าดูจุลชีพสีแดงตัวเล็ก ๆ เหล่านั้นที่ฝังตัวเข้าไปในกระดูก และกระจายไปอยู่ทั่วทุกส่วนของร่างกายราวกับหนอน ทั้งหัวใจ อวัยวะภายใน ม้าม กระเพาะอาหาร ไต และแม้กระทั้งทะเลปราณที่คอยกักเก็บพลังต้นกำเนิดเอาไว้ ก็ยังถูกกัดเซาะไปด้วย
เพียงไม่กี่อึดใจ ซูเฉินก็เริ่มที่จะรู้สึกหายใจลำบาก อัตราการเต้นของหัวใจเองก็เริ่มเต้นเร็วขึ้น ขณะที่หน้าอกของเขารู้สึกร้อนเหมือนมันกำลังจะไหม้และเริ่มรู้สึกวิงเวียน
“คำสาป … ” ซูเฉินพ่นคำสองคำนี้ออกมาอย่างยากลำบาก
“นายท่าน !” กังเหยียนเห็นว่าสถานการณ์ของซูเฉินดูไม่สู้ดีนัก จึงเตรียมที่จะพุ่งเข้าไป
ทว่าซูเฉินกลับสะบัดแขนของเขาอย่างรุนแรง “อย่าเข้ามา ! ถ้าเจ้ามา ข้าจะไม่สามารถช่วยเจ้าได้ !”
“แต่ร่างกายของท่าน … ” กังเหยียนชี้ไปที่ซูเฉินขณะที่เขาตะโกนด้วยความตกใจ
แค่ชั่วพริบตา กังเหยียนก็สังเกตเห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงแปลก ๆ เกิดขึ้นไปทั่วร่างกายของซูเฉิน รอยจ้ำสีแดงขนาดใหญ่เริ่มปรากฏขึ้นทั่วร่างกายและใบหน้าของอีกฝ่ายดุจปานแดง แต่จากนั้นพวกมันก็เริ่มเปลี่ยนสภาพกลายเป็นแผลพุพอง
ทันใดนั้น หนึ่งในตุ่มแผลเหล่านั้นก็ได้แตกออก น้ำหนองไหลที่ระเบิดออกมา กระจายกลิ่นเหม็นอย่างรุนแรงทั่ว
กังเหยียนมองไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายในร่างกายของซูเฉิน ฉากเหตุการณ์พลิกผันที่น่ากลัวอย่างยิ่ง เบื้องหน้าจึงทำให้เขาตกใจมาก
ซูเฉินยกแขนขึ้น เขาได้เห็นว่าตัวของเขาถูกปกคลุมไปด้วยผื่นแดงขนาดใหญ่และแผลพุพองทั่วร่างกาย
“แค่ก !” ซูเฉินไอและอาเจียนออกมาเป็นเลือด
เลือดนั้นมีชีวิต มันบินไปมาในอากาศก่อนจะค่อย ๆ ตกลงสู่พื้น ทำให้กองใบไม้ที่ถูกมันตกใส่ส่งเสียงดังฉ่า และเริ่มสึกกร่อนหายไปอย่างเห็นได้ชัด
หากไม่ใช่เพราะเขามองเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นภายในร่างกายของตนได้อย่างชัดเจน แม้แต่ซูเฉินก็คงจะหวาดกลัวกับฉากตรงหน้านี้อย่างมากเช่นกัน
“นายท่าน !” กังเหยียนอดไม่ได้ที่จะตะโกนร้องออกมา
“ไม่ต้องกังวลไป” ซูเฉินตอบกลับด้วยเสียงที่แหบแห้ง
จุลชีพสีแดงกัดเซาะลำคอของชายหนุ่ม จนทำให้เขาพูดออกมาได้ยากลำบาก
แต่ทว่าชายหนุ่มก็ไม่ได้ใส่ใจมัน แววตาของเขากลับสดใสและทอประกายสว่างขึ้น “กลับกลายเป็นว่านี่คือตัวตนของคำสาป ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดคนส่วนใหญ่จึงต้องทิ้งชีวิตเอาไว้เมื่อเข้ามาที่นี่ แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญด่านกลั่นโลหิตก็ยังไม่สามารถทนได้ ? แม้แต่พลังต้นกำเนิดก็ยังกัดกร่อนได้ ? น่าประทับใจ ! น่าประทับใจมาก ! นี้มันน่าประทับใจมากจริง ๆ!”
ซูเฉินเริ่มหัวเราะขึ้นในขณะที่เขากำลังพูด และเมื่อรวมเข้ากับแผลพุพองบนใบหน้าของเขา มันก็ทำให้ชายหนุ่มดูน่ากลัวเป็นพิเศษ
“แต่น่าเสียดายที่ของแบบนี้มันไม่ได้ผลกับข้าเลยแม้แต่น้อย” ซูเฉินกล่าวด้วยเสียงต่ำ
เส้นสายพลังจิตของเขาเริ่มยื่นออกมา และคว้าจับจุลชีพสีแดงที่บุกเข้ามาเหล่านั้น
เส้นสายพลังจิตนั้นมองไม่เห็นและจับต้องไม่ได้ มันจึงยากที่จะสร้างผลกระทบต่อโลกระดับมหภาค ทว่ามันกลับสามารถที่จะสร้างผลกระทบต่อกับสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กมากได้อย่างดี นี่จึงนับได้ว่าเป็นความซวยของจุลชีพเหล่านี้อย่างแท้จริง
เมื่อเส้นสายพลังจิตกระจายตัวออกมา จุลชีพสีแดงที่เข้ามาสู่ร่างกายของเขาก็ถูกกำจัดทิ้งในทันที
หากสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กเหล่านี้มีสตินึกคิด มันก็จะเหมือนกับว่าพวกมันได้ค้นพบดาวที่เต็มไปด้วยพลังงานมากมาย และในขณะที่กำลังกลืนกินอย่างเอร็ดอร่อย ทันใดนั้นก็ได้มีปีศาจรูปร่างคล้ายกับเสา นับไม่ถ้วนก็ปรากฏตัวขึ้นจากขอบฟ้าและไล่ฆ่าพวกมันให้ตายไปทีละกลุ่มด้วยความแม่นยำสูง กวาดล้างพวกมันราวกับเป็นวันโลกาวินาศ
ใช่ นี่คือสถานการณ์ที่จุลชีพเหล่านี้กำลังเผชิญอยู่ เส้นสายพลังจิตกำลังไล่ฆ่าพวกมันในการโจมตีเดียวราวกับบี้แมลง
เส้นสายพลังจิตนับร้อยนับพันกวาดไปทั่วทุกทิศอย่างต่อเนื่อง ฆ่าสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กเหล่านั้นไปเป็นจำนวนมาก
กังเหยียนพบว่ารอยแดงบนร่างกายของซูเฉินหายไปทีละจุด ส่วนแผลพุพองเองก็กำลังค่อย ๆ ฟื้นตัวกลับสู่สภาพปกติ
ใบหน้าที่ดูน่ากลัวอย่างมากเมื่อครู่นี้ก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
“ฟู่ว !” กังเหยียนถอนหายใจด้วยความโล่งอก “นายท่าน ท่านทำให้ข้ากลัวแทบตาย”
ซูเฉินไม่ตอบกลับ แต่ยกมือซ้ายขึ้นช้า ๆ
ที่ฝ่ามือซ้ายของเขายังคงมีรอยปานสีแดงสดเหลืออยู่
เขาตั้งใจทิ้งมันไว้อย่างนั่น
จากนั้นเขาก็ใช้มือขวา ฉีกผิวบริเวณรอยจ้ำเลือดสีแดงนี้ออกอย่างแรง
ครั้งนี้ซูเฉินได้ใช้วิธีการแบบมหภาคจัดการกับปัญหานี้ เพื่อดูว่ามันจะได้ผลอะไรหรือไม่
แต่ในไม่ช้าเขาก็ค้นพบว่าแม้ผิวที่เกิดรอยแดงจะถูกฉีกออกไป แต่จุลชีพพวกนั้นก็ยังคงอยู่ในเลือดของเขา
จุลชีพที่ซ่อนอยู่ในร่างกายของเขาไม่สามารถทำอะไรได้มากนักเนื่องพวกมันเหลืออยู่ในจำนวนน้อยนิด แต่พวกมันก็พยายามผสมพันธุ์และสืบพันธุ์อย่างลับ ๆ เพื่อให้อยู่รอดต่อไป
ตราบใดที่ยังมีที่ว่างเหลืออยู่พวกมันก็จะยังคงขยายพันธุ์ และขยายพันธุ์ไปเรื่อย ๆ …
“ดูเหมือนว่านี่จะเป็นตัวตนที่แท้จริงของคำสาปแห่งป่าแม่น้ำตะวันตกนี้” ซูเฉินกล่าว
“หากผู้ใดบังเอิญหลงเข้าไปในเขตแดนที่เจ้าพวกจุลชีพเหล่านี้อาศัยอยู่ ผู้คนเหล่านั้นก็จะถูกโจมตี แม้ว่าคนพวกนั้นจะค้นพบว่ามีบางสิ่งบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น และพยายามกำจัดมันทิ้งในทันที แต่ตราบใดที่มันยังหลงเหลืออยู่แม้เพียงเล็กน้อย พวกมันก็จะค่อย ๆ กระจายตัวไปทั่วอย่างช้า ๆ จนในที่สุดผู้คนเหล่านั้นก็จะตายจากไปเพราะ ‘คำสาป’ ทั้งหมดที่พวกเขาทำได้ก็คงจะมีเพียงแค่หน่วงเวลาให้อยู่รอดได้นานขึ้นอีกนิด”
“แต่สิ่งมีชีวิตและชาวพื้นเมืองในป่าแม่น้ำตะวันตก กลับไม่ได้รับผลกระทบจากสิ่งเหล่านี้ ?” กังเหยียนตั้งข้อสังเกต
“ถูกต้อง” ซูเฉินยิ้มขึ้น “นั่นคือสิ่งที่ข้าสนใจ พวกนั้นคงไม่สามารถใช้วิธีเดียวกันกับข้า ในการจัดการกับพวกมันได้อย่างแน่นอน แต่ข้าก็ไม่รู้ว่าพวกนั้นใช้วิธีอะไรในการต่อสู้กับสิ่งเหล่านี้”
“ไม่ว่ามันคืออะไร หากพวกเรายังคงมุ่งหน้าต่อ เราก็จะได้รู้เอง” กังเหยียนกล่าว
ซูเฉินหัวเราะ “ถูกต้อง ! ไปกันเถอะ”
ขณะที่พูดชายหนุ่มก็โบกแขนของเขาเบา ๆ ผิวติดรอยจ้ำสีแดงที่ฉีกออกมา ก็ได้เข้าไปอยู่ในแก้วตวงพร้อมกับชิ้นเนื้อสัตว์อสูร แสดงให้เห็นว่าซูเฉินกำลังสนใจอยากเริ่มศึกษาและเพาะเลี้ยงสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กเหล่านี้อย่างเป็นทางการแล้ว
หลังจากจัดการเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว ทั้งสองก็เดินลึกเข้าไปในป่าต่อไป
ถึงแม้จุลชีพที่แปลกประหลาดและน่ากลัวเหล่านี้จะอาศัยอยู่ในป่านี้ แต่ธรรมชาติก็หาวิธีขยายพันธุ์และสัตว์อสูรจำนวนมากยังคงเลือกที่จะอาศัยอยู่ในป่า ความอุดมสมบูรณ์ของอาหารทำให้สัตว์อสูรเติบโตและแพร่พันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว ก่อให้เกิดวัฏจักรที่ไม่เหมือนใครซึ่งส่งผลให้มีทรัพยากรธรรมชาติมากมายอยู่ที่นี่
กังเหยียนกับซูเฉินตามล่าสัตว์อสูรทุกตัวที่พวกเขาพบไปตลอดทาง และเก็บเกี่ยวทรัพยากรที่พวกเขาเจออย่างต่อเนื่อง ยิ่งเดินลึกเข้าไประดับของฝูงสัตว์อสูรที่พบก็ยิ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ ระดับของพวกมันค่อย ๆ เลื่อนระดับไปเริ่มตั้งแต่ระดับต่ำสุดของสัตว์อสูรระดับต่ำ ไปจนถึงระดับกลาง จากนั้นก็ไปสู่ระดับสูงและพวกที่ระดับต้น ๆ ในบรรดาสัตว์อสูร
ซูเฉินได้วิ่งเข้าไปในถิ่นของสัตว์อสูรระดับสูงมากตัวหนึ่ง
มันคืออสูรเนินเกราะ แม้ว่ามันจะไม่ได้แข็งแกร่งหรือดุร้ายเท่ากับพวกโคลนยักษ์ แต่ก็ยากอย่างเหลือเชื่อที่จะจัดการ โชคดีที่ซูเฉินในตอนนี้ไม่เหมือนกันไม่เหมือนกับซูเฉินคนเก่าแล้ว หลังจากการต่อสู้ที่ค่อนข้างรุนแรง ในที่สุดเขาก็สามารถเอาชนะมันได้
เนื้อของอสูรเนินเกราะนั้นไม่ได้มีค่ามากนัก แต่เขาเดียวบนหัวของมันนั้นถือเป็นสมบัติหายาก เขาขนาดใหญ่ที่มองดูราวกับดาบโค้ง อสูรเนินเกราะมีความสามารถในการทำลายการป้องกันที่ทรงพลัง เพียงแค่มันเสริมพลังต้นกำเนิดลงไปในเขาอันใหญ่ของมัน เขานั่นก็เทียบได้กับเครื่องมือต้นกำเนิดชั้นดีแล้ว
กังเหยียนคว้าเขาขึ้นมาถือเอาไว้และเหวี่ยงมันไปมาอยู่สองสามครั้ง มันกวาดผ่าผ่านอากาศไปได้อย่างรวดเร็ว เขาจึงตัดสินใจที่จะใช้มันเป็นเครื่องมือต้นกำเนิด ผลข้างเคียงของมีดสั้นริ้วดำนั่นมากเกินกว่าที่จะเพิกเฉยได้ และคงถึงเวลาที่จะต้องกำจัดมันเสียทีแล้ว
กังเหยียนก้าวไปข้างหน้าอย่างมีชีวิตชีวา โดยพาดดาบเขาอันใหญ่ไว้บนหลังของเขา
ทันใดนั้น ทั้งคู่ก็เห็นการเคลื่อนไหวบางอย่างที่ด้านหน้าของพวกเขา
กังเหยียนหยุดเคลื่อนไหวลงและหยิบดาบลงมาจากหลังของเขามาถือเอาไว้ในมืออย่างระมัดระวัง พลางจ้องมองไปเบื้องหน้าอย่างตั้งใจ อย่างไรก็ตามขณะที่เขากำลังจะโจมตี ก็ได้มีคนสองสามคนออกมาจากพุ่มไม้ที่อยู่ข้างหน้านั่น !