ภาคที่ 3 บทที่ 45 ติดต่อ (1)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 45 ติดต่อ (1)

คนเหล่านี้สวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งและถือหอกไว้ในมือ ใบหน้าของพวกเขาเปื้อนไปด้วยโคลน

หลังจากที่ทำการสังเกตเห็นกังเหยียน พวกเขาก็ตกตะลึงไปชั่วครู่ แต่เมื่อพวกเขาเห็นดาบเขาในมือของอีกฝ่าย การแสดงออกของพวกเขาก็เปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยว และยกหอกพุ่งเข้าไปหากังเหยียนพร้อมเสียงคำราม

ขณะที่กังเหยียนรู้สึกงุนงงกับการโจมตีอย่างกะทันหันนี้และกำลังจะตอบโต้ จู่ ๆ ซูเฉินก็ตะโกนขึ้นมาว่า “อย่าฆ่าพวกมัน”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น กังเหยียนจึงทำได้เพียงเก็บดาบเขากลับไป

แม้ว่าคนเหล่านี้จะโจมตีเข้ามาอย่างดุเดือด แต่พวกเขาก็ไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก จะมีก็เพียงแค่ผู้ฝึกยุทธ์ด่านหลอมกายาเท่านั้นที่ต้องระวังบ้างเล็กน้อย หลังจากป้องกันการโจมตีของอีกฝ่ายอยู่สองสามครั้ง กังเหยียนก็ตระหนักได้ว่าคู่ต่อสู้ไม่เป็นอันตรายต่อเขาเลย เขาจึงทิ้งความคิดที่จะสวนกลับไป แล้วเปิดใช้งานเกราะรบเหล็กกล้าและปล่อยให้พวกเขาโจมตีกันไป

หอกยาวแทงกระทบร่างกายที่เหมือนเหล็กของเขาเสียงดังลั่น แต่พวกมันก็ไม่อาจทิ้งรอยครูดใด ๆ เอาไว้ได้เลย

ชายคนหนึ่งเหวี่ยงหอกของเขาอย่างรุนแรง ฟาดลงเข้าที่หัวของกังเหยียน

หลังจากเสียงปะทะที่ดังขึ้น หอกก็ได้หักออกเป็นสองท่อน

เหล่าคนปริศนามองหน้ากันเองด้วยความตื่นตระหนก ก่อนจะตะโกนและถอยจากไปพร้อมกัน

“อยากจะหนี ?” ใบหน้าของกังเหยียนกลายเป็นดุร้ายขึ้น “อยู่เป็นหนูทดลองให้นายข้าดีกว่า !”

ขณะที่เขากำลังจับตัวอีกฝ่ายทั้งหมดไว้ ซูเฉินก็กล่าวว่า “ปล่อยพวกมันไป”

“หือ ?” กังเหยียนงุนงง

ซูเฉินเดินเข้าไปอย่างใจเย็น “คนเหล่านี้เป็นชาวพื้นเมืองแถวนี้ พวกเขาไม่ได้โจมตีเพราะต้องการปล้นสะดม แต่เป็นเพราะเราฆ่าอสูรผู้พิทักษ์ไป”

“อสูรผู้พิทักษ์ ?” กังเหยียนไม่เข้าใจ

“อสูรเนินเกราะ” ซูเฉินตอบ “เราฆ่าอสูรผู้พิทักษ์ที่พวกมันเลี้ยงเอาไว้ มันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาจะโจมตีเราด้วยความโกรธ”

เมื่อคนเหล่านั้นปรากฏตัวขึ้น ซูเฉินก็ได้ใช้ทักษะความสามารถทางภาษาของเขา ตีความเสียงตะโกนของอีกฝ่าย ดังนั้นเขาจึงเข้าใจได้ว่าทำไมฝั่งตรงข้ามถึงโกรธ

“เป็นเช่นนั้นเอง” เมื่อได้ยินสิ่งที่ซูเฉินพูด กังเหยียนก็รู้สึกละอายใจเล็กน้อย ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็เป็นฝ่ายผิดตั้งแต่แรก

“แต่การที่ชาวบ้านกลุ่มเล็ก ๆ สามารถสัตว์อสูรระดับยอดได้เช่นนี้ ช่างน่าสนใจทีเดียว ไปกันเถอะ ในเมื่อเราได้เจอพวกนั้นแล้ว อย่างน้อยเราก็ควรรู้วิธีการติดต่อกับอีกฝ่ายเอาไว้เสียหน่อย ดูเหมือนว่าที่นี่จะยังมีบางอย่างซ่อนไว้อยู่” ซูเฉินกล่าวขณะที่เขาตามหลังชาวบ้านที่หลบหนีไป

เมื่อตอนที่เข้ารับการฝึกฝนที่สถาบันมังกรซ่อนเร้น ทางสถาบันได้สอนทักษะการติดตามในป่าอย่างอย่างลับ ๆ เอาไว้ ชาวบ้านเหล่านี้ไม่ได้รับการฝึกฝนและไม่รู้วิธีปกปิดร่องรอยของตัวเอง ซูเฉินจึงสามารถมองเห็นเส้นทางหลบหนีของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน

ขณะที่ทั้งสองเดินปตามทางที่ชาวบ้านทิ้งร่องรอยไว้ ไม่นานนักหมู่บ้านที่ถูกล้อมไปด้วยรั้วสูงก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกเขา

ป้อมปราการของหมู่บ้านแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นจากไม้ของต้นไม้ขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้ ๆ ในหมู่บ้านนอกจากชาวบ้านแล้ว ก็มีกองกำลังบางส่วนที่คอยถือหอกและธนูคอยยืนเฝ้าคุ้มกัน

ในแง่ของความแข็งแกร่ง พวกเขาอยู่ในระดับของด่านหลอมกายาเทียมเท่านั้น ไม่มีใครที่โดดเด่นเป็นพิเศษ

สิ่งที่ปกป้องหมู่บ้านนี้จริง ๆ ไม่ใช่กองกำลังหรือความแข็งแกร่งของพวกเขา แต่มันคือ ‘คำสาป’ ที่ซึ่งคนส่วนใหญ่มองไม่เห็น

ตอนนี้ชาวบ้านที่โจมตีกังเหยียนได้กลับไปถึงป้อมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เห็นได้ชัดว่าทั้งหมู่บ้านตกอยู่ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายในทันใด เมื่อซูเฉินและกังเหยียนมาถึง เสียงเตือนก็ได้ดังขึ้นไปทั่วหมู่บ้าน หลังจากนั้นทั้งชาวบ้านและนักรบจำนวนมากก็รีบวิ่งขึ้นไปที่ด้านบนของกำแพงในทันที

ธนูถูกรั้งขึ้นสายคันต่อคัน ปลายลูกศรทุกดอกหันเป้าชี้ตรงไปหาซูเฉิน

ชายชราผู้มีฟันเหลืออยู่เพียงไม่กี่ซี่ยืนอยู่บนกำแพงหมู่บ้าน ตะโกนมาด้านล่าง “พวกเจ้าเป็นใคร ? เหตุใดถึงได้มาโจมตีพวกข้า ?”

สิ่งที่ออกมาจากปากของเขาคือภาษามาตรฐานของมนุษย์

“ข้าคิดว่าเจ้าจะเข้าใจอะไรผิดไป เราไม่ได้มาที่นี่เพื่อโจมตีพวกเจ้า แต่พวกเจ้าเป็นคนที่โจมตีเรา”

“เจ้าฆ่าเทพอสูรผู้พิทักษ์ของเรา !” ชาวบ้านคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้ากองกำลังนักรบตะโกนขึ้น

“เทพอสูร ?” ซูเฉินหัวเราะ “เจ้าเรียกสัตว์อสูรระดับยอดว่าเทพ ? แล้วพวกอสูรกายเล่า ? เรียกสัตว์ศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ ?”

ขณะที่พูดสีหน้าของซูเฉินก็มืดลง “เผ่าสัตว์อสูรเป็นศัตรูของเผ่าพันธุ์อัจฉริยะทั้งหมด หากเรากราบไหว้บูชาพวกมันในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วจะเหลือที่ใดให้เผ่ามนุษย์ ? สัตว์อสูรสามารถเอามาควบคุมและใช้งานได้ แต่ไม่ใช่ด้วยวิธีนี้ !”

ชายชราส่งเสียงเหอะอย่างไม่สนใจ “พูดให้ดูดีอย่างไรเจ้าก็พูดได้ ทว่าหากไม่ใช่เพราะพวกเจ้ากลั่นแกล้งและกดขี่ข่มเหงพวกข้า แล้วพวกข้าจะถูกบังคับให้มาอยู่อย่างยากลำบากเช่นนี้ได้อย่างไร ? พวกข้าไม่สนใจว่าเผ่ามนุษย์จะเป็นศัตรูกับเผ่าสัตว์อสูรหรือไม่ พวกข้ารู้เพียงสิ่งเดียวนั้นคือพวกมันปกป้องบ้านของเรา ให้ปลอดภัยจากการรุกรานของพวกคนนอก !”

“เจ้าหนุ่ม ข้าจะไม่ต่อล้อต่อเถียงกับเจ้า เรื่องความผิดของเจ้าที่ฆ่าเทพอสูรผู้พิทักษ์ของเราด้วยความไม่รู้ ออกไปจากที่นี่ซะ ไม่เช่นนั้นก็อย่าได้กล่าวโทษความหยาบคายของพวกข้า !”

เสียงคำรามดังก้องมาจากอีกฝากของกำแพง มีสัตว์อสูรมากมายซ่อนตัวอยู่ในหมู่บ้าน ฟังจากเสียงของพวกมันแล้ว ดูเหมือนว่าพวกมันคงจะอยู่ในระดับกลางถึงสูงกว่า

แม้ว่าชาวบ้านเหล่านี้จะไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก แต่สัตว์อสูรที่พวกเขาเลี้ยงไว้นั้นก็ไม่ถือว่าอ่อนแอ

เผ่าสัตว์อสูรมีสัญชาตญาณที่ดุร้ายและป่าเถื่อน แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่พวกมันจะยอมจำนนต่อมนุษย์

การที่สัตว์อสูรระดับกลางและระดับสูงยอมจำนนต่อชาวบ้านที่อ่อนแอ อาจจะเป็นข้อยกเว้นบางประการ แต่การที่กลุ่มสัตว์อสูรกลุ่มใหญ่เลือกที่จะยอมจำนน กล่าวได้ว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าสนใจ

ดวงตาของซูเฉินทอประกายขึ้น ขณะที่เขากล่าวไปว่า “เจ้าจะไม่คิดที่จะต่อล้อต่อเถียงกับข้า หรือเจ้าไม่สามารถเถียงกับข้าได้กันแน่ ? ข้าว่ามันน่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่าไม่ใช่หรือ ?”

หากซูเฉินและกังเหยียนสามารถฆ่าสัตว์อสูรตัวหนึ่งได้ พวกเขาก็ย่อมสามารถฆ่าตัวอื่นได้อีก แม้ว่าชายชราจะทำราวกับว่าเขามีเมตตาต่อทั้งสอง ทว่าที่จริงเขานั้นกำลังหวาดกลัวอย่างมาก

คำพูดของซูเฉินทำให้ใบหน้าของชายชราดูปั้นยากขึ้นมาในทันที

หัวหน้านักรบตะโกนว่า “หัวหน้าหมู่บ้าน คนนอกเหล่านี้หน้าด้านเกินไป พวกที่เป็นเช่นนี้ส่วนใหญ่แล้วล้วนถูกมาจากตระกูลสายเลือดชั้นสูงทั้งนั้น อย่าเสียเวลากับพวกมันและฆ่ามันทิ้งเลยเถอะ !”

อย่างไรก็ตามชายชรากลับยังคงลังเล เห็นได้ชัดว่าคนสองคนตรงหน้าเขาไม่ง่ายที่จะรับมือ แม้ว่าพวกเขาจะฆ่าอีกฝ่ายลงได้ แต่สิ่งที่ต้องจ่ายออกไปก็อาจมากเกินกว่าที่พวกเขาจะแบกรับไหว

ซูเฉินชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำกล่าวของหัวหน้านักรบผู้นั้น จากนั้นก็พูดว่า “ได้โปรดรอสักครู่ ‘ตระกูลสายเลือดชั้นสูง’ ที่เจ้าพูดถึงนั่นหมายถึง 10 ตระกูลสายเลือดชั้นสูงของเมืองธารน้ำใสงั้นหรือ ?”

“แล้วมีตระกูลสายเลือดชั้นสูงอื่นไหนมาที่นี่อีก ?” หัวหน้านักรบถามกลับ

“ดูเหมือนเจ้าจะไม่ชอบพวกนั้นมากนัก ถ้าข้าจำไม่ผิดไม่ใช่ว่า ช่วงที่ผ่านมาพวกเจ้ากำลังทำธุรกิจกับพวกนั้นอยู่หรอกหรือ ?” ซูเฉินถาม

“พวกข้าไม่ได้ทำธุรกิจกับพวกมัน พวกมันกำลังปล้นพวกข้าอยู่ต่างหาก !” หัวหน้านักรบตะโกนเสียงดัง “แต่ตอนนี้พวกข้าจะไม่ยอมให้พวกมันปล้นอีกต่อไปแล้ว !”

“เช่นนั้นเองหรือ ?” ซูเฉินยิ้ม

ชายชราดูเหมือนจะตระหนักถึงบางอย่าง เขาจึงถามออกมา “เจ้าหนุ่ม เจ้าดูไม่เหมือนคนในตระกูลสายเลือดชั้นสูงเลยนะ พวกนั้นไม่เคยที่จะพูดสุภาพกับเราเช่นนี้ พวกมันหยิ่งผยองและมักจะมาพร้อมกับผู้คนจำนวนมาก”

“แน่นอนว่าข้าไม่ใช่หนึ่งในพวกมัน ตรงกันข้ามเลย ข้าคือคนที่พวกมันต้องการสังหารทิ้งอยู่ตลอด” ซูเฉินตอบ

คำพูดเหล่านี้ทำให้ตาของชายชราเป็นประกาย “ข้าขอถามว่าเจ้าเป็นใครได้หรือไม่ ?”

“ซูเฉิน ผู้จัดการความรู้ของเมืองธารน้ำใส”

ชาวบ้านต่างชำเลืองมองกัน เห็นได้ชัดว่าชื่อเสียงของซูเฉินในเมืองธารน้ำใสยังไม่ได้กระจายมาถึงที่นี่

แต่นั่นไม่สำคัญ หากยังไม่รู้พวกเขาก็สามารถบอกเล่าให้อีกฝ่ายฟังได้

บางครั้งเมื่อถึงเวลาที่ควรต้องโอ้อวดก็ควรจะโอ้อวด ไม่จำเป็นจะต้องถ่อมตัวจนเกินไป

ซูเฉินกล่าวว่า “ข้าเป็นผู้สังหารคนของพวกตระกูลสายเลือดชั้นสูงไป 200-300 คน รวมถึงผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณอีก 2 คน และผู้เชี่ยวชาญด่านกลั่นโลหิตอีกนับ 10 หากพวกเจ้าเป็นศัตรูกับพวกมันเช่นกัน เช่นนั้นข้าก็คิดว่าคงไม่จำเป็นจะต้องมีสงครามระหว่างเรา”

“เจ้าพูดจริงงั้นหรือ ?” ชายชราถามด้วยความตื่นเต้นอย่างระมัดระวัง

“เชื่อข้าเถอะ กลยุทธ์การป้องกันของพวกเจ้าไม่ได้มีอะไรพิเศษในสายตาของข้าเลย” ซูเฉินโยนเพลิงอัสนีออกมาอย่างไม่ตั้งใจ

เพลิงอัสนีรุ่นที่ 3 นั้นทรงพลังกว่ารุ่นก่อนมาก มันระเบิดในตำแหน่งที่ห่างจากจุดที่พวกเขาอยู่ไปไกล คลื่นพลังรุนแรงระเบิดพัดกระจายไปทั่วไปทุกทิศทาง หากซูเฉินใช้มันกับกำแพงไม้และป้อมของหมู่บ้านนี้ เขาย่อมสามารถทำลายพวกมันทิ้งได้อย่างง่ายดาย

หลังจากที่ซูเฉินเปิดเผยกลยุทธ์ของเขา ชายชราก็ไม่สงสัยอีกต่อไป เพราะวิธีการที่ชายหนุ่มได้แสดงให้เห็นนั้นสามารถทำลายการป้องกันของพวกเขาลงได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วลมหายใจอย่างแน่นอน ชายชราตะโกนอย่างรวดเร็ว “เปิดประตูหมู่บ้านและเชิญแขกผู้มีเกียรติของเราเข้ามา !”