บทที่ 46 ติดต่อ (2)
ประตูหมู่บ้านเปิดออกและผู้คนมากมายต่างหลั่งไหลออกมาจากด้านใน
ชายชราผู้เป็นหัวหน้าประสานมือของเขาและกล่าวว่า “ข้าซิ่วฉาเล่อเป็นหัวหน้าหมู่บ้านแห่งนี้ ยินดีที่ได้พบท่านผู้จัดการความรู้ซู ต้องขออภัยในความหยาบคายของข้าเมื่อครู่”
“หัวหน้าหมู่บ้านฉาเล่อสุภาพเกินไปแล้ว พวกข้าต่างหากที่หยาบคายไป และยังไปฆ่าสัตว์อสูรที่พวกเจ้าฝึกมาเสียอีก ข้ายินดีที่จะชดเชยในส่วนนั้นให้” ซูเฉินตอบ
เมื่อได้ยินเรื่องของการชดเชย ดวงตาของชายชราก็สว่างขึ้นทันที “ข้ารู้อยู่แล้วว่าผู้จัดการความรู้ซูเป็นเพื่อนที่ดี มา ๆ รีบเข้ามาด้านในเถิด”
ก่อนหน้านี้ อีกฝ่ายมองพวกเขาเป็นเหมือนศัตรูที่ทรงพลังแต่ก็ยังไม่พูดอะไรเช่นนี้ มาตอนนี้กลับมีท่าทีตื่นเต้นมากขึ้นมาทันทีที่เขากล่าวถึงค่าตอบแทน
เหล่าชาวบ้านไม่มีความรู้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่มีความคิดของตัวเอง การแสวงหาผลประโยชน์นั้นไม่มีที่สิ้นสุด ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือรูปแบบผลประโยชน์ที่ผู้คนเลือกที่จะให้ความสำคัญ
ซูเฉินไม่ได้รีบร้อน เขาพูดคุยสนทนากับฉาเล่อ ค่อย ๆ ทำความเข้าใจกับสถานการณ์ของหมู่บ้านในขณะที่สังเกตทุกสิ่งรอบตัวไปด้วย
หมู่บ้านแห่งนี้ถูกเรียกว่า หมู่บ้านสราญรมย์
ชื่อนี้นับว่ามีความหมายดี แต่น่าเสียดายที่สถานการณ์จริงดูจะไม่ค่อยตรงกันเสียเท่าไหร่
ดูจากโดยรอบแล้ว จำนวนของคนในหมู่บ้านหมู่บ้านสราญรมย์นั้นน่าจะมีกันอยู่ไม่เกิน 300 คน ที่ใจกลางหมู่บ้านมีสัตว์อสูรขนาดมหึมาอยู่ 2 ตัว ทั้งยังเป็นสัตว์อสูรระดับยอดด้วย ตอนนี้พวกมันกำลังนอนผ่อนคลายอยู่บนพื้นอย่างสบาย ๆ
หลังจากที่ซูเฉินได้สอบถามดู เขาก็ได้รู้ว่าแต่เดิมมีสัตว์ร้ายระดับยอดอยู่ที่นี่ 3 ตัว ชาวบ้านไม่จำเป็นต้องคอยให้อาหารพวกมันทุกวัน พวกมันจะออกไปหาอาหารและกลับมาด้วยตัวเอง
ซูเฉินรู้สึกประหลาดใจกับเรื่องนี้อย่างเงียบ ๆ
การให้อาหารเป็นเงื่อนไขพื้นฐานสำหรับการฝึกสัตว์อสูรให้เชื่อง เพราะในกรณีที่พวกมันจำต้องพึ่งพาผู้ฝึกเท่านั้น พวกมันถึงจะฟังของเจ้าของ
โดยทั่วไปแล้วมนุษย์จะควบคุมสัตว์อสูรด้วยการควบคุมแหล่งอาหารของพวกมัน นี่เป็นวิถีปฏิบัติที่มีมานานหลายพันปีแล้ว แต่ตอนนี้กลับมีสัตว์อสูรบางตัวสามารถควบคุมได้โดยไม่พึ่งพาการควบคุมเช่นนั้น ช่างเป็นเรื่องที่น่าสนใจและน่าศึกษามาก
อย่างไรก็ตามซูเฉินรู้ดีว่านี่เป็นหนึ่งในความลับของหมู่บ้าน และมันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะถามออกไปตรง ๆ เขาจึงเลือกที่จะใช้วิธีอื่น “หัวหน้าหมู่บ้านฉาเล่อ ดูเหมือนว่าพวกเจ้ากับตระกูลสายเลือดชั้นสูงของเมืองธารน้ำใส กำลังอยู่ในช่วงสงครามการค้างั้นหรือ ? เกิดอะไรขึ้นกัน ? พวกเจ้าวางแผนที่จะทำธุรกิจต่อหรือไม่ ?”
ฉาเล่อตอบว่า “เฮ้อ เดิมเรื่องนี้มันเกิดขึ้นก็เพราะการเริ่มต้นทำธุรกิจนี่แหละ ตั้งแต่ที่ผู้จัดการความรู้ซูมาที่ป่าแม่น้ำตะวันตกนี้ ท่านก็คงจะทราบว่าป่าแห่งนี้เป็นอย่างไรมาบ้างแล้ว”
ซูเฉินพยักหน้า “ก็พอเข้าใจคร่าว ๆ ภูมิประเทศของป่าแม่น้ำตะวันตกนั้นมีความซับซ้อนและเต็มไปด้วยอันตราย ไม่เพียงแค่จะมีสัตว์อสูรออกอาละวาดที่นี่เท่านั้น แต่ยังมีคำสาปลึกลับบางอย่างที่ทำให้ผู้ที่ไม่ใช่คนในพื้นที่ผ่านเข้ามาได้อย่างยากลำบากอยู่ด้วย”
“ใช่แล้ว ! ในเมื่อผู้จัดการความรู้ซูสามารถเข้ามาที่นี่และสังหารเทพ … สัตว์อสูรได้ มันก็แสดงให้เห็นแล้วว่าท่านนั้นมีความสามารถซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่มี และเพราเหตุนั้นป่าแห่งนี้จึงอุดมไปด้วยทรัพยากรต่าง ๆ หากคนพวกนั้นต้องการเก็บเกี่ยว พวกมันก็จำเป็นต้องพึ่งพาพวกเราชาวพื้นเมือง”
“ถูกต้อง อย่างไรก็ดี เจ้าที่เป็นชาวพื้นเมืองของแม่น้ำตะวันตก ดังนั้นทรัพยากรในที่แห่งนี้ก็ควรจะเป็นของพวกเจ้า บุคคลภายนอกจะมาอ้างสิทธิ์ได้อย่างไร ?” ซูเฉินกล่าวขณะที่เขาชื่นชมพวกเขาพร้อมกับชี้ให้เห็นจุดอ่อน
“นั่นแหละคือสิ่งที่ข้ากล่าวถึง !” ชายชรารู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที “เพราะอย่างนั้น เราก็ควรจะสามารถขายทรัพยากรของที่นี่ ในแม่น้ำตะวันตกแห่งนี้ ได้ในราคาที่เราตัดสินใจสิ จริงหรือไม่ ?”
“แน่นอน” ซูเฉินเริ่มที่จะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้ว
“แต่มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น” หัวหน้านักรบที่อยู่ใกล้ ๆ กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธ “ผู้มีอำนาจในการกำหนดราคาทรัพยากรเหล่านี้ เป็นพวกตระกูลสายเลือดชั้นสูงอยู่เสมอ ราคาที่พวกเขาตั้งไว้คือราคาที่เราต้องขาย สมุนไพรชั้นสูงที่สามารถขายได้ถึง 100 ตำลึงทองข้างนอกนั่น เรากลับต้องขายให้มันในราคาเพียง 1 ตำลึง !”
“ราคาแตกต่างกันมากขนาดนั้นเชียวหรือ ?” ซูเฉินรู้สึกตกตะลึงกับความแตกต่างนี้
“ใช่ ! ตอนแรกเราไม่รู้เลยว่าราคาตลาดของด้านนอกเป็นอย่างไรจึงถูกพวกมันโกง แต่นั่นก็เป็นเพราะเรายังไม่รู้ ทว่าหลังจากที่ได้รู้ราคาตลาดแล้ว เราก็พยายามเจรจาที่จะกับพวกมันเพื่อขอขึ้นราคา แต่พวกมันก็ปฏิเสธเงื่อนไขของเรา”
“แล้วเหตุให้พวกเจ้าจึงไม่ขายให้คนอื่นเล่า ?” ซูเฉินถาม
“ข้าก็คิดเช่นนั้น แต่ตลาดของเมืองธารน้ำใสถูกควบคุมโดยพวกมันทั้งหมด มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะไปขายให้คนอื่น !” ฉาเล่อถอนหายใจ
เมืองที่ใกล้กับป่าแม่น้ำตะวันตกมากที่สุดคือเมืองธารน้ำใส แต่เหล่าตระกูลสายเลือดชั้นสูงก็ได้ควบคุมธุรกิจเกือบทั้งหมดในเมืองธารน้ำใสไปแล้ว ตั้งแต่เรือบรรทุกสินค้า ท่าเรือ ไปจนถึงร้านค้า ทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเขา
หากทรัพยากรจากป่าแม่น้ำตะวันตกต้องการจะเข้าสู่ตลาดของเมืองธารน้ำใส พวกมันจะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของตระกูลสายเลือดชั้นสูง นับตั้งแต่ตอนที่สินค้าถูกบรรทุกลงเรือของพวกเขา
หากไม่ได้รับอนุญาตจากตระกูลสายเลือดชั้นสูง สินค้าของพวกเขาก็ไม่สามารถขึ้นเรือได้ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะหาวิธีเอามันขึ้นเรือได้ แต่ก็ไม่สามารถขนถ่ายสินค้าลงที่ท่าเทียบเรือได้อยู่ดี และแม้ว่าพวกเขาจะขนถ่ายของขึ้นที่ท่าเทียบเรือได้ก็ตาม มันก็จะไม่มีเจ้าของร้านคนไหนกล้าขายสินค้าของพวกเขา
ในทำนองเดียวกัน พวกเขาจำเป็นก็ยังจำเป็นที่จะต้องใช้เงินที่ได้จากการขายทรัพยากร ไปซื้อของกินของใช้จากร้านค้าภายใต้ตระกูลเหล่านั้นอยู่ดี กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะแก้ปัญหาก่อนหน้านี้ทั้งหมด แต่ก็ยังไม่สามารถซื้ออะไรด้วยเงินจำนวนนั้นได้อยู่ดี
ด้วยการผูกขาดตลาดของตระกูลสายเลือดชั้นสูง จึงสามารถบังคับให้ชาวบ้านในป่าแม่น้ำตะวันตกขายทรัพยากรให้กับพวกเขาได้
“แล้วได้ลองไปเมืองอื่นดูหรือยัง ?”
“ข้าลองมาแล้ว ทว่ามันก็น่าเสียดายที่เราไม่มีเรือ และแม่น้ำที่นี่ก็เต็มไปด้วยโจรสลัด โจรสลัดเหล่านั้นบางก็ถูกตระกูลสายเลือดชั้นสูงควบคุม บางก็รับค่าตอบแทนมาจากพวกมัน เราเคยทำงานอย่างหนักเพื่อสร้างเรือและส่งสินค้าไปยังเมืองอื่น แต่ในท้ายที่สุดคนทั้งหมดก็โจรสลัดถูกฆ่าทิ้งก่อนที่จะไปถึงเมือง ก่อนที่ตระกูลสายเลือดชั้นสูงเหล่านั้นก็ส่งศีรษะของพวกนั้นกลับมาให้เรา”
“ชั่วช้า !” ซูเฉินถึงกับตะลึง
วิธีการของตระกูลสายเลือดชั้นสูงเหล่านั้นเทียบได้กับการผูกขาดเส้นทางสู่ตลาดทั้งหมด เพื่อให้ได้ผลกำไรที่ไม่ถูกไม่ควร และในฐานะเจ้าของทรัพยากร ผู้ผลิต ก็ทำได้เพียงก้มหน้ายอมรับการแสวงหาผลประโยชน์ที่ชั่วร้ายนี้เท่านั้น
แต่ถึงกระนั้นชาวบ้านที่ดื้อรั้นก็ไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ พืชผลที่พวกเขาปลูกและเก็บเกี่ยวตลอดจนสัตว์ที่เลี้ยงไว้หรือล่ามา ก็ช่วยให้พวกเขาลดการพึ่งพาโลกภายนอกลงได้
พวกเจ้าอาจควบคุมตลาดได้ แต่พวกข้านั้นควบคุมการผลิตได้ !
พวกเขาอาศัยวิธีนี้ในการตอบโต้ฝ่ายตรงข้าม
เมื่อแรงกดดันทางการค้าเหล่านี้ ถูกนำไปใช้จนถึงจุดที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่สามารถทนต่ออีกฝ่ายได้อีกต่อไป สิ่งที่มักเกิดขึ้นทันทีหลังจากนั้นคือการปะทะกันที่รุนแรงและนองเลือด
ตระกูลสายเลือดชั้นสูงต่างเดือดดาลจากการที่ชาวบ้านไม่เต็มใจที่จะร่วมมือ
พวกเขาจึงได้เริ่มส่งคนเข้าไปในป่าและโจมตีชาวบ้านโดยตรง
แม้ว่าคำสาปของป่าแม่น้ำตะวันตกจะน่ากลัว แต่ตระกูลสายเลือดชั้นสูงเองก็ทำงานในป่านี้มาหลายปีแล้ว และก็พอจะรู้เรื่องของหมู่บ้านแม่น้ำตะวันตกอยู่เล็กน้อย ทั้งยังรู้ความลับบางอย่างเกี่ยวกับคำสาปด้วย
ถึงพวกเขาจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงคำสาปได้ทั้งหมด ทว่าพวกเขาก็มีมาตรการป้องกันซึ่งสามารถลดโอกาสที่จะถูกสาปลงได้อย่างมาก
ตราบใดที่ยังมีคนกล้าตาย มันก็ไม่ใช่ปัญหาที่จะบุกเข้าไปในป่า
นั่นทำให้การป้องกันตามธรรมชาติของป่านี้มีประสิทธิภาพน้อยลงอย่างมาก
ผู้ฝึกยุทธ์ในป่าแม่น้ำตะวันตกพยายามต่อต้านตระกูลสายเลือดชั้นสูง และป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายแย่งชิงความมั่งคั่งที่พวกตนทำงานอย่างหนักเพื่อหามาไป แต่พวกเขาก็ต้องพ่ายแพ้อย่างขมขื่นถึง 2 ครั้ง รวมทั้งยังสูญเสียเลือเนื้อไปอีกมาก
และเพราะชาวบ้านเหล่านี้อยู่ในถิ่นทุรกันดาร จึงไม่มีใครคิดที่จะผูกคอตายเพื่อพวกเขาเช่นกัน
ผลก็คือชาวบ้านในพื้นที่ก็ทำได้เพียงก้มหน้า และปล่อยให้อีกฝ่ายหาประโยชน์จากพวกเขาต่อไป
อย่างไรก็ตามในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สถานการณ์เหล่านี้กลับเปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหัน
ชาวบ้านทั้งหมดได้รวมตัวกันอีกครั้ง เพื่อเปิดฉากต่อสู้กับตระกูลสายเลือดชั้นสูง
ซึ่งสาเหตุของเรื่องนี้นั้น มันก็เป็นเพราะพวกเขาได้รับทักษะบางอย่าง ที่ทำให้พวกเขาสามารถควบคุมสัตว์อสูรได้นั่นเอง !