บทที่ 53 วงรัศมีทองบริสุทธิ์ แสบตามาก

บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน

บทที่ 53 วงรัศมีทองบริสุทธิ์ แสบตามาก!
“เจ้าจะบอกไม่บอก บอกหรือไม่บอก บอกหรือไม่บอก!”

ห้องลับใต้ดินอันอึมครึมมีไม้กางเขนตั้งอยู่ บนไม้กางเขนนี้มัดบุรุษสวมอาภรณ์แพรไหมคนหนึ่งไว้ บนใบหน้าเขาเต็มไปด้วยรอยฝ่ามือ โดนทุบจนหัวปูดโนไปหมด

คุณชายซ่งถือแส้หนังในมือ ยืนอยู่หน้าบุรุษด้วยความหลงระเริง เขาจะตบหรือไม่ก็ดีดหน้าผากบุรุษสวมอาภรณ์แพรไหมตลอด

“เหอะๆ ไอ้สารชั่วไม่รู้จักฟ้าสูงดินต่ำ ไม่อยากเชื่อว่าจะกล้าปลอมตัวเป็นองค์ชายเสิ่นเอ้าต่อหน้าข้า คงจะคิดไม่ถึงละสิ! ข้าก็เคยพบองค์ชายเสิ่นเอ้ามาก่อนเหมือนกัน

อีกทั้งเคยประมือกับองค์ชายเสิ่นเอ้า สามร้อยกระบวนท่ายังตัดสินแพ้ชนะไม่ได้ วิชาวิญญาณเหนือชั้นและใบหน้าอันหล่อเหลาเป็นเอกขององค์ชาย ต่อให้มองไปทั้งอาณาจักรต้าเหยียนก็ไม่เป็นสองรองใคร คิดหรือว่าสารเลวอย่างเจ้าจะปลอมเอกลักษณ์ของเขาได้

ข้าขอแนะนำให้เจ้ารีบสารภาพผิดมาก่อนดีกว่า! ไม่อย่างนั้นได้แสบเนื้อหนังแน่”

คุณชายซ่งพูดไปพลาง ลงมืออย่างมีความสุขไปพลาง ทั้งยังดีดกะโหลกและใช้หลังมือตบเสิ่นเอ้าตลอด

อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย เขาตบตีอย่างหนักจนเจ้าเด็กคนนี้กลายเหมือนคนสมองฟั่นเฟือน

ความรู้สึกที่ได้ปลดปล่อยอย่างอิสระเช่นนี้ช่างมีความสุขเสียจริง

ตอนนี้ คุณชายซ่งเริ่มเข้าใจความสุขของบิดาแล้ว

มิน่าตาแก่นั่นถึงเอะอะก็ด่าว่าไอ้โง่ ทั้งยังทุบตีข้าอีก ที่แท้ความรู้สึกที่ได้ตีลูกชายอย่างไร้เหตุผลมันมีความสุขเช่นนี้นี่เอง

ทันใดนั้น ในใจคุณชายซ่งมีความคิดหาญกล้าผุดขึ้นมา ไม่รู้ว่าถ้าจับเจ้านี่ใส่ชุดบิดา แปลงโฉมเป็นบิดาแล้วทุบตี จะมีความสุขกว่านี้หรือไม่!

……….

“เจ้าเด็กสารเลวนั่น สอบสวนเป็นอย่างไรบ้าง”

ชั่วขณะที่คุณชายซ่งกำลังคิดเพ้อเจ้ออยู่นั้น เสียงเถ้าแก่ซ่งดังขึ้นนอกห้องใต้ดิน ทำเอาคุณชายซ่งตกใจจนขนหัวลุก ถอยไปข้างๆ ด้วยสีหน้าขาดความมั่นใจ

“คือว่าท่านพ่อ ข้าโบยลงโทษเจ้านี่อย่างหนักมาครึ่งชั่วยามแล้ว แต่มันปากแข็งจริงๆ ไม่พูดเลยสักคำ”

เถ้าแก่ซ่งชำเลืองตามองอาภรณ์ที่ยังไม่เสียหายแม้แต่น้อยของเสิ่นเอ้า ก่อนจะมองรอยฝ่ามือและรอยดีดบนใบหน้าของเจา จากนั้นมองคุณชายซ่งด้วยสีหน้าโมโหขึ้นทีละน้อย

“ไม่โบยแส้สักที แค่ตบหน้าดีดกะโหลก นี่เรียกว่าโบยลงโทษอย่างหนักรึ”

คุณชายซ่งพูดด้วยความคับอกคับใจ “ก็ข้าอยู่กับท่านมาตั้งแต่เด็ก ยังไม่เคยสอบสวนคนร้ายเลย!”

“เจ้าคนไร้อนาคต” เถ้าแก่ซ่งแค่นเสียงขึ้นจมูก “เอาแส้มาให้ข้า!”

เถ้าแก่ซ่งแย่งแส้จากในมือบุตรชายมาแล้วสูดลมหายใจเข้าลึก

กล่าวตามจริง เขาเองก็เพิ่งเคยโบยลงโทษอย่างหนักเป็นครั้งแรกเช่นกัน ไม่มีประสบการณ์อะไรเป็นพิเศษจริงๆ!

เถ้าแก่ซ่งครุ่นคิดแล้วทำเสียงฮึ “ข้าจะให้โอกาสเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ไอ้ชั่ว สารภาพมาเถอะ! ไม่อย่างนั้นแส้นี่ไม่มีดวงตามองเห็นหรอกนะ”

บนใบหน้าปูดบวมของเสิ่นเอ้าเต็มไปด้วยความคับแค้นใจ

ตอนนี้ สายตาของเขาไร้ที่พึ่ง น่าสงสาร คับแค้นใจ เหมือนจะพูดออกมาได้เลย

ทว่าเถ้าแก่ซ่งที่มีสติปัญญาและความฉลาดทางอารมณ์เหนือกว่าบุตรชายผู้โง่เขลาอ่านแววตาของเขาออก

เพียะ!

เถ้าแก่ซ่งพลิกมือตบคุณชายซ่งไปทีหนึ่ง อีกฝ่ายถึงกับงุนงง

“ท่านพ่อ ข้าลำบากช่วยท่านสอบสวนเขา ท่านตบข้าอีกทำไม!”

คุณชายซ่งโมโหแล้ว ถึงท่านจะเป็นบิดา แต่ก็จะมาตบข้าด้วยความสนุกไม่ได้!

เชื่อหรือไม่ว่าเดี๋ยวข้าจะออกไปข้างนอก ไปทำหุ่นไล่กา ให้สวมชุดท่านแล้วแทงเข็มทุกวันเลย

เถ้าแก่ซ่งหน้าดำมืดทั้งหน้า ชี้ไปที่เสิ่นเอ้าที่ส่งเสียง ‘อือๆๆ’ ตลอด

“ไอ้ลูกโง่ เจ้าเคยเห็นใครสอบสวนคนแล้วปิดปากมันไว้บ้าง”

ครั้นได้ยินบิดาตัวเองต่อว่าด้วยความโมโห คุณชายซ่งนิ่งอึ้งไปแล้ว

เขามองไม้กางเขน เห็นหนุ่มน้อยบนไม้กางเขนร้องไห้

เขาเห็นความคับอกคับใจ ความปวดร้าว ความแค้นใจ และหลุดพ้นจากในประกายน้ำตาของหนุ่มน้อยคนนั้น

‘ในที่สุดก็มีคนพูดให้ความเป็นธรรมกับข้าสักที เจ้าพวกโง่เขลา ถามข้าอยู่นั่นแหละว่าจะพูดไม่พูด จะพูดไม่พูด จะพูดไม่พูด จะพูดไม่พูด!

เจ้าก็แกะยันต์ห้ามเอ่ยที่ยัดในปากข้าออกเสียสิ!

ห้ามเอ่ย แล้วยังจะให้ข้าสารภาพกับเจ้าอีกหรือ

จะให้ข้าสารภาพบ้าอะไร!’

……

“แค่กๆ ขออภัยด้วยน้องชาย คือว่าเพิ่งเคยสอบสวนครั้งแรกเลยยังไม่มีประสบการณ์น่ะ” คุณชายซ่งเกาศีรษะ รู้สึกเพียงว่าหน้าแดงเห่อร้อน

เขาไม่ยอมรับหรอกว่าตนเองตบหน้าดีดกะโหลกเล่นจนลืมเป้าหมายของการสอบสวน ถึงไม่ได้แกะยันต์ห้ามเอ่ยออกให้เสิ่นเอ้า

อีกอย่างใครเป็นคนประดิษฐ์ยันต์ห้ามเอ่ยนี่กัน แปะไว้ในปากมองไม่ออกเลย!

ขณะมองเถ้าแก่ซ่งกับคุณชายซ่งที่ทำหน้าเป็นผู้บริสุทธิ์ เสิ่นเอ้าน้ำตาไหลพราก

เขาพลาดแล้ว เขาไม่ควรรีบร้อนมาสวนหมื่นวิญญาณตั้งแต่แรก

ตอนนั้นที่น้องสิบสามมาหาเขาที่ตำหนักและพาตัวฉินเกาไป เขาน่าจะเปลี่ยนนางกำนัลรับใช้กับขันทีทั้งหมดเสีย โดยเฉพาะเสี่ยวหลี่จื่อที่ไปสัมผัสด้วยตรงๆ

ต้องโทษความสะเพร่าเพียงชั่ววูบของข้า ข้ายังไม่ระวังมากพอ!

…….

สลับไปอีกมุมหนึ่ง

“ฮัดชิ้ว! ฮัดชิ้ว!”

เสิ่นเทียนที่ยุ่งวุ่นมาทั้งวันกลับมาที่โรงเตี๊ยม และเริ่มเตรียมฝึกบำเพ็ญ

จู่ๆ เขาก็จามอีกแล้ว

เสิ่นเทียนเองยังจนปัญญากับเรื่องนี้ นี่เด็กสาวที่ไหนกำลังคิดถึงข้าอีกแล้ว

หลังจากทะลุมิติมาก็มีใบหน้าหล่อเหลาเหนือใคร ทั้งยังเป็นปรมาจารย์เซียนแห่งสวนหมื่นวิญญาณ จึงมีคนนึกถึงเขาในทุกๆ ช่วงเวลา

โดยเฉพาะสาวๆ ที่บ้าคลั่งพวกนั้น ทุกวันจะมาเบียดเสียดอยู่ข้างกาย

แต่ละคนต่างเอ็ดตะโรกันว่าจะมีลูกให้เสิ่นเทียน ไล่อย่างไรก็ไม่ยอมไป

เสิ่นเทียนรู้สึกเป็นทุกข์กับเรื่องนี้จริงๆ

ถ้าไม่ใช่เพราะจะชะล้างดวงชะตา หลุดพ้นจากวงรัศมีดวงซวยนี่ละก็ เขาคงออกจากสวนหมื่นวิญญาณไปหาที่เงียบๆ ฝึกบำเพ็ญชั่วคราวนานแล้ว

ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นโลกแห่งการบำเพ็ญเซียนที่มีอันตรายอยู่ทุกที่ ไปให้ถึงระดับมหายานก่อนถึงจะถือว่าปลอดภัย

เสิ่นเทียนยังไม่ขาดแคลนทรัพยากรการบำเพ็ญในเวลานี้ ว่ากันตามตรงก็ไม่อยากคุยโวมากนัก เพราะจากที่อ่านนิยายมาเยอะ ตัวเอกมักจะเก่งเรื่องเสแสร้งโดยเฉพาะ

เสิ่นเทียนมักจะรู้สึกว่าช่วงนี้ตนเองขี้โม้มากเกินไป

ถ้าเกิดวันใดมีพระเอกฟ้าลิขิตก้าวออกมา แล้วเซ่นตนให้แก่สวรรค์ล่ะจะทำอย่างไร

ภพก่อนเก่งแต่ปาก เมื่อทะลุมิติมาโลกบำเพ็ญเซียนจริงๆ ก็อย่าหลงระเริงมากไปจะดีที่สุด

ต้องอยู่เงียบๆ ไปก่อน รอไร้พ่ายใต้หล้าก่อนแล้วค่อยออกไปไม่ดีกว่าหรือ

……

เสิ่นเทียนจัดการความคิดยุ่งเหยิงในใจ แล้วหยิบลูกประคำออกมาจากอกเสื้อ

ตอนที่เสิ่นเทียนช่วยผู้มีวาสนาค้นวิญญาณประเมินแร่ จิ่วเอ๋อร์สูบกินศิลาวิญญาณอยู่ตลอด แม้ว่าจุดที่แตกจะยังอีกนานกว่าจะสมานแผล ทว่าตรวจสอบดูแล้วก็ดีกว่าเมื่อก่อนมาก

“กินศิลาวิญญาณถุงนั้นหมดแล้ว เร็วมาก!”

เสิ่นเทียนมองเศษผงในถุง อดส่ายหน้ายิ้มแห้งมิได้ ดีที่เขายังมีเก็บสะสมส่วนตัวเอาไว้บ้าง ไม่อย่างนั้นเลี้ยงภูตสาวตนนี้ไม่ไหวจริงๆ

เขาหยิบศิลาวิญญาณถุงหนึ่งมาจากในแหวนเวหา แล้วใส่ลูกประคำเข้าไป

จิ่วเอ๋อร์ที่กระหายจนแทบทนไม่ไหวมานานเริ่มสูบกินอย่างบ้าคลั่งทันที

ทันใดนั้นเอง จิ่วเอ๋อร์เหมือนสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง

นางหยุดสูบกินศิลาวิญญาณ ทั้งใบหน้าภูตผีดูตระหนกและหวาดกลัวอย่างยิ่ง

“นายท่าน ข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายน่าสะพรึงกำลังใกล้เข้ามา!”

ร่างวิญญาณของจิ่วเอ๋อร์พลันลอยล่องไม่มั่นคง ดูหวาดกลัวสุดขีด

เสิ่นเทียนหน้าเปลี่ยนสีเช่นกัน “หรือว่าจะเป็นคนของลัทธิวิญญาณร้าย”

พอนึกถึงตรงนี้ เสิ่นเทียนรีบหยิบป้ายคำสั่งเจ้ากระบี่ออกมาจากในอกเสื้อ

กึก!

ประตูห้องเสิ่นเทียนถูกเปิดออก

วงรัศมีที่เปล่งแสงทองทุกส่วนและสว่างจ้าแสบตายิ่งกว่าดวงตะวันปรากฏขึ้นตรงหน้าเสิ่นเทียน

ยามนี้ กระทั่งเสิ่นเทียนก็ยังรู้สึกแสบดวงตาเล็กน้อย

เป็นแสงแห่งโชคที่ทรงพลังยิ่งนัก!

……………………………