มันมีบันทึกอาลักษณ์จากฤดูเหมันต์ของปีที่สิบเจ็ดจากรอบหกสิบปี มันบรรยายถึงเหตุการณ์ที่ภูเขาหยกแห่งมหาวิทยาลัยจักรวรรดิทรุดจมลงไปยี่สิบแปดวาเมื่อมีเพลงไฟสีแดงฉานพวยพุ่งออกมาจากหลุมยุบที่ใจกลางอันมีรัศมีแปดร้อยลี้ อันเป็นภาพที่ตระการตาอย่างประหลาด
แต่ทว่า อาลักษณ์มิได้บันทึกสาเหตุของปรากฏการณ์ เขาเพียงแต่ใช้ถ้อยคำอ้อมค้อมอันมีความหมายลึกซึ้งกล่าวถึงอธิการบดีฉินแห่งสถาบันนักบุญสวรรค์ที่ได้ละเลยการสอนของเขาและถูกจักรพรรดิลงโทษให้งดเบี้ยหวัดเงินเดือนเป็นเวลาสองปี ตำแหน่งขุนนางของเขาก็ถูกลดระดับจากชั้นสี่มายังชั้นห้าขั้นต่ำ
จากปากคำของผู้คนในวังหลวง มันเป็นเวลาเช้าตรู่ของวันนั้นเมื่อจักรพรรดิตื่นตระหนกจากเสียงระเบิดดังกึกก้อง เขารีบเหาะขึ้นไปเพื่อมองดูและเห็นว่าจุดที่เกิดระเบิดคือทะเลสาบมังกรหยก ปลามังกรมากมายนับไม่ถ้วนถูกกระแทกและลอยอยู่เต็มผิวทะเลสาบ ทะเลสาบมังกรหยกเองก็ขยายกว้างกว่าเดิมหลายเท่า ทั้งยังลึกขึ้นอีกเป็นทวีคูณ
จักรพรรดิโลดเต้นด้วยความเดือดดาล
จากรายงาน มีบาดแผลอยู่ที่มือของจักรพรรดิ ขณะที่เขาร้องโวยวายจะตัดหัวใครบางคน
ในเวลานั้น จักรพรรดิแบกมีดและเดินพล่านไปทั่วภูเขา แต่เขาหาตัวใครบางคนที่ว่านั่นไม่พบ เขาไปสะดุดเจอกิเลนมังกรและหีบ เขายืนป้องกันอยู่ข้างๆ ทั้งสองตัวนั้นอยู่ถึงบ่าย แต่ก็ยังไม่เห็นเงาร่างผู้คนคนนั้น เขาจึงยอมเลิกในที่สุด
ข่าวลือว่า บุคคลผู้นั้นได้หลบหนีไปเป็นพันๆ ลี้ตั้งแต่เช้าตรู่ ดังนั้นเมื่อถึงเวลาบ่าย กิเลนมังกรซึ่งเพิ่งตื่นก็ขี่หีบไปเป็นเวลาสองวันสองคืนถึงตามทัน
และยังมีข่าวลืออื่นอีกว่า จักรพรรดิได้ไปยังค่ายทหารและป้วนเปี้ยนแถวๆ ปืนใหญ่เทวะยิงตะวันอยู่ครึ่งค่อนวัน ก่อนที่จะถอนหายใจในท้ายที่สุด “ความดีความชอบของเขาก็ยังมากกว่าเรื่องที่เขาก่อ ดังนั้นโทษเขายังไม่ถึงตาย ข้าควรเพียงแค่ลดตำแหน่งเขา และงดเบี้ยหวัดเงินเดือน” หลังจากนั้น เขาก็เก็บดาบใหญ่ และจากไป
แน่นอนว่า เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นคำร่ำลือ และไม่มีทางพิสูจน์ได้ อาลักษณ์แห่งสภาราชสำนักไม่มีทางจดบันทึกข่าวลืออันไม่มีหลักฐานยืนยัน
หลังจากนั้นมากกว่าสิบวัน ฉินมู่ตั้งระหว่างเป็นตายในเมืองเขตมังกรแห่งแดนโบราณวินาศ แม่น้ำสายยาวทอดผ่านท้องฟ้า เมืองเขตมังกรได้กลายเป็นสถานที่อันเชื่อมต่อกับยมโลก และมันก็คึกคักคับคั่งเป็นระยะเวลาหนึ่ง
แต่เดิมเมืองเขตมังกรเป็นทรัพย์สมบัติของแซ่ฉิน และร้านรวงส่วนใหญ่ก็เป็นของลัทธินักบุญสวรรค์ สันตินิรันดร์จะขนส่งสินค้ามาที่นี่เพื่อขายให้กับแดนโบราณวินาศ และสินค้าของแดนโบราณวินาศก็จะถูกส่งผ่านที่นี่ไปยังสันตินิรันดร์
เมืองนี้เป็นสถานีแรกก่อนที่จะเข้าไปในแดนโบราณวินาศ ดังนั้นผู้ฝึกวิชาเทวะจึงมักจะเลือกที่นี่เพื่อลงหลักปักฐาน หลังจากที่ฉินมู่มาถึง จำนวนผู้ฝึกวิชาเทวะในเมืองเขตมังกรก็ยิ่งเพิ่มพูน และราคาสิ่งต่างๆ ก็ถีบทะยานสูงปรี๊ด ซีอวิ๋นเซี่ยงและฮู่หลิงเอ๋อลิงโลดดีใจจนยิ้มกว้างถึงใบหู
หลังจากนั้นไม่กี่วัน ก็มีเสนาบดีกระทรวงงบประมาณมาที่แดนโบราณวินาศหมายจะเก็บภาษี และถูกฉินมู่โจมตีด้วยฝีปากจนย่อยยับอัปราชัย เขาจึงกลับไปร้องเรียนต่อจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงผู้ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร่ำไห้ “แดนโบราณวินาศไม่ใช่ส่วนหนึ่งของสันตินิรันดร์ ดังนั้นเขาไม่สังหารเจ้าตอนที่เจ้าไปเก็บภาษีก็นับว่าไว้หน้าข้าอย่างมากแล้ว ตามกฎกติกาของแดนโบราณวินาศ เจ้าควรถูกตัดหัว อย่าไปตอแยเลย แดนโบราณวินาศไม่ใช่แผ่นดินของพวกเรา”
“ฝ่าบาท อธิการบดีฉินหาเงินได้ดุเดือดจนเกินไป และเศรษฐกิจในเมืองเขตมังกรก็เป็นธุรกิจใหญ่มหึมา!” เสนาบดีกระทรวงงบประมาณประท้วง “ยิ่งไปกว่านั้น ฝ่าบาทยังต้องสร้างถนนอันเชื่อมต่อระหว่างแผ่นดินตะวันตกและสันตินิรันดร์ และมันจะต้องผ่านเมืองเขตมังกร! ถนนสองเส้นที่อธิการบดีฉินวางแบบแปลนเอาไว้จะต้องผ่านที่นั่น!”
“เมืองเขตมังกรจะต้องกลายเป็นเมืองที่สำคัญทางยุทธศาสตร์อันดับหนึ่งในแดนโบราณวินาศ และความมั่งคั่งของมันก็จะเลิศล้ำในโลกหล้า! กระหม่อมคิดว่าอธิการบดีจะต้องมีเจตนาอันเห็นแก่ตัวอย่างแน่นอน หยิบยืมเงินทองของสภาราชสำนักเพื่อกรุยถนนสร้างหนทางให้แก่บ้านเกิดของเขา!”
ด้วยความรู้สึกจนปัญญา จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงมองลึกเข้าไปในดวงตาของเขา จากนั้นเขาก็กล่าวอย่างมีความนัยลึกซึ้ง “แผ่นดินตะวันตกเป็นเขาที่ไปยึดครองมา ช่วยประหยัดเงินทองและเสบียงที่จะต้องใช้ในการยาตราทัพ เขายังช่วยรักษาชีวิตทหารจำนวนนับไม่ถ้วนจากการตกตายในสงครามอีกด้วย”
“แต่ถึงอย่างไร ผู้ฝึกวิชาเทวะทั้งหมดที่ไปยังเมืองเขตมังกรก็ล้วนแต่เป็นพสกนิกรแห่งสันตินิรันดร์ของพวกเรา และหากว่าพวกเขาใช้จ่ายเงินทองที่นั่นโดยไม่อาจถูกเก็บภาษีได้ สถานที่นั้นก็จะเป็นประเทศภายในประเทศ และความมั่งคั่งของสันตินิรันดร์พวกเราก็จะไหลรั่วออกไปอย่างแน่แท้! หากว่านี่ยังดำเนินต่อไป มันจะน่ากลัวสักแค่ไหน สันตินิรันดร์ของพวกเราจะไม่มีเงินทองไว้ใช้สอย!” เสนาบดีผู้นั้นกล่าว
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงไม่รู้จะหัวเราะหรือร่ำไห้ “นักพรตเหยียนเฟิง เจ้าก็เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านพีชคณิตแห่งลัทธิเต๋า ทำไมเรื่องนี้เจ้าถึงไม่เข้าใจ”
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงยิ้มให้แก่เขา “ผู้ฝึกวิชาเทวะที่ไปยังเมืองเขตมังกรใช้เหรียญสมบูรณ์พูนสุขของสันตินิรันดร์ข้า หากว่าพวกเขาต้องการใช้จ่ายเงิน พวกเขาก็ยังต้องไปหาเงินมาจากในสันตินิรันดร์ข้า ดังนั้นมันก็ย่อมจะย้อนกลับมา”
เสนาบดีกระทรวงงบประมาณขมวดคิ้ว “แต่หากว่าเหรียญสมบูรณ์พูนสุขเข้าไปวนเวียนในแดนโบราณวินาศและไม่กลับมายังสันตินิรันดร์ล่ะ”
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงแย้มยิ้ม “หากว่าเหรียญสมบูรณ์พูนสุขสามารถเข้าไปแทนที่ทองคำ แร่เงิน และสมบัติที่ใช้จ่ายในแวดวงของแดนโบราณวินาศ นั่นก็จะยิ่งดีวิเศษ! คิดดูสิ คือสภาราชสำนักมิใช่หรือที่เป็นผู้ผลิตเหรียญ ด้วยวิธีนี้ มิใช่ว่าแดนโบราณวินาศจะตกอยู่ในควบคุมของสภาราชสำนักหรอกหรือ ไม่ใช่ว่าสภาราชสำนักเอาแต่พูดถึงความมั่งคั่งที่มีอยู่ในแดนโบราณวินาศมาตลอดหรอกหรือ”
“เมื่อเหรียญสมบูรณ์พูนสุขเข้าทดแทนทองคำและเงิน สภาราชสำนักก็จะสามารถใช้เหรียญสมบูรณ์พูนสุขซื้อเหมืองและแม่น้ำ ด้วยเหรียญสมบูรณ์พูนสุขกระจายไปทุกหนทุกแห่ง การรวมแดนโบราณวินาศให้เป็นปึกแผ่นก็อยู่ไม่ไกล!”
เสนาบดีกระทรวงงบประมาณจนด้วยคำพูด
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงโยนฎีกาของเขาออกไปและยืนขึ้นมองออกไปข้างนอกด้วยสายตาลึกล้ำ “โดยมิต้องใช้กำลังทหาร ใช้เพียงแค่เหรียญสมบูรณ์พูนสุขเพื่อได้มาซึ่งแผ่นดินอันมั่งคั่งอย่างแดนโบราณวินาศ กำไรดีๆ แบบนี้เรายังจะไปหาจากที่ไหนได้อีก เจ้านั้นยังคิดทื่อๆ เถรตรงเกินไป คิดว่าการที่เงินทองหลั่งไหลเข้าไปในแดนโบราณวินาศเป็นเรื่องแย่ เจ้าไม่รู้วิธีการใช้เงินตราเพื่อรวมแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่น อันเป็นการรุกรานที่เปี่ยมศิลปะที่สุด”
“เพื่อปกครองประเทศ ผู้ปกครองมิอาจกังวลเพียงแค่การได้เสียเล็กๆ น้อยๆ แต่จะต้องมองออกไปไกลๆ หลายสิบปีและหลายร้อยปีในอนาคต เมื่ออธิการบดีต้องการแสวงหาเงินทอง มันเป็นเงินเพียงแค่ไม่กี่เหรียญ เมื่อข้าต้องการแสวงหาเงินทอง มันเป็นภูเขาและแม่น้ำ เป็นการที่ไม่มีโลหิตติดกระบี่ของไพร่พล เป็นการช่วยเหลือไพร่ฟ้า และเป็นการรวบรวมเศรษฐกิจให้เป็นปึกแผ่น!”
เสนาบดีกระทรวงงบประมาณจึงยอมศิโรราบ “ถ้อยคำของฝ่าบาทสามารถใช้สั่งสอนไปถึงอนุชนรุ่นหลัง”
ในเมืองเขตมังกร ฉินมู่มองไปยังผู้ฝึกวิชาเทวะที่แออัดจอแจไปทั่วหัวมุมถนน และพ่อค้ามากมายที่ไปๆ มาๆ ไม่หยุดหย่อน ผู้คนแห่งสันตินิรันดร์เหล่านี้ได้ทำให้เมืองเขตมังกรมีชีวิตชีวาขึ้นมาหลายเท่าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“หากว่าราชครูสามารถนำผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งแผ่นดินตะวันตกมากรุยถนนและเปิดเส้นทางระหว่างแผ่นดินตะวันตกกับสันตินิรันดร์ ผู้คนในแดนโบราณวินาศก็จะไม่ต้องใช้ชีวิตอย่างยากแค้นอีกต่อไป”
ฉินมู่คิดคำนวณ เวลาผ่านไปเกือบจะหนึ่งเดือนแล้วตั้งแต่เมื่อราชครูสันตินิรันดร์ได้นำผู้คนจากโถงวิศวกรรมไปยังแผ่นดินตะวันตก ดังนั้นพวกเขาน่าจะได้พลิกทะเลทรายให้กลายเป็นทุ่งขจีไปแล้ว
โดยใช้ลูกแก้วมังกรเขียวแห่งแผ่นดินตะวันตก พวกเขาก็สามารถสำเร็จสิ่งนั้นได้อย่างง่ายดาย หลังจากนั้น พวกเขาก็จะต้องสร้างธารน้ำโดยการชักนำน้ำมาจากหิมะบนภูเขา เข้าไปในทะเลทรายเพื่อให้พืชพรรณอันดกดื่นยังชีวิตอยู่ได้และงอกงามต่อไป
หากว่าโถงวิศวกรรมสามารถเจาะอุโมงค์เข้าไปในภูเขาไปยังทิศใต้ของทะเลทราย พวกเขาก็จะสามารถชักนำไอน้ำเหนือทะเลใต้มายังฟากเหนือ ด้วยวิธีนั้น ทะเลทรายก็จะไม่ขาดแคลนน้ำ และก็ไม่ต้องกังวลว่าจะหาฝนและหิมะมาจากที่ไหน
ภายในเวลาไม่กี่ปี ทะเลทรายเพลิงโหมก็จะเหลือแค่ชื่อ
หลังจากที่ถนนถูกถางเปิด แผ่นดินตะวันตก แดนโบราณวินาศ และสันตินิรันดร์ก็จะเชื่อมต่อกันด้วยถนนอันราบเรียบไร้สิ่งกีดขวาง พ่อค้าก็จะเดินทางผ่านเมืองใหญ่น้อยในแดนโบราณวินาศ และผู้คนในแดนโบราณวินาศก็จะมั่งมีขึ้นมาเช่นกัน
“หมอเทวดาฉิน ข้าได้ยินว่าเจ้าคือคนจากแดนโบราณวินาศ” ซิงอ้านที่ยืนข้างหลังเขาขัดจังหวะความคิด “เจ้าเป็นบุคคลแห่งแดนโบราณวินาศ แต่ก็ยังชักนำอิทธิพลอำนาจของจักรวรรดิสันตินิรันดร์เข้ามาที่นี่ เจ้าคือคนบาป”
“ในแดนโบราณวินาศไม่มีประเทศ ข้าจะเป็นคนบาปได้อย่างไร” ฉินมู่ฉงนฉงาย “ผู้คนในแดนโบราณวินาศใช้สอยทรัพยากรที่นี่เป็นอย่างดีโดยปราศจากเจ้าเหนือหัว ต่อให้จักรวรรดิสันตินิรันดร์เข้ามา ผู้คนจากที่นี่ก็ยังคงเป็นผู้คนแห่งแดนโบราณวินาศอยู่ดี อาคันตุกะไม่อาจมาเป็นเจ้าบ้านได้ ก็ในเมื่อพวกเขาต้องทำตามกฎกติกาของแดนโบราณวินาศ นั่นคือหนทางเดียวที่จะมีชีวิตรอดที่นี่ ไม่ใช่การปฏิบัติตามกฎของจักรพรรดิ”
ซิงอ้านส่ายหัว “ข้ามิได้ปฏิสัมพันธ์กับจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงมากมาย แต่ก็ยังพอเห็นว่าเขามีความสามารถและแผนการอันเยี่ยมยอด เขาจะรวบรวมแดนโบราณวินาศให้เป็นปึกแผ่นในอนาคต เมื่อเวลานั้นมาถึง เจ้าจะต้องเสียใจ”
ฉินมู่แย้มยิ้ม “หากว่าจักรพรรดิบังอาจลงมือกับแดนโบราณวินาศ เขาก็จะนั่งบนบัลลังก์ได้ไม่นาน เจ้าก็รู้ว่าแดนโบราณวินาศนั้นน่าสะพรึงกลัวแค่ไหน รูปสลักหินเหล่านี้…” เขากล่าวพลางชี้ไปยังวิหารทั้งหลายในเมืองเขตมังกร
“พวกเขากำลังรอเสียงเพรียกขานให้ฟื้นคืนชีพอีกครั้ง เมื่อพวกเขาฟื้นขึ้นมา โลกก็จะพลิกคว่ำ สันตินิรันดร์ไม่มีวันได้เป็นเจ้าของแดนดินแห่งนี้ ในเมื่อมันเป็นของผู้อื่น”
สายตาของเขาวูบวาบด้วยรอยยิ้ม “ข้าเพิ่งขับไล่เสนาบดีกระทรวงงบประมาณกลับไป และจักรพรรดิก็ยังคงไม่มาหาเรื่องข้า ดังนั้นข้าจึงมองเห็นแผนการของเขาได้แจ่มชัด เพียงแต่ว่าความคิดและแผนการของเขาเป็นสิ่งที่เปล่าดายไร้ประโยชน์ หากว่าจักรพรรดินี้สามารถเหนือล้ำไปกว่าจักรพรรดิก่อตั้งได้ แผนของเขาก็อาจจะกลายเป็นจริง ไม่เช่นนั้นมันก็เป็นไปได้เพียงแค่มายาภาพ ข้ากำลังจะไปปัดกวาดหลุมศพ ศิษย์พี่ซิงอ้านจะไปด้วยหรือไม่”
ซิงอ้านปรายตามองหีบที่งอกเงยขาออกมา จากนั้นก็เบือนสายตาไป “ข้าจะตามไปทุกๆ ที่ที่เจ้าไป ข้าจะผละไปก็ต่อเมื่อค้นพบตัวบุคคลที่ข้าตามหาเท่านั้น”
ฉินมู่ขมวดคิ้ว “เช่นนั้นข้าค่อยไปปัดกวาดสุสานหลังจากที่ท่านจัดการธุระเสร็จแล้ว”
โถงกษัตริย์มนุษย์นั้นเป็นความลับที่มีแต่อดีตกษัตริย์มนุษย์เท่านั้นจะล่วงรู้ได้ เมื่อมีซิงอ้านอยู่ข้างๆ เขาย่อมมิอาจมุ่งหน้าไปยังโถงกษัตริย์มนุษย์ มิเช่นนั้นตำแหน่งที่ตั้งของมันก็จะถูกเปิดโปง และชักนำเรื่องยุ่งยากที่ไม่จำเป็น
อีกอย่าง ใครจะรู้ว่าซิงอ้านอาจจะนึกคึกขุดเอาศพของอดีตกษัตริย์มนุษย์ขึ้นมาสะสม?
อีกสิบกว่าวันให้หลัง สภาราชสำนัก ลัทธินักบุญสวรรค์ สำนักเต๋า วัดใหญ่ฟ้าคำราม และกลุ่มอำนาจอื่นๆ ก็ได้รวบรวมข้อมูลของบุคคลที่ถือกำเนิดในเวลาที่ซิงอ้านระบุมา มีผู้คนมากมายถึงสามหมื่น
ขุนนางที่มาส่งข้อมูลข่าวสารกล่าว “ข้อมูลจากทุ่งหญ้า ที่ราบน้ำแข็ง และแผ่นดินตะวันตก ยังรวบรวมไม่แล้วเสร็จดี”
ซิงอ้านมองไปที่ม้วนกระดาษกว่าสามหมื่นและอดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงน้ำหนักอันกดทับลงมาบนบ่า ผ่านไปสักพัก เขากล่าว “บุคคลที่ข้าตามหาเป็นบุรุษ ดังนั้นแยกผู้หญิงออกจากผู้ชาย”
ขุนนางนั้นรีบออกคำสั่งแก่ผู้ใต้บัญชา และเมื่อทุกอย่างถูกคัดแยกเรียบร้อย เขาก็กล่าว “มีบุรุษทั้งหมดหนึ่งหมื่นเจ็ดพันคน และมีเพียงแปดพันคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ส่วนใหญ่แล้วตายในการต่อสู้และภัยพิบัติ”
ผ่านไปสักพัก ซิงอ้านกล่าว “คัดแยกพวกที่ไม่ใช่ผู้ฝึกวิชาเทวะออกไป”
ขุนนางออกคำสั่งอีกครั้ง และใช้ขุนนางทั้งหลายแห่งกระทรวงงบประมาณจัดจำแนกข้อมูลอีกครา ผ่านไปสักพัก เขาก็รายงาน “มีผู้ฝึกวิชาเทวะสี่ร้อยคนที่ยังเหลืออยู่”
ซิงอ้านนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว “ตรวจสอบดูว่าตอนที่ผู้คนสี่ร้อยคนนี้ถือกำเนิด มีปรากฏการณ์ผิดธรรมดาหรือไม่ ข้ากำลังมองหาผู้ฝึกวิชาเทวะที่มีจี้หยก”
ขุนนางนั้นจึงสั่งให้ตรวจสอบชายทั้งสี่ร้อยคน
ฉินมู่เฝ้ามองกระบวนการด้วยความสงสัยที่ทวีขึ้นมาในหัวใจ ทุกครั้งที่ซิงอ้านออกคำสั่ง เขาลังเลราวกับว่าไม่ใช่เขาที่กำลังออกคำสั่งนั้น เหมือนกับว่าเขากำลังรับฟังคำพูดของคนอื่นอีกทอด
จริงสิ เขากระโดดลงไปจากสะพานแห่งความจนปัญญาและจมลงไปในแดนใต้พิภพ อันยิ่งอันตรายร้ายกาจกว่ายมโลก สัตว์ประหลาดที่ท่วมท้นไปด้วยความอาฆาตแค้นมีอยู่ทุกหนทุกแห่งที่นั่น แล้วอย่างนั้น เขากลับมาได้อย่างไร หรือว่า…
ประกายตาของเขาวูบไหว และประตูน้อมสวรรค์พลันปรากฏข้างหลังเขา เมื่อมันก่อตัวขึ้นมา ฉินมู่ก็จำแลงเป็นเทพเจ้าหัวคนร่างงู และดวงตาตั้งขวางก็เปิดขึ้นมาที่ใจกลางหว่างคิ้ว
ซิงอ้านสังเกตพบทันที และหันกลับมาเผชิญหน้าเขา ดวงตาของเขาเข้มข้นไปด้วยแสงเทวะ อันกีดขวางสายตาของฉินมู่ เขาจึงกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “หมอเทวดาฉิน บางสิ่งบางอย่างเจ้าไม่รู้จะดีกว่า”
ฉินมู่หัวเราะและสลายเทวาจำแลงเทพครองดาวเสาร์ แต่ข้างใน เขาแตกตื่นอย่างหนัก เมื่อเขามองไปยังซิงอ้านขณะที่ชายผู้นี้เผลอไผล เขาก็ได้เห็นดวงตาอันน่าสะพรึงกลัวอย่างเหลือแสนซ่อนอยู่ในสมบัติเทวะเป็นตายของอีกฝ่าย!
ในตอนนั้น ดวงตาอันน่าสะพรึงกลัวก็สังเกตเห็นเขา และกำลังจะมองมายังเขา แต่ทว่า มันถูกซิงอ้านขัดจังหวะเอาไว้พอดี!
ขุนนางจึงมากล่าวรายงาน “พวกเราไม่พบผู้ฝึกวิชาเทวะคนที่ไหนที่สวมใส่จี้หยกมาตั้งแต่กำเนิด เพราะถึงอย่างไร การเกิดมาโดยคาบหยกไว้ในปากนั้นเป็นเรื่องในตำนาน”
“คนผู้นั้นมิได้เกิดมาโดยคาบหยกไว้ในปาก” ซิงอ้านนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนนำรูปภาพออกมา “จี้หยกของเขาใช้เพื่อสะกดข่มสันดานมารของเขา นี่คือภาพของจี้หยก ในเมื่อเจ้าไม่อาจค้นพบผู้ฝึกวิชาเทวะที่เกิดมาในเวลาอันระบุเอาไว้ เช่นนั้นก็จงแขวนภาพจี้หยกนี้เอาไว้ทุกๆ เมือง และเสาะหาตำแหน่งของมัน! หมอเทวดาฉิน ให้คนของเจ้าไปคัดลอกภาพนี้มาหนึ่งพันฉบับ!”
ฉินมู่รับภาพวาดมา และสายตาของเขาตกต้องลงไปยังภาพของจี้หยก
ซิงอ้านเห็นเขามองไปที่มันอย่างละเอียดจึงถาม “หมอเทวดาฉินเคยเห็นจี้หยกเช่นนี้มาก่อนหรือ”
ฉินมู่ส่ายหัว “ข้าไม่เคยเห็นมันมาก่อน”
ซิงอ้านสายตาวูบวาบ และเขาก็นำกระจกออกมา “ข้าลืมถามเลย แต่หมอเทวดาฉินอายุเท่าไรแล้วปีนี้”
…………………