ตอนที่ 519 ผู้ใหญ่บ้านกลับเข้าเมือง

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

“ปีนี้ข้าอายุยี่สิบสาม” ฉินมู่ตอบไปอย่างซื่อสัตย์ “ข้าได้เสียเวลายี่สิบสามปีและก็ยังไม่ประสบความสำเร็จอะไรสักอย่าง ข้าอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างท้อแท้ไม่รู้จบ และปาดป้ายน้ำตาในความเงียบงัน”

“หมอเทวดาฉินอายุยี่สิบสามปีก็ได้ประสบความสำเร็จมากมากแล้ว นี่นับว่าเหนือธรรมดา” ซิงอ้านหันกลับไป และยกกระจกในมือของเขาขึ้น ในเวลาเดียวกันนั้น เขาก็อุทานด้วยความทึ่งอย่างจริงใจ “ไม่เพียงแต่เจ้าจะเป็นจ้าวลัทธิมารฟ้าอันควบคุมบัญชาผู้ฝึกวิชาเทวะนับล้านที่อายุยี่สิบสามปี เจ้ายังมีตำแหน่งสูงส่งอื่นๆ อีกอย่างเช่นอธิการบดีแห่งสถาบันนักบุญสวรรค์และกษัตริย์มนุษย์”

“เจ้าเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกหล้า และมีเครือข่ายมิตรสหายอันกว้างขวาง มีสักกี่คนที่จะประสบความสำเร็จเช่นเจ้าในอายุยี่สิบสามขวบปี มีแต่เจ้าเท่านั้น!”

เขายกกระจกขึ้นเพื่อส่องหาเด็กหนุ่ม แต่เขากลับมองไม่เห็นอีกฝ่ายเลย ด้วยความตะลึง เขาได้ยินเสียงฉินมู่ดังมาจากไกลๆ “มังกรอ้วน มังกรอ้วน! บอกผู้ฝึกวิชาเทวะที่มาถึงพวกนั้นว่าอย่าออกไปข้างนอกตอนกลางคืน ที่นี่คือแดนโบราณวินาศ พวกเขาจะตายเอา! พวกที่มีเสียงดัง มานี่ ตะโกนบอกผู้ฝึกวิชาเทวะพวกนี้ว่าอย่าออกนอนกเมืองเวลากลางคืน!”

ซิงอ้านเก็บกระจกและเดินตามเขาไป เมื่อฉินมู่หยุดไปครู่หนึ่ง เขาก็นำกระจกออกมาเพื่อจับเอาภาพสะท้อนของเขา แต่กระนั้นก็ไม่ปรากฏเงาร่างของฉินมู่ในกระจกอีกครา

เสียงของเด็กหนุ่มดังมาจากที่ไกลๆ “อวี้จิว เจ้าไปตามจิตรกรจากวังหลวงมาสักจำนวนหนึ่งได้หรือไม่ พี่ซิงอ้านให้รูปภาพข้ามาอันจำเป็นต้องคัดลอกพันฉบับเพื่อส่งไปยังทุกแว่นแคว้นของจักรวรรดิ”

ซิงอ้านเลิกคิ้วสูงและคิดในใจ หากว่าบุคคลที่ลู่หลีต้องการเสาะหาคือเขา เขาคงจะไม่สำรวจตรวจตราภาพวาดของจี้หยกนั้นอย่างละเอียด หรือว่าข้าจะขี้ระแวงจนเกินไป แต่ทว่า ทำไมเขาถึงพยายามหลบหลีกข้า

เขาตามทันฉินมู่อีกครั้ง และประกายตาของเขาก็วูบวาบ หากว่าเขาหนีไปอีกรอบ ข้าจะตรึงเขาไว้กับที่ด้วยพลังวัตร!

ในตอนนั้นเอง เด็กสาวผู้อวบอึ๋มแห่งตระกูลหลิงก็เหลือบมองเห็นภาพวาดและกล่าวด้วยความตื่นตระหนก “จี้หยกอันนี้ ข้าดูเหมือนจะเคยเห็นมาก่อน!”

ซิงอ้านสะดุดสนใจขึ้นมา และเขาหยุดตามตอแยฉินมู่ทันที เขารีบไปถาม “องค์หญิงแห่งตระกูลหลิง เจ้าเคยเห็นนี่มาก่อนจริงๆ น่ะหรือ”

หลิงอวี้จิวนั้นเป็นผู้บัญชาการสถานการณ์ศึกที่ชายแดนเหนือ ดังนั้นผิวของนางจึงขาวสล้างจากการบ่มบำรุงของที่ราบหิมะ นางก็กำลังแตกเนื้อสาวด้วย ใบหน้าของนางจึงเรียวขึ้น ดูบอบบางและสะคราญมากขึ้น แต่ทว่าทรวดทรวงองค์เอวก็ยังอึ๋มอั๋นอยู่ดี

เมื่อนางกลับไปยังเมืองหลวงเพื่อรายงาน ฉินมู่ก็ได้ติดตั้งระหว่างเป็นตาย ดังนั้นนางจึงฉวยโอกาสมายังเมืองเขตมังกร นอกจากจะมาท่องเที่ยวกับคนรักของนางแล้ว นางก็ยังมาที่นี่เพื่อฝึกฝนอีกด้วย

“ข้าเคยเห็นมันมาก่อน” หลิงอวี้จิวผ่านการฝึกของกองทัพ ดังนั้นนางจึงมีวุฒิภาวะมากกว่าแต่ก่อน แต่กระนั้นนางก็ยังคงแต่งกายเป็นชายและดูอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่ง “ข้าเคยเห็นมันในซากโบราณแห่งหนึ่งแห่งแดนโบราณวินาศ”

“แดนโบราณวินาศ!” ซิงอ้านสะท้านใจอย่างรุนแรง และเขาถามด้วยความเร่งร้อน “คนผู้นั้นเป็นเด็กหนุ่มหรือ”

“ไม่เชิง ข้าเพียงแต่เห็นภาพวาดเช่นนี้ในซากโบราณ มันมีผ้าอ้อมและม้าไม้ของเล่นอยู่ที่นั่นด้วย ดังนั้นจึงดูเหมือนว่ามีเด็กอาศัยอยู่ที่นั่นมาก่อน”

ฉินมู่มองไปยังซิงอ้านผู้ซึ่งเงียบงันไปอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าเขากำลังสื่อสารกับดวงตาประหลาดในสมบัติเทวะเป็นตายของเขา

เขามองไปยังกระจกในมือซิงอ้านด้วยความสนใจใคร่รู้ ซิงอ้านเอาแต่คอยส่องกระจกมาใส่เขา อันเป็นสาเหตุให้เขาคอยแต่จะหลบหลีกมัน

“ศิษย์พี่ซิงอ้าน ท่านก็ชอบพกกระจกติดตัวด้วยหรือ หรือว่ากระจกบานนี้เป็นสมบัติวิเศษชิ้นหนึ่ง” ฉินมู่ตาเป็นประกาย และเขายื่นมือไปจับกระจก “ท่านให้ข้ายืมหน่อยได้หรือไม่ ข้าคิดว่าบนหน้าข้ามีสิวอยู่เม็ดหนึ่ง ข้าอยากจะลองดู–”

เพี๊ยะ!

ซิงอ้านตบมือเขากระเด็นไป และเก็บกระจกเข้าไปในถุงเต๋าตี้พลางกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “อย่ามาแตะต้องของของข้า เจ้าน่ะมีพิษสงมากเกินไป องค์หญิงหลิง สถานที่ที่เจ้าเคยไปนั้นอยู่ที่ไหน เจ้าพาข้าไปที่นั่นได้หรือไม่”

เขาได้สื่อสารกับดวงตาประหลาดในสมบัติเทวะเป็นตายของเขา ดังนั้นมันอาจจะเป็นดวงตาประหลาดนั้นที่ต้องการให้เขาไปดู

หลิงอวี้จิวลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว “ข้ายังมีธุระต้องเดินทางไปยังยมโลก ดังนั้นข้าไม่มีเวลาพาท่านไป แต่ทว่า ข้าจดจำเส้นทางได้ ดังนั้นข้าเขียนแผนที่ให้กับท่าน”

ซิงอ้านกล่าวขอบคุณ

หลิงอวี้จิวขอพู่กันและหมึกจากฉินมู่และวาดแผนที่ภูมิประเทศ ซิงอ้านจึงถามอย่างเยือกเย็น “ที่นั่นมีอันตรายอะไรไหม”

หลิงอวี้จิวส่งยิ้มให้เขา “หากว่ามันมีอันตราย ข้าจะมีชีวิตรอดกลับมาได้อย่างไร ใครกันที่จะแข็งแกร่งที่สุดในโลก นอกเสียจากผู้อาวุโสซิงอ้าน”

ซิงอ้านยิ้มกลับไป “หากว่าเจ้าสามารถรอดชีวิตกลับมาได้ ข้าก็ย่อมทำได้เช่นกัน หมอเทวดาฉิน มากับข้า”

ฉินมู่ลังเล “ศิษย์พี่ ทำไมท่านถึงต้องพาข้าไปด้วยในเมื่อท่านเพียงแค่เข้าไปในแดนโบราณวินาศเพื่อตามหาคน ข้าเองก็ได้ช่วยท่านตามหาเขาแล้ว และข้าก็ยังช่วยท่านแขวนภาพนี้ไว้ทั่วแว่นแคว้นของจักรวรรดิสันตินิรันดร์ ตราบใดที่มีข่าวคราว ข้าก็จะรายงานท่าน ท่านสามารถไปเสาะหาร่องรอยของจี้หยกในขณะที่ข้าก็จะไปโถงกษัตริย์มนุษย์เพื่อปัดกวาดหลุมศพ หากว่าข้าเอาแต่ชักช้า อดีตกษัตริย์มนุษย์ทั้งหลายก็คงจะแช่งชักหักกระดูกข้าให้ตายตามพวกเขาลงไปไวๆ”

ซิงอ้านมองไปยังแผนที่ภูมิประเทศที่หลิงอวี้จิววาดให้เขาและกล่าวอย่างจริงจัง “องค์หญิงหลิง หากว่าข้าไม่พบอักษรบนจี้หยกอยู่ที่นั่น เจ้าก็คงรู้ผลลัพธ์ของมันนะ ตระกูลหลิงของเจ้าจะถูกทำลายล้างไปจากโลก!”

หลิงอวี้จิวตัวสั่นเทิ้มพลางเค้นรอยยิ้ม “ข้าไม่ได้โกหกท่าน…”

ซิงอ้านหันกายเดินจากไป

ฉินมู่และหลิงอวี้จิวถอนหายใจอย่างโล่งอก หลิงอวี้จิวปาดเหงื่อบนหน้าผากและกำลังจะอ้าปากพูด แต่ฉินมู่ยกมือห้ามนางจึงรีบปิดปาก

พวกเขารู้ใจกันดี และจิตวิญญาณดั้งเดิมของพวกเขาออกจากร่างเคลื่อนที่ไปไกล

หลังจากหลายหมื่นลี้ที่ห่างจากเมืองเขตมังกร จิตวิญญาณดั้งเดิมของหลิงอวี้จิวก็ถาม “เด็กเลี้ยงวัว นั่นมันคือที่ไหน มันอันตรายหรือไม่ ความเป็นตายของตระกูลหลิงขึ้นอยู่กับเรื่องนี้นะ!”

สาเหตุที่นางพูดไปอย่างนั้นก็เพราะว่าฉินมู่ฉวยโอกาสตอนที่ซิงอ้านไม่ทันระวังเพื่อใช้คลื่นสมองแห่งเผ่าขนนกสวรรค์สื่อสารกับนาง บอกนางให้วาดภาพและแผนที่

ระหว่างเผ่าขนนกสวรรค์ไม่จำเป็นต้องใช้คำพูด พวกเขาอาศัยคลื่นสมองเพื่อสื่อสารซึ่งกันและกัน โดยปราศจากเสียง และเพียงแค่เคลื่อนสำนึกรู้ของตนเอง พวกเขาก็สามารถบอกกล่าวกับอีกฝ่ายได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ พวกเขาสามารถกระทำการใดไปโดยพร้อมเพรียงกัน ทำให้คล่องตัวเป็นอย่างยิ่ง

แม้ว่าการสื่อสารผ่านสำนึกรู้จะมีช่องโหว่ใหญ่โต แต่วิธีการเช่นนั้นมีประโยชน์ในการรักษาความลับ

“ไม่ต้องกังวล ทุกสิ่งที่เจ้าบอกซิงอ้าน เขาจะไปพบมันที่นั่นทั้งหมด แต่ทว่าเขาจะไม่ได้เบาะแสอันเป็นประโยชน์จากที่นั่น” จิตวิญญาณดั้งเดิมของฉินมู่กล่าว “หลังจากที่เขาไปที่นั่น หากว่าเขารีบกลับไปในทันที ก็จะยังคงสามารถเดินออกมาได้ แต่หากว่าเขาดึงดันที่จะบุกเข้าไปข้างในต่อเพื่อเสาะหาเบาะแสเพิ่ม ก็จะขึ้นกับสติปัญญาของเขาแล้วว่าจะเดินออกมาได้หรือไม่”

“เมื่อครั้งนั้นที่ผู้ใหญ่บ้านและผู้เฒ่าคนอื่นๆ ได้บุกเข้าไป พวกเขาเกือบไม่รอดกลับมา หลังจากซิงอ้านกลับมาเขาจะไม่สังหารเจ้าเพราะเรื่องนี้ ในเมื่อเจ้าไม่ได้โกหกเขาเลยสักคำ”

สถานที่อันซิงอ้านกำลังไปนั้นคือสถานที่อันพวกเขาเคยสงสัยว่าจะเป็นหมู่บ้านไร้กังวล มันคือเรือใหญ่มหึมาอันถูกหลอมสร้างโดยเผ่าเทพวิศวกรรม แต่พวกเขาไม่สามารถเดินทางไปถึงหมู่บ้านไร้กังวลได้ พวกเขาถูกดักซุ่มโจมตีจากศัตรูและติดกับอยู่ในลูกบาศก์ใหญ่มหึมาพร้อมๆ กับเรือ

เผ่าเทพวิศกรรมได้ใช้ผู้คนหลายรุ่นต่อหลายรุ่น และสละชีวิตคนร่วมเผ่ามากมายเพื่อให้ในท้ายที่สุดก็ส่งเด็กผู้หนึ่งเดินออกจากเขตปิดผนึกได้ ฉินมู่สงสัยว่าเฒ่าใบ้น่าจะเป็นเด็กผู้นั้น

เพราะถึงอย่างไร ผู้ใหญ่บ้านและคนอื่นๆ ก็ต้องอาศัยเฒ่าใบ้ให้นำทางพวกเขาออกมา

หากว่าซิงอ้านก้าวเข้าไปในสถานที่แห่งนั้นและหันกลับมาโดยพลัน เขาก็จะยังพอบุกออกมาได้ แต่ทว่า ถ้าเขาเข้าไปลึก ก็จะถูกกักตัวเอาไว้โดยเขตปิดผนึก

หลิงอวี้จิวถอนหายใจโล่งอกและถาม “ทำไมซิงอ้านถึงตามหาตัวเจ้า จี้หยกนั่นเป็นของเจ้านี่”

ฉินมู่ส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้ แต่ทว่ามันมีตัวตนอันทรงพลังร้ายกาจซ่อนอยู่ในสมบัติเทวะเป็นตายของเขา และมันน่าสยดสยองเป็นอย่างยิ่ง ซิงอ้านจะต้องถูกมันข่มขู่บังคับ ข้าเพียงแต่เห็นดวงตาของมันแต่มิใช่ร่างกาย ถึงอย่างไร การที่ซิงอ้านร่วงลงไปในแดนใต้พิภพและกลับมาได้ทั้งยังเป็นๆ ดวงตาในสมบัติเทวะของเขาจะต้องเป็นของมารเทวะแห่งแดนใต้พิภพสักตนหนึ่ง”

หลิงอวี้จิวขมวดคิ้ว “หากว่าซิงอ้านหนีออกมาได้?”

ฉินมู่ส่ายหัว “มันน่าจะกักขังเขาเอาไว้ได้อย่างน้อยก็ครึ่งปี หลังจากที่เขาหลุดออกมา พวกเราก็จะช่วยเขาตามหาเด็กหนุ่มที่มีจี้หยกนั้นต่อ” สายตาของเขากลายเป็นแปลกพิลึกพลางกล่าวด้วยเสียงเบา “เมื่อเขาออกมา เขาก็จะพบว่าไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินภาคกลาง แผ่นดินตะวันตก ทุ่งหญ้า ที่ราบน้ำแข็ง หรือแดนโบราณวินาศ จี้หยกนี้ก็จะถูกพบได้ในทุกหนทุกแห่ง ลองเดาดูสิว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น”

หลิงอวี้จิวกลอกตาใส่เขา “ข้ารู้ว่าเจ้าเก่งกาจ หยุดคุยโม้ได้แล้ว!”

ฉินมู่หัวเราะ และจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาก็คืนกลับไปยังร่างเนื้อ ท้องฟ้าข้างนอกได้กลายเป็นมืดดำเรียบร้อย ข้างๆ แม่น้ำในระหว่างเป็นตาย เรือสำราญกำลังจะออกจากท่า ฮู่หลิงเอ๋อและซีอวิ๋นเซี่ยงให้ผู้คนที่จ่ายเงินแล้วขึ้นไปนั่ง และพวกเขาก็เดินทางผ่านแม่น้ำบนท้องฟ้าไปยังยมโลก หลิงอวี้จิวก็ขึ้นเรือไปด้วย

ข้างนอกเมือง ฉินมู่เดินออกไปในความมืด ตามไปโดยกิเลนมังกรที่นั่งไปบนหีบอันเต็มไปด้วยข้าวของอย่างผลไม้และเครื่องเซ่นไหว้ หีบนั้นไม่ชอบใจกับของพวกนี้ แต่มันก็ทำอะไรไม่ได้เมื่อฉินมู่บังคับยัดของพวกนี้เข้าไปในพุงของมัน

โถงกษัตริย์มนุษย์ก็เหมือนกับนครหยกน้อย เป็นชิ้นส่วนแตกหักของปราสาทสวรรค์แห่งจักรพรรดิก่อตั้ง

ฉินมู่ประกายตาวูบวาบเมื่อเขาเดินผ่านความมืดพลางถือก้อนสีดำไว้ในมือ เขาคิดในใจ บรรพชนสองและคนอื่นๆ ไม่บอกข้าว่าจะต้องไปที่ไหน เพียงแต่ข้าต้องกระตุ้นการทำงานของลัญจกรกษัตริย์มนุษย์ แต่ทว่ามันจะใช้ตามหาโถงกษัตริย์มนุษย์ได้อย่างไร…

ปราณชีวิตของเขาไหลบ่าเข้าไปในลัญจกร และมันก็สั่นสะเทือนเล็กน้อย มันแตกต่างจากครั้งที่เขากระตุ้นการทำงานของลัญจกรกษัตริย์มนุษย์เมื่อคราวก่อน ครั้งก่อนนั้น เขาได้เห็นเดือนปีอันเหนื่อยยากของเผ่าพันธุ์มนุษย์หลังจากสิ้นสุดยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง สำนึกรู้ที่ซ่อนอยู่ในลัญจกรกษัตริย์มนุษย์ได้พุ่งออกไปในทุกทิศทางและแพร่กระจายไปทั่วโลก

แต่ทว่า ผู้ใหญ่บ้านและกลุ่มยอดฝีมือในตอนนั้นได้ช่วยเขา บัดนี้มีเพียงแค่ฉินมู่โดยลำพัง ดังนั้นเขาย่อมมิอาจปลดปล่อยการเพรียกขานของลัญจกรกษัตริย์มนุษย์ได้ด้วยเพียงแค่สำนึกรู้ของตนคนเดียว

ฉินมู่ใช้ปราณชีวิตเพื่อหยั่งทดสอบ และหัวใจของเขาก็พลันสะท้าน ปราณชีวิตของเขาได้แตะเข้ากับรอยประทับในลัญจกรกษัตริย์มนุษย์

ในพริบตาถัดมา ลัญจกรกษัตริย์มนุษย์ก็สั่นไหวเบาๆ และรังสีแสงก็สาดส่องออกไป กระทบกับดวงตาของฉินมู่ จากนั้นแสงดังกล่าวก็หายวับ

ฉินมู่สลัดศีรษะไปมาและลืมตาขึ้นมอง แสงสาดส่องจากที่ใดสักแห่ง และตกลงมาใต้เท้าของเขา

ด้วยความตกตะลึง ฉินมู่หันกลับไปมอง “มังกรอ้วน เจ้ามองเห็นแสงไหม”

กิเลนมังกรกำลังหลับอยู่ แต่เขาก็รีบโงหัวขึ้นมามองไปรอบๆ “แสงอะไรหรือ”

มีแต่ข้าที่เห็นแสงนี้หรือ

ฉินมู่นำกระจกออกมาและส่องเข้าหาตนเอง เขาพบว่ามีอักษรรูนประหลาดอยู่ในดวงตา และเขาคะเนว่ามันจะต้องเป็นสาเหตุที่เขามองเห็นแสงนั้น!

ที่แท้นี่ก็คือวิธีการไปโถงกษัตริย์มนุษย์! ฉินมู่ตามแสงไป

ในเวลาเดียวกันนั้น ผู้ใหญ่บ้านก็กลับไปยังยมโลกอันกำลังคึกคัก มันมีแม่น้ำสายยาวและสะพานหนึ่งพาดผ่านท้องฟ้าเหนือเมือง สะพานนั้นเต็มไปด้วยเทพและมาร ขณะที่มีกลุ่มโครงกระดูกยืนอยู่บนเรือสำราญข้างล่าง

เกิดอะไรขึ้น

ผู้ใหญ่บ้านตกตะลึง เขาพลันเห็นกษัตริย์มนุษย์ฉีคังบนสะพาน และดวงตาของเขาก็ลุกวาบ เขาโบกไม้โบกมือและตะโกนเรียก “ตาแก่ฉีคัง ทางนี้! ข้ากลับมาแล้ว! ข้ามีข่าวอันน่าแตกตื่น บางอย่างเกี่ยวกับกายาจ้าวแดนดิน! ฮี่ๆ เจ้าคงไม่เชื่อเรื่องนี้แน่ๆ เมื่อสี่หมื่นปีก่อน ถึงกับมีปรากฏกายาจ้าวแดนดินตัวเป็นๆ! ลงมาเร็วเข้า ข้าเอาคัดลอกหลักศิลาจารึกนั้นมาด้วย!”

กษัตริย์มนุษย์ฉีคังกระโดดลงจากสะพาน และชี้ไปยังผู้ใหญ่บ้าน “อย่าขยับ! อย่าขยับ! ข้าจะไปเรียกบรรพชนสองและคนอื่นๆ มา!”

ผู้ใหญ่บ้านยิ้มให้เขา “เจ้าไม่มาดูจารึกก่อนหรือ”

“เสพสุขสำราญแต่ลำพังไม่ดีเท่ากับแบ่งปันระหว่างผองเพื่อน รอให้กษัตริย์มนุษย์คนอื่นๆ มาถึงก่อน แล้วพวกเราค่อยอ่านด้วยกันทั้งหมด” กษัตริย์มนุษย์ฉีคังมองไปที่เขาด้วยความจริงใจในแววตา

ผู้ใหญ่บ้านงงงวย รอยยิ้มของผายลมเฒ่านี่ดูคุ้นตาจริงๆ ทำไมเขาถึงสุภาพกับข้าขนาดหนักในวันนี้…

………………………