ตอนที่ 520 สักการะบรรพชนในโถงกษัตริย์มนุษย์

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

“กษัตริย์มนุษย์พวกนั้นทำอะไรกันอีกแล้ว ทำไมมันถึงอึกทึกนัก” ในยมโลก ท้าวยมราชยืนอยู่หน้าท้องพระโรงราชาฉินและมองเข้าไปในเมือง เขาสามารถมองเห็นราชวังต่างๆ ถล่มลงมาตามๆ กัน และถามอย่างสงสัย “นี่คือศิษย์ต่อยตีอาจารย์อีกแล้วหรือ การต่อยตีรอบนี้ดูจะไม่ปรานีเลยสักนิด…”

นกยักษ์บินมา และลงจอดที่พื้นเพื่อแปลงกลายเป็นเทพหัวนกฉือซิ่ว ขาไซ้ขนของตนเองและส่ายหัว “ท้าวยมราชเดาผิดแล้ว นี่มิใช่ศิษย์ต่อยตีอาจารย์ แต่เป็นอาจารย์และบรรพชนทั้งหลายร่วมกันกลุ้มรุมประชาทัณฑ์ศิษย์คนท้ายสุด กษัตริย์มนุษย์ซูกลับเมืองมา และถูกต่อยตีโดยอาจารย์ของเขา อาจารย์ปู่ และบรรพชนทั้งหมด เขาถูกทุบตีจนยับเยินน่าสังเวช แต่เขาตายไม่ได้ต่อให้อยากตายก็ตาม”

ท้าวยมราชตื่นตระหนกเล็กน้อย “พวกเขาเปลี่ยนกฎกติกาหรือ”

“ข้าก็ไม่ทราบ แต่ดูเหมือนว่าจะเกี่ยวกับกายาจ้าวแดนดิน กษัตริย์มนุษย์ซูนำจารึกโบราณมาและกล่าวว่ามีตำนานเกี่ยวกับกายาจ้าวแดนดินปรากฏเมื่อสี่หมื่นปีก่อน บรรพชนสองและคนอื่นๆ รับฟังด้วยรอยยิ้ม แต่หลังจากนั้น พวกเขาก็เข้าล้อมและรุมประชาทัณฑ์”

เทพฉือซิ่วหยุดไปครู่หนึ่ง “หลังจากนั้น เมื่อกษัตริย์มนุษย์ซูต่อต้าน เขาก็ถูกทุบตีหนักกว่าเก่า พวกเขาพูดกันว่าเขาได้หลอกลวงอาจารย์และบรรพชน ว่าเขาได้วางแผนเพทุบายให้กษัตริย์มนุษย์น้อยมาทุบตีพวกเขา ข้าได้ยินแค่เศษๆ เสี้ยวๆ พวกนี้ แต่กษัตริย์มนุษย์ซูดูจะถูกรุมตีจนน่าอนาถ”

“เทพและมารคนอื่นๆ ไม่กล้าที่จะเข้าไปห้ามศึก จ้าวลัทธิทั้งหลายแห่งลัทธินักบุญสวรรค์ก็ถึงกับออกมาโห่ร้องสนับสนุนอย่างคึกคัก และหวังให้โลกนี้ยิ่งปั่นป่วนโกลาหล ข้าควรไปหยุดพวกเขาหรือไม่”

ท้าวยมราชอึ้งไปครู่หนึ่ง “ไม่ต้องทำเช่นนั้น หากเจ้าเข้าไปห้ามพวกเขา พวกเขาจะรุมตีเจ้าแทน”

ในรัตติกาลอันดึกดื่น ความมืดของแดนโบราณวินาศก็ยังคงคึกคัก สัตว์ประหลาดจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏตัวเมื่อซิงอ้านเดินผ่านพวกมันไป แสงเทวะรอบกายเขาได้ขับไล่การรุกรานของสสารมืดขณะที่เขามุ่งหน้าไปยังตำแหน่งที่หลิงอวี้จิวระบุเอาไว้

จิตของเขาสั่นสะท้านเมื่อพบเห็นเขตปิดผนึกใหญ่มหึมา ผืนป่ามีอยู่ทั้งข้างบน ข้างล่าง ซ้าย และขวาของลูกบาศก์ขนาดยักษ์ ห่อหุ้มมันไว้ทุกทิศทาง ในขณะเดียวกันนั้น ในเขตปิดผนึก ก็มีเรือใหญ่โตมโหฬารที่ใหญ่ยิ่งกว่าเรือตะวันและเรือจันทราไปหลายๆ เท่า!

มันเป็นเรือยักษ์ที่หลอมสร้างขึ้นมาด้วยฝีมือเผ่าเทพวิศวกรรมแห่งสภาสวรรค์จักรพรรดิก่อตั้ง เพื่อมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านไร้กังวล มหานาวาปารมิตา!

เรือนี้ยับเยินขาดวิ่น อันแสดงให้เห็นว่ามีการต่อสู้อันนองเลือดเกิดขึ้นที่นี่ นั่นคือสาเหตุที่ทำให้เรือถูกทำลายและไม่อาจแล่นต่อไปได้!

ซิงอ้านเล็งเห็นอันตราย และเขาลังเลอยู่เล็กน้อย แต่ในท้ายที่สุด เขาก็ยังคงก้าวไปข้างใน

เขาคือตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกปัจจุบันนี้ ดังนั้นต่อให้เขาเล็งเห็นอันตราย แต่ก็ยังมั่นใจว่าจะออกไปจากที่นี่ได้อย่างราบรื่น!

ไม่นานนัก เขาก็มาถึงหมู่บ้านเล็กๆ ในป่า และซิงอ้านก็จิตใจสั่นสะท้าน เขาได้เห็นภาพวาดอันคล้ายคลึงกับจี้หยกจริงๆ “องค์หญิงน้อยแห่งตระกูลหลิงมิได้โกหกข้า!”

ในตอนนั้น เขาก็พบว่าเขาไม่ใช่เพียงคนเดียวที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้

ประตูของลานเรือนถูกเปิดออก และเขามองเห็นเงาหลังผู้คนอยู่ไวๆ

นี่คือคนที่ข้ากำลังตามหาหรือ

ซิงอ้านอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น เขานำเอากระจกออกมาและส่องไปยังบุคคลผู้นั้น ชายผู้นั้นหันกลับมา เผยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น เขายิ้มแก่ซิงอ้าน “อา อา!”

ซิงอ้านตะลึงไปเล็กน้อย มันเป็นผู้เฒ่าและมิใช่บุคคลที่เขากำลังเสาะหา ผู้เฒ่าคนนี้กำลังแบกหีบใบหนึ่งและมีเตาหลอมเหล็กอยู่ใกล้ๆ

“เจ้าแข็งแกร่งมาก” ซิงอ้านหันไปเผชิญกับเขาด้วยสีหน้าเยือกเย็น “เจ้าทำให้ข้ารู้สึกถึงความเริงใจที่ได้พบเจอเหยื่อ เมื่อข้าสังเกตเห็นพลังงานอันไร้ขีดจำกัดในกายของเจ้า มันน่าสะพรึงกลัวอย่างสุดๆ! เจ้าอาจจะเป็นศัตรูที่น่ากลัวที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบในช่วงหลายปีล่าสุดนี้”

“อา อา!” ใบหน้าของผู้เฒ่าเหี่ยวย่นราวกับเปลือกส้ม เขายิ้มอย่างเริงร่าและส่งภาษามือสองสามครั้ง

ซิงอ้านไม่เข้าใจ และยังคงพูดกับตนเอง “ข้าอยากจะสะสมเจ้าจริงๆ เผยกระบวนท่าที่แข็งแกร่งของเจ้าสิ ให้ข้าดูกำลังฝีมือเจ้าเสียหน่อย”

ตูม!

เตาหลอมข้างกายผู้เฒ่านี้แผดอัคคีโหมไหม้ออกมา และเพลิงไฟก็พวยพุ่งขึ้นไปสิบลี้บนท้องฟ้า ซิงอ้านพลันรู้สึกว่าห้วงอวกาศรอบๆ ถูกแผดเผา และที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดมิใช่เตาหลอม ภัยคุกคามมาจากข้างในร่างกายของผู้เฒ่าคนนี้

ตันเถียนของเขาพลันแผ่พุ่งออกมาด้วยแสงเจิดจ้า ราวกับดวงตะวันดวงเล็กที่ระเบิดปะทุพลังงานอันไร้เทียมทาน!

ซิงอ้านตื่นเต้นขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นสะพานเทวะข้างหลังผู้เฒ่าทอดยาวขึ้นไปบนท้องฟ้า บนนั้นจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาที่เป็นเทพหัวนกอันมีพลังงานความร้อนร้ายกาจเปล่งออกมาจากกายของมัน จิตวิญญาณดั้งเดิมกระโดดขึ้นและข้ามสะพานไป เข้าไปยังปราสาทสวรรค์ข้างบนนั้น

ตูม!

พลังวัตรของผู้เฒ่าระเบิดออกมาอย่างรุนแรงอีกครั้ง และความร้อนแผดเผาสามารถบิดเบี้ยวห้วงอวกาศได้ ทันใดนั้น หีบก็เปิดออกมาเอง และเม็ดกลมสีเงินเล็กๆ มากมายก็หลั่งไหลออกมาราวธารน้ำ พวกมันห่อหุ้มร่างกายของผู้เฒ่าและพลันแปรเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นแม่ทัพในชุดเกราะสีเงิน แสงเงินสองกระแสกลายเป็นค้อนยักษ์สองอัน ซึ่งฟาดเข้าไปใส่ซิงอ้าน!

เมื่อค้อนฟาดโดนเขา ซิงอ้านรู้สึกราวกับตนเองเป็นก้อนเหล็กบนทั่ง เขานั้นถูกหลอมตีให้เป็นรูปร่างตามแต่ผู้เฒ่าจะต้องการ!

“แข็งแกร่งอะไรอย่างนี้! ตันเถียนของเจ้าแข็งแกร่งกว่าตันเถียนขั้นเทวะที่ข้าได้เก็บสะสมมาจากยอดฝีมือคนอื่นๆ!”

ซิงอ้านตื่นเต้นจนเนื้อตัวสั่น เขายกมือขึ้นและเกิดคลื่นกระเพื่อมหมุนวน รูปเงาของทะเลใหญ่ไพศาลปรากฏข้างหลังเขา และเสียงคลื่นลมก็พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า เขาต้านรับการโจมตีตรงๆ และถูกเป่ากระเด็นออกจากหมู่บ้านน้อยเแห่งนั้น ผู้เฒ่าพุ่งตามเขาไป ค้อนใหญ่ของเขาเงื้อขึ้นและฟาดลงโจมตี

ทั้งสองคนต่อสู้กันท่ามกลางขุนเขาและพงไพร ทะยานขึ้นลงไปมาอย่างไม่หยุดยั้ง ซิงอ้านหัวร่อด้วยเสียงอันดัง

“ร่างกายอันเยี่ยมยอด ตันเถียนอันเยี่ยมยอด! ข้าจะต้องเพิ่มเจ้ามาไว้ในของสะสมข้าอย่างแน่นอน! หยินอย่างเดียวหรือหยางอย่างเดียวไม่อาจทำให้อายุวัฒนะยืนนาน มรรคาเต๋าที่เจ้าเดินนั้นคือมรรคาแห่งหยางพิสุทธิ์อันดุร้ายและกร้าวแกร่ง แต่ว่ามันยากที่จะดำรงอยู่ได้นาน! พละกำลังของเจ้าส่งผลร้ายต่อร่างกายของเจ้ามากเกินไป อันทำให้เจ้าดูแก่เฒ่าขนาดนี้”

“เว้นก็แต่ว่าเจ้าได้บ่มเพาะร่างเนื้อจนถึงเขตขั้นเทวะ มิเช่นนั้นเจ้าก็จะไม่อาจทานทนเทวานุภาพแห่งตันเถียนเตายักษ์ได้ หากว่าเจ้ายังคงต่อสู้เช่นนี้ เจ้าก็จะต้องไปเกินขีดจำกัดร่างกายอย่างแน่นอน เจ้าไม่มีทางชนะ!”

ในตอนนั้นเอง ผู้เฒ่าก็พบว่าตนเองต่อสู้เช่นนี้ต่อไปไม่ไหว เขารีบรั้งค้อนกลับ และเกราะเงินก็ไหลร่วงลงมาที่ขาของเขาเพื่อกลายเป็นม้าสีเงิน อันเขาขี่มันหนีไป

ซิงอ้านรีบไล่ตาม แต่เท้าของเขาพลันเหยียบเข้าไปในความว่างเปล่า พวกเขาได้เข้าไปในห้วงมิติของมหานาวาปารมิตาแล้ว และทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยชิ้นส่วนแตกหักของมหานาวาอันใหญ่มหึมานี้

ซิงอ้านเห็นว่าความเร็วของม้าสีเงินที่ผู้เฒ่านั้นขี่อยู่ช้าลงไป และหยั่งทราบว่าตันเถียนของอีกฝ่ายมีพลังมากแค่ไหน มันได้ทำร้ายร่างกายของบุรุษผู้นี้ และเขาก็ไม่อาจทานทนไปได้นานนัก

ซิงอ้านไล่ล่าไปอีกครั้ง

ผ่านไปสักพัก เหงื่อเย็นเยียบก็ไหลจากหน้าผากของเขา เขาพลัดหลงกับเบาะแสร่องรอยของผู้เฒ่าคนนั้น และพบว่าตนเองถูกกักเอาไว้ในสถานที่อันตราย เวทปิดผนึกอยู่เต็มไปหมดทุกหนแห่ง และมันทำให้เขายากจะเดินไปรอบๆ

ทันใดนั้น ผู้เฒ่าก็ปรากฏตัวอีกครั้ง นั่งอยู่บนกราบเรือสีเงินลำเล็กๆ บนหัวเขาก็สวมหมวกไม้ไผ่สานที่ไม่รู้ว่านำมาจากที่ไหนสักแห่ง

ซิงอ้านตั้งสติขณะที่หางตาของเขากระตุกบิดเบี้ยว เขาอยากจะพุ่งเข้าไป แต่เขาถูกเวทปิดผนึกที่ลอยอยู่ในห้วงอวกาศกีดขวางเอาไว้

ผู้เฒ่าฉีกยิ้มให้แก่เขา เผยให้เห็นปากอันไร้ลิ้น เขาทำท่าปาดคอตนเอง และเรือสีเงินลำเล็กๆ ก็ลอยจากไป

ซิงอ้านโกรธจนเต้นเร่า แต่เขาพลันรู้สึกว่ารอยยิ้มของผู้เฒ่านี้คุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก เขาดูเหมือนจะเคยเห็นมันที่ไหนสักแห่ง

รอยยิ้มนี้ ข้าต้องเคยเห็นมันมาก่อน ต้องเคยเห็น…

เขาสงบใจลงและโยนรอยยิ้มของผู้เฒ่านั้นทิ้งไปจากความคิด เขาเพ่งสมาธิกับการเสาะหาเส้นทางออก แต่ขณะที่เขากำลังจะไขยันต์ผนึกแรก รอยยิ้มของฉินมู่ก็พลันปรากฏวาบในจิตของเขาและซ้อนทับกับรอยยิ้มของผู้เฒ่าใบ้ เขาพลันว้าวุ่นและถูกยันต์ผนึกตบกระเด็นไป

รอยยิ้มของฉินมู่และผู้เฒ่าใบ้ซ้อนทับกันเกือบจะไร้ที่ติ ความแตกต่างเดียวก็คือรอยยิ้มฉินมู่ให้ความรู้สึกสัตย์ซื่อจริงใจ ขณะที่รอยยิ้มของผู้เฒ่าใบ้นั้นมีความกลอกกลิ้งซุกซน!

“ข้า…” โลหิตเทวะของซิงอ้านกระอักขึ้นมาในคอ แต่ก็ถูกเขาฝืนข่มมันลงไป “ข้าจะไม่โกรธ ข้าจะไม่มีโทสะ ข้าจะต้องไม่ปล่อยให้เขาทำลายจิตเต๋าของข้า ข้า–อ๊อก”

เขาฝืนไม่ไหวอีกต่อไปและกระอักเลือดออกมาคำใหญ่ ด้วยสีหน้าอันซีดเทาพ่ายแพ้ เขาก็แผดเสียงร้องคำรามด้วยความเดือดดาล “หมอเทวดาฉิน ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปเด็ดขาด!”

ฉินมู่ตามแสงอันนำทางเขาและเดินออกไปจากแดนโบราณวินาศ ระหว่างการเดินทางของเขา เขาไปยังชายแดนทางใต้ของสันตินิรันดร์ ที่นั่นมีแมลงและงูพิษมากมาย และผู้คนก็บางตา ยิ่งเขาเดินไปไกลเท่าไร ก็ยิ่งรกร้างมากขึ้นเท่านั้น

ในที่สุด หลังจากรุ่งเช้ามาได้สักหน่อย แสงนำทางก็ก่อขึ้นมาเป็นบานประตูอันไม่ใหญ่มากมายตรงหน้าเขาบนยอดเขาแห่งหนึ่ง

มันไม่มีประตูแสงอื่นๆ บนยอดเขาเล็กแห่งนั้น ฉินมู่มองไปรอบๆ และเห็นแต่ภูเขาร้างและแดนเถื่อน ไม่มีผู้คนอยู่ที่นี่ มีแต่ภูมิประเทศอันว่างเปล่า

กิเลนมังกรโงหัวขึ้นมามองไปรอบๆ เมื่อเขาเห็นพระอาทิตย์ขึ้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะลิงโลดขึ้นมา “จ้าวลัทธิ เช้าแล้ว ได้เวลาอาหารล่ะ…”

ฉินมู่ผลักประตูเปิด และมันเปิดขึ้นด้วยแสงสว่างที่ส่องมาจากข้างใน เขาเดินเข้าไปในแสงสว่างนั้น

กิเลนมังกรรีบรุดตามเขาไป เงาร่างของพวกเขาหายวับ และประตูแสงก็หรี่มัวลงไปทุกที จนกระทั่งจางหายไปในที่สุด

สักพักหนึ่ง ฉินมู่ก็ปรากฏบนดินแดนอันเถื่อนร้าง ทิวทัศน์ว่างเปล่าที่เขาเห็นเมื่อครู่ไม่อาจเทียบกับสิ่งที่เขาเห็นอยู่ตอนนี้ได้

ตรงหน้าเขาคือโถงวังศักดิ์สิทธิ์อันพังถล่มลงมาโดยมีหมอกคลี่คลุมทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ซ่อนอยู่ในหมอกคือป้ายจารึกนามอันมีหลุมศพอยู่ข้างหลังพวกมัน กำแพงพังและผนังผุกร่อนได้ทำให้ฉินมู่สะท้านถึงขั้วหัวใจ

ในที่ไกลๆ มีราชวังหนึ่งที่ตั้งตระหง่านอย่างโดดเดี่ยวในหมอก

ฉินมู่ก้าวไปข้างหน้าพลางมองไปรอบๆ พื้นที่นี้กว้างใหญ่ไพศาล แต่ทิวทัศน์เดียวในโถงแห่งกษัตริย์มนุษย์ก็มีแต่หลุมศพ

เขาไปยังหลุมศพแรกและมองไปที่ป้ายหินหลุมศพ บนนั้นเขียนไว้: แม่ทัพประจิมแห่งสภาสวรรค์เว่ยหมิง ข้างๆ ป้ายหลุมศพคือโล่อันอาบย้อมไปด้วยเลือด

ฉินมู่ไปยังหลุมศพที่สองอันมีข้อความ: นายพันหน่วยองค์รักษ์พยัคฆ์กล้าแห่งสภาสวรรค์ติ่งอวิ๋นเหอ ข้างใต้ป้ายหลุมศพคือหมวกเกราะ

เขาเดินต่อไปด้วยความเงียบ แม้แต่กิเลนมังกรที่ร่ำร้องถึงอาหารเช้าก็ไม่กล้าส่งเสียง เขาหดหางจุกตูด และแอบแง้มฝาหีบเปิดเพื่อมุดหลบเข้าไปในนั้น ไม่กล้าจะโผล่หน้าออกมา

ฉินมู่ตรวจดูป้ายหินหลุมศพไปทีละอันๆ แต่หลายป้ายนั้นแม้แต่จะจารึกนามไว้ก็มิได้จารึก บุคคลที่ปักป้ายหลุมศพพวกนี้อาจจะไม่ทราบของพวกเขา

หลุมศพอันมีชื่อและไม่มีชื่อ สร้างเส้นทางอันนำไปยังโถงกษัตริย์มนุษย์ที่ตั้งตระหง่านอยู่ในหมอก

ยากที่จะกล่าวว่าฉินมู่ใช้เวลานานเท่าไรถึงมาใกล้มันในที่สุด ข้างหน้าเขา มีกระท่อมหญ้าฟางสร้างเอาไว้อยู่ ข้างในนั้นคือโครงกระดูกแห้งผากที่นั่งคอตกห้อย ข้างๆ เขาคือหลุมศพที่พังลงไป แม้ว่าจะเหลือเพียงแค่กระดูก ฉินมู่ก็มองเห็นได้ว่าบุคคลผู้นี้มีร่างกายสูงใหญ่กำยำ กระดูกข้อนิ้วบนมือของเขาทั้งหนาและใหญ่ ดังนั้นเขาน่าจะเชี่ยวชาญในวิชามุทรา ฝ่ามือ และหมัด

ฉินมู่ปัดฝุ่นออกจากหลักจารึกหินและอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง

ถ้อยคำบนนั้นคือ: กษัตริย์มนุษย์ฉีคัง พบว่าตนไม่สำเร็จสิ่งใดในชีวิต ข้าจึงละอายเกินกว่าที่จะตั้งป้ายหินหลุมศพให้ตนเองและละอายเกินกว่าจะไปพบหน้าบรรพชน ข้าจะตายในกระท่อมฟางนี้และไม่กลบฝังกระดูกสังขาร

ฉินมู่เปิดหีบออก และนำเอาเทียน เงินกระดาษ และเครื่องเซ่นไหว้ออกมา เขาจุดธูปและเครื่องเซ่นไหว้ทั้งหลายให้แก่กษัตริย์มนุษย์ฉีคังด้วยความเคารพ

เขาเดินออกไปจากกระท่อมฟาง และเห็นอีกกระท่อมอยู่ใกล้ๆ ข้างในนั้นมีแขนขาที่ถูกตัดอยู่จำนวนหนึ่งใกล้ๆ กับป้ายหลุมศพที่ร่วงล้ม บนนั้นมีแค่คำว่าซูที่ขีดเขียนไว้ด้วยกระบี่ มันถูกเขียนไว้ได้เพียงครึ่งเดียวก่อนที่กระบี่หักจะปักคาทิ้งไว้ในป้ายหินหลุมศพ ปล่อยให้ตัวอักษรนั้นค้างคา

ฉินมู่มองไปที่แขนและขาขาดเหล่านั้น ที่จุดถูกตัด มันคือรอยแผลกระบี่ และหางตาของเขาก็สั่นระริก เขาจึงสักการะเซ่นไหว้

“ผู้ใหญ่บ้าน”

เขารู้ว่าผู้ใหญ่บ้านได้มาที่นี่ครั้งหนึ่งและต้องการจบชีวิตของตนเอง แต่ในเมื่อเขายังมิได้ส่งมอบลัญจกรกษัตริย์มนุษย์ต่อไป เขาจึงหักใจทำไม่ได้ เพราะเช่นนั้น เขาจึงฝังเอาไว้เพียงแค่แขนและขาที่ขาดของเขา

เขาถึงกับไม่กล้าเขียนชื่อของตนเอวไว้ ในเมื่อเขายังมิได้ส่งต่อมรดกยุทธต่อไปในตอนที่จารึก

ฉินมู่มายังกระท่อมฟางหลังที่สาม และพบเห็นโครงกระดูกอันสูงเพียงห้าคืบ นั่นคือกษัตริย์มนุษย์อี้ซาน

บนป้ายหลุมศพ มีคำง่ายๆ ไม่กี่คำ

กษัตริย์มนุษย์อี้ซาน พ่ายแพ้ให้แก่เหนือฟ้า ข้าไม่มีหน้ากลบฝังตนเองและไปพบอาจารย์ของข้า ชนรุ่นหลังไม่จำเป็นต้องสักการะเซ่นไหว้ข้า

ฉินมู่มายังกระท่อมฟางหลังที่สี่อันเขาพบโครงกระดูกอีกโครง มันถือตะกร้าดอกไม้ไว้ในมือ

กษัตริย์มนุษย์หลันโพ่ ข้าไม่ประสบความสำเร็จใดเลยในชีวิต และข้าละอายที่ล้มเหลวต่อการสั่งสอนของอาจารย์ข้า…

ฉินมู่เข้าไปยังกระท่อมฟางทุกๆ หลังเพื่อเซ่นไหว้สักการะ เขาได้ประจักษ์ประวัติศาสตร์สองหมื่นปีของโถงกษัตริย์มนุษย์ เขาได้พบกับกษัตริย์มนุษย์ทั้งหมดในยมโลกอันพวกเขาล้วนแต่ด่าทอและทุบตีอาจารย์ของตน ดูจะไม่ชอบขี้หน้ากันนัก แต่ทว่า ที่นี่ในกระท่อมหญ้าฟางเหล่านี้ ฉินมู่มองเห็นความเคารพต่ออาจารย์ และความพิไรรำพันต่อความล้มเหลวของพวกเขา

เขามายังสุดทางโถงกษัตริย์มนุษย์และเห็นแผ่นหลังคนผู้หนึ่ง

…………………..