หลังจากเข้าป่าไป เริ่นเสี่ยวซู่ก็จับตามองหาร่องรอยการต่อสู้ ทหารสองนายเมื่อคืนหายไปได้อย่างไรยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด เริ่นเสี่ยวซู่อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขากันแน่

ฝนตกหนักเมื่อคืนวานชะล้างรอยเท้าไปหมด ทำให้เริ่นเสี่ยวซู่หาร่องรอยอะไรยากมาก

เพราะไม่มีรอยเท้า จึงได้แต่ดูลักษณะกิ่งไม้ใบไม้รอบๆ เอา

ป่ารกชัฏมาก ใต้หมู่แมกไม้ มีแต่พุ่มไม้หนาเต็มไปหมด ถ้าสองคนนั้นเดินผ่านป่าไป ต้องถางกิ่งไม้ระหว่างทางไปด้วย ร่องรอยพวกนี้ไม่อาจถูกฝนลบไปได้

เริ่นเสี่ยวซู่ตามทางที่มีกิ่งไม้หักไปเรื่อยๆ ทว่าร่องรอยมีแค่สิบกว่าเมตรเท่านั้นก็หายไป

พอสูเสี่ยนฉู่เห็นเริ่นเสี่ยวซู่หาอะไรบางอย่างอยู่ เขาก็ถาม “เจออะไรหรือเปล่า”

“ยังเลย” เริ่นเสี่ยวซู่ส่ายหน้า “พวกเขามาแค่นี้ ร่องรอยพวกเขาหายไปกะทันหัน”

สองคนนั้นคงกำลังขวัญผวาไม่หาย เลยไม่ได้ออกไปไกลจากโพรงถ้ำนัก แต่ว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้องเท่าไรนัก คือตอนนั้นพวกเขาสองคนอยู่ห่างจากถ้ำเพียงแค่สิบกว่าเมตร ถ้ามีเรื่องเกิดขึ้น อย่างไรก็ควรมีเสียงให้คนในถ้ำได้ยิน

ต่อให้จะมีเสียงฝนตกกลบอยู่ก็ตาม!

อาจจะหมายความได้ว่า ตอนนี้พวกเขาออกมาปลดทุกข์นั้น ขณะที่ไม่ทันระวัง ก็มีอะไรบางพุ่งมาจัดการพวกเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว!

เริ่นเสี่ยวซู่หันไปสำรวจต้นไม้รอบๆ แต่ไม่เห็นต้นไม้ไหนเลยที่มีเปลือกไม้แตกออก ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ ไม่มีอะไรเลย

สิ่งที่น่ากลัวอย่างจริงแท้คือความไม่รู้

“ไปกันเถอะ” สูเสี่ยนฉู่ว่า “สถานการณ์แบบนี้ ต้องหาจุดปลอดภัยตั้งแคมป์ ถ้าจำเป็น ต่อให้ต้องพักกันเร็วหน่อยก็ต้องทำ”

เริ่นเสี่ยวซู่เห็นด้วยกับสูเสี่ยนฉู่ “จะดีมากเลยถ้าหาสถานที่เหมือนโพรงถ้ำแบบเมื่อคืนได้ ถึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่อยู่ในโพรงยังไงก็ปลอดภัยกว่า ฉันว่าเราหาถ้ำคล้ายๆ แบบนี้ไว้ตั้งแคมป์เถอะ”

ฟ้าหลังฝนยังขมุกขมัว น่าจะมีฝนตกอีกรอบหนึ่ง ดังคำกล่าวลมหนาวมาหลังฝนวสันต์ ฝนนี้ยังช่วยดับความร้อนระอุจากการระเบิดของภูเขาไฟด้วย

ทั้งกลุ่มเดินผ่านป่าด้วยความยากลำบาก เริ่นเสี่ยวซู่แนะกล่าวบอกให้สูเสี่ยนฉู่พยายามเลี่ยงทางที่เป็นแอ่งน้ำ ในยุคสมัยปัจจุบันที่มดตัวใหญ่เท่าปลายนิ้วคน แถมมีแมลงหน้าคนน่าผวา เกิดไปเจอปลิงดูดเลือดเข้าอีกอาจจะไม่รอด

เสื้อผ้าที่ใส่ตอนนี้ป้องกันการกัดของปลิงไม่ได้

“สงสัยชะมัดว่าพวกแมลงตัวใหญ่ขนาดนี้ได้ยังไง” เริ่นเสี่ยวซู่ถามต่อ “สรุปแล้วไอ้พวกแมลงหน้าคนนี่เป็นตัวอะไรกันแน่”

สูเสี่ยนฉู่คิดพักหนึ่ง “ไม่ว่าจะเป็นตัวอะไร แต่แมลงหน้าคนก็ยังคงเป็นแมลงอยู่หรือเปล่า โครงสร้างร่างกายของแมลง ทำให้พวกมันตัวโตเท่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมไม่ได้ เพราะจะทำให้มีออกซิเจนไม่พอใช้เอา ฉันเดาว่าเพราะจำนวนออกซิเจนในอากาศที่นี่มีสัดส่วนที่สูงมาก พวกมันเลยเติบโตจนตัวใหญ่ได้ขนาดนั้น พวกนายสังเกตหรือเปล่าน่ะ ตอนนี้ต่อให้ร่างกายพวกเราจะเหนื่อยล้าขนาดไหน แต่สมองยังแล่นแจ่มชัดอยู่เลย ต้องเกี่ยวกับออกซิเจนที่เราใช้หายใจอยู่แน่”

เริ่นเสี่ยวซู่ฟังคำวิเคราะห์ของสูเสี่ยนฉู่แล้วพบว่าฟังเข้าเค้าไม่เลว ไม่ใช่เพียงว่าพันธุกรรมพัฒนาขึ้นอย่างเดียว ยังคงมีหลักการทางวิทยาศาสตร์อื่นอยู่เบื้องหลังอีก

“เดี๋ยวก่อนนะ” เริ่นเสี่ยวซู่ประหลาดใจ “เป็นเพราะว่าพวกต้นไม้เองก็กลายพันธุ์ไปและผลิตออกซิเจนมากขึ้นด้วยหรือเปล่า พวกพืชพันธุ์แถวๆ ป้อมเองดูโตดีกว่าปกตินิดหน่อย ยังงี้เดี๋ยวที่นั่นต้องมีอุบัติการณ์แมลงกลายพันธุ์แหงเลยสินะ?”

“เป็นไปได้” สูเสี่ยนฉู่ว่า

ยิ่งเดินทางไป ความแตกต่างในด้านพละกำลังของทุกคนก็ยิ่งเห็นได้ชัด สำหรับเริ่นเสี่ยวซู่แล้ว เขาสามารถเดินทางได้อย่างไม่เหนื่อยแรง ด้วยพละกำลังของเขาตอนนี้ เดินทะลุป่าได้โดยไม่เสียแรงแถมไม่เหนื่อยเลยด้วยซ้ำ

ถึงสูเสี่ยนฉู่เองจะเป็นผู้มีพลังพิเศษ แต่ว่าสมรรถภาพทางกายดูจะไม่ได้มีการพัฒนาอะไรนัก สูเสี่ยนฉู่บอกเองว่าร่างกายเขาเพิ่งเริ่มพัฒนาได้ไม่นานหลังจากได้รับพลังมา

ทั้งกระบวนการนี้คืบหน้าไปอย่างเชื่องช้า พละกำลังของสูเสี่ยนฉู่จึงไม่อาจเทียบกับเริ่นเสี่ยวซู่ได้เลย

สูเสี่ยนฉู่เอ่ย “หลังจากปลุกพลังและกลายเป็นผู้มีพลังพิเศษ ทุกครั้งที่ฝึกฝนร่างกายจนถึงขีดจำกัด ร่างกายของฉันก็จะพัฒนาอย่างก้าวกระโดด”

เริ่นเสี่ยวซู่ไม่รู้ว่าเขาพูดจริงหรือเปล่า ใจเกิดความคิดจะทดลองด้วยตนเอง แต่คงต้องรอกลับเมืองไปให้ได้ก่อน มาฝึกฝนร่างกายจนถึงขีดจำกัดที่นี่คงได้นอนใต้รากต้นไม้ก่อนเวลาอันควร

ขณะเดียวกันหลิวปู้ ลั่วซินอวี่ และหวังเหลยนั้นกำลังอยู่ในสภาพอนาถ เสื้อผ้าเริ่มโทรมปุปะ ตอนออกจากป้อมมายังสะอาดเอี่ยมอ่อง ทว่าตอนนี้แทบจะสกปรกเท่ากับชุดของเริ่นเสี่ยวซู่อยู่แล้ว

คนที่ทำให้เริ่นเสี่ยวซู่ประหลาดใจที่สุดคือหยางเสียวจิ่น เขาเห็นว่าตอนนี้เธอดูเหนื่อยนิดหน่อยเท่านั้นเอง ความทรหดของเธอดีกว่าสูเสี่ยนฉู่ไม่น้อยเลย

ทันใดนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็เห็นเงาของสูเสี่ยนฉู่แยกออกมาจากร่าง เริ่นเสี่ยวซู่นึกว่ามีอันตราย พลันตื่นตัวระมัดระวังทันที

ทว่าสูเสี่ยนฉู่กลับปีนขึ้นหลังร่างแยกเงาโดยไม่สนสายตาประชาชี คิดจะใช้ร่างแยกเงาต่างม้า!

เริ่นเสี่ยวซู่ตะลึง พ่อคุณ ขี้โกงไปแล้วนะ!

ตั้งแต่สูเสี่ยนฉู่เผยตัวว่าเป็นผู้มีพลังพิเศษ ก็ใช้พลังอย่างเปิดเผยยิ่งขึ้น ตอนที่เขายังต้องหลบๆ ซ่อนๆ อยู่นั้น บางทีเขาก็แทบลืมวิธีใช้งานพลังตัวเองไปแล้ว

เพราะพละกำลังของร่างแยกเงานั้นเป็นสองเท่าของสูเสี่ยนฉู่เอง มันจึงสามารถเดินไปผืนป่าราวพื้นราบ ถ้าไม่ใช่ว่าเริ่นเสี่ยวซู่ไม่อยากเปิดเผยว่าตัวเองคัดลอกพลังแยกร่างเงาของสูเสี่ยนฉู่มาละก็ เขาคงแยกเงาออกมาแบกตัวเองด้วยแล้ว!

หลิวปู้ ลั่วซินอวี่ และหวังเหลยแทบสติแตก โดนคนอื่นสะกดข่มน่าเจ็บปวดชะมัดยาด ทำไมพวกเขาไม่เป็นผู้มีพลังพิเศษบ้างนะ จะได้มีพลังเป็นของตัวเอง!

จู่ๆ ร่างแยกเงาของสูเสี่ยนฉู่ก็หยุดกึกลง คราวนี้เริ่นเสี่ยวซู่สะดุ้งตัวของจริง เพราะเห็นว่าร่างของสูเสี่ยนฉู่เครียดขมึงราวกับแมวพองขน!

เขาเห็นสูเสี่ยนฉู่ค่อยๆ ลงจากหลังร่างแยกเงา จะได้ไม่ทำให้ร่างแยกเงาเคลื่อนไหวอะไรนัก จากนั้นก็กระซิบ “ทุกคน ดูข้างหน้าสิ”

เริ่นเสี่ยวซู่เพ่งมองไปยังป่ามืดทึบข้างหน้าตน ผ่านหมู่แมกไม้หนาแน่นนั้น พลันพบเห็นเงาร่างสีขาวร่างหนึ่งอยู่

“ตัว…อะไรน่ะ” หลิวปู้ถามเสียงสั่น ขณะที่ปากพูด ร่างก็ขยับวูบไปอยู่หลังลั่วซินอวี่และหวังเหลยตามสัญชาตญาณไปด้วย คิดซ่อนตัวเองไว้อยู่หลังสุดของกลุ่ม

สูเสี่ยนฉู่พยายามมอง เขาชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะพูด “พวกนายดู เงาร่างสีขาวนั้นมันเหมือนผู้หญิงชุดขาวกำลังตะกุยต้นไม้อยู่เลย?”

เริ่นเสี่ยวซู่ขนลุกซู่ ภาพที่เห็นชวนขวัญผวาเกินไปแล้ว!