ตอนที่ 73 อารยธรรมก่อนภัยพิบัติ

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

ในป่ามืดทึบขมุกขมัว หมู่ใบไม้สั่นไหวราวมีสิ่งมีชีวิตที่น่าสยดสยองกำลังแล่นฉิวเหนือผืนป่า ทุกคนกลั้นหายใจ ตาจับจ้องไปที่ร่างเงาสีขาวเบื้องหนา ราวกับกลัวว่า ‘กลิ่นอาย’ ของพวกตนได้ไปล่อให้มันกระโจนเข้ามาโจมตีอย่างไรอย่างนั้น

ในป่าเขาแบบนี้ ทำไมถึงมีหญิงสาวหันหลังใส่ก้มหน้าก้มตาตะกุยต้นไม้ได้ ใครก็มืดตื้อคิดไม่ออกกันทั้งนั้น

และยิ่งอธิบายยากเท่าไร ก็ยิ่งกลัวมากขึ้นเท่านั้น

ข้างๆ เขา เริ่นเสี่ยวซู่เพิ่งเคยเห็นหยางเสียวจิ่นวิตกกังวลขนาดนี้เป็นครั้งแรก เขาเห็นเธอเม้มปาก มือกุมปืนพกแน่นจนข้อนิ้วซีดขาว

ร่างแยกเงาของสูเสี่ยนฉู่ยืนกำบังอยู่หน้าเขา ราวคิดให้เป็นเกราะคุ้มกันไว้ก่อนเผื่อผู้หญิงชุดขาวกระโจนมากะทันหัน แต่ในความเป็นจริง หญิงผู้นั้นยังคงอยู่ห่างไปหลายสิบเมตร

“เราควรหาทางอ้อมไหม” เริ่นเสี่ยวซู่กระซิบถาม “เธออาจจะไม่ตามเรามาก็ได้”

เพิ่งพูดจบ ลมชุดใหญ่ก็โหมพัดเข้าป่ามา หญิงชุดขาวดุจลอยล่องขึ้นอากาศ

สูเสี่ยนฉู่กัดฟันกรอด “เราหนีไม่ได้ ขนาดผีสางยังหยุดเราไว้ได้ แล้วคิดเหรอว่าพวกเราจะรับมือตัวที่อยู่ในเขาจิ้งซานไหว”

สูเสี่ยนฉู่สั่งการให้ร่างแยกเงาของตนคืบหน้าไปทางหญิงชุดขาว ส่วนตัวเขาเองก็ตามไปติดๆ เริ่นเสี่ยวซู่และหยางเสียวจิ่นหันหน้ามองกันวูบหนึ่ง ไม่คิดเลยว่าสถานการณ์เช่นนี้ สูเสี่ยนฉู่จะบังเกิดความกล้าขึ้นมา

บางครั้งยามทั่วไปบางคนตั้งคำกล้าหาญเป็นมั่นเหมาะ พอถึงสถานการณ์จริงกลับใจเสาะขลาดเขลาตาขาว ส่วนบางคนสถานการณ์ยิ่งอันตราย กลับยิ่งใจเย็นยิ่งราวกับเป็นผู้มีความดุร้ายฝังลึกในกระดูก!

“ตามไปกัน” เริ่นเสี่ยวซู่ว่า

เริ่นเสี่ยวซู่และหยางเสียวจิ่นพร้อมใจกันตามสูเสี่ยนฉู่ไป ตอนนี้พวกเขาอยู่เรือลำเดียวกันแล้ว จะปล่อยให้สูเสี่ยนฉู่ไปเสี่ยงคนเดียวไม่ได้หรอก

หลิวปู้ตัวสั่น “เราต้องทำอะไร ต้องตามพวกเขาไปไหม”

“แล้วถ้าเกิดว่ามีตัวเหมือนแบบนั้นโผล่มาอยู่ข้างๆ เราล่ะ” ลั่วซินอวี่ว่าด้วยความขวัญหนีดีฝ่อ จากนั้นเธอก็ตามพวกเขาไป หวังเหลยเองก็ตามเธอไปติดๆ

พอเห็นว่าตัวเองโดนทิ้งโดดเดี่ยวเช่นนี้ หลิวปู้หวาดกลัวยิ่งกว่าอะไร พูดเสียงกระซิบ “รอด้วย!”

เริ่นเสี่ยวซู่ที่อยู่ข้างหลังส่งเสียงไปทางสูเสี่ยนฉู่ “ถ้าเห็นว่าตัวเองสู้ไม่ไหว ก็พยายามใช้เงาของนายรั้งมันไว้ ซื้อเวลาให้พวกเรากระหน่ำยิง”

สูเสี่ยนฉู่ เริ่นเสี่ยวซู่ หยางเสียวจิ่นต่างมีปืนเป็นของตัวเอง มองเผินๆ ปืนเป็นอาวุธที่โจมตีไปอย่างตรงๆ ที่มีพลังทำลายสูงสุดแล้ว ถ้าเกิดว่ากระสุนทำอะไรหญิงชุดขาวไม่ได้ขึ้นมาละก็ พวกเขาเองก็คงหมดหนทางไม่ต่างกัน!

สูเสี่ยนฉู่ว่าเสียงเบา “ได้…ระวังหลังให้ที ดูรอบๆ ให้ดีด้วย”

เริ่นเสี่ยวซู่งุนงงอยู่บ้าง บางทีเพราะคนในป้อมปราการไม่เคยเจอสิ่งเดียวกับที่ผู้อพยพในเมืองต้องเจอ ถึงได้เชื่อใจผู้อื่นง่ายมากขนาดนี้

การอาศัยอยู่ในเมืองนั้น ขนาดหลับพักผ่อนยามค่ำคืนยังต้องมีคนคอยเฝ้าระวังให้ คนที่เติบโตมาเช่นนี้ ย่อมไม่มีทางขอให้ผู้อื่นระวังหลังให้แน่นอน

หรือว่านี่คือความแตกต่างระหว่างป้อมปราการกับตัวเมืองกัน

พวกเขาทั้งสามคืบย่างเข้าหาหญิงชุดขาวอย่างระมัดระวัง ทว่ายิ่งเข้าใกล้ ก็ยิ่งบังเกิดความรู้สึกพิกล

เริ่นเสี่ยวซู่ย่อตัวลง เพราะเป็นลักษณะที่เหมาะกับการเคลื่อนไหวที่สุด แต่สุดท้ายก็ค่อยๆ ยืดตัวตรงขึ้นมา พลางกล่าว “อะไรเนี่ย”

สูเสี่ยนฉู่เองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน เขาสั่งให้ร่างแยกเงาเคลื่อนตัวเข้าไปยัง ‘หญิงชุดขาว’ ก่อนจะ ‘ดึง’ ออกมาจากต้นไม้

มันเป็น…ตุ๊กตาผู้หญิง ทำจากพลาสติก ขาดรุ่งริ่ง เป็นตุ๊กตาแบบเป่าลม

“เอ่อ…” เริ่นเสี่ยวซู่เดินมาข้างสูเสี่ยนฉู่ ก่อนจะกวาดตาสำรวจมันอยู่พักหนึ่ง “มันคืออะไรเหรอ”

“ไม่รู้เหมือนกัน” สูเสี่ยนฉู่ส่ายหน้า เขาเองก็ไม่เคยเห็นของแบบนี้มาก่อน ล้วนทำหน้าว่างเปล่ากันหมด “แต่สภาพดูแย่มากเลย”

เริ่นเสี่ยวซู่ถาม “ไม่ใช่ของจากในป้อมปราการเหรอ”

“ฉันไม่เคยเห็นของอย่างนี้ในป้อมมาก่อนเลย” สูเสี่ยนฉู่ตอบปัด

พอรู้ว่าเป็นเพียงตุ๊กตาตัวหนึ่ง ก็ทำเอาทุกคนไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี โดนของสับปะรังเคทำให้ตกใจกลัวเสียฉิบ! ทว่าพอพวกเขามาถึงจุดที่ตุ๊กตาอยู่แล้ว ก็เห็นอะไรบางอย่างผิดปกติ!

“เดี๋ยวก่อน มีของอะไรบางอย่างอยู่ใต้ต้นไม้” เริ่นเสี่ยวซู่เห็นกล่องเหล็กถูกฝังอยู่ใต้รากไม้

เริ่นเสี่ยวหยิบมีดออกมาลองจิ้มใส่กล่องมีแต่สนิมเกาะนั่น ผลคือกล่องเหล็กที่สึกจะหมดแล้ว โดนมีดจิ้มใส่เบาๆ ทีเดียวก็แหลกเป็นผุยผง

ในกล่องมีกระดาษสีแดงอ่อนอยู่หลายแผ่น ตอนที่กล่องเหล็กพังลง กระดาษเหล่านั้นก็แหลกกลายเป็นฝุ่นไปด้วย ชั่วพริบตา ในกล่องนั้นก็เหลือเพียงของสิ่งเดียว

เป็นชิ้นส่วนพลาสติกสีเขียว เรียกว่าเป็นชิ้นกระดาษสีเขียวที่โดนแผ่นพลาสติกอีกสองแผ่นทับอยู่จะดีกว่า บนแผ่นกระดาษสีเขียวนั้นมีลวดลายคดโค้งบิดเบี้ยวราวกับลูกอ๊อดชวนพิศวง

“นี่มัน…” สูเสี่ยนฉู่นิ่งไป มองดู ‘แผ่นพลาสติก’ ในมือของเริ่นเสี่ยวซู่ “เป็นซากอารยธรรมของมนุษย์จากยุคสมัยก่อนภัยพิบัติหรือเปล่า เจ้าตุ๊กตาพลาสติกนั่นก็ด้วย พลาสติกใช้เวลาหลายร้อยปีกว่าจะย่อยสลายได้ ต่อให้จะฝังอยู่ใต้ดินก็เถอะ แล้วในเมื่อทุกอย่างสลายไปหมดแล้ว ทำไมเจ้านี่ถึงยังอยู่ดีล่ะ”

“ไอ้ลวดลายบนนั้นคืออะไรน่ะ มันซ่อนความลับอะไรไว้หรือเปล่า” หยางเสียวจิ่นขมวดคิ้วมุ่น

“มันดูเหมือนแผนที่เลยไม่ใช่เหรอ” ตอนนี้หลิวปู้กับพวกอีกสองคนก็รีบพูด “สัญลักษณ์ในสี่เหลี่ยมแยกหลายทิศทาง อย่างกับเขาวงกตแน่ะ!”

สูเสี่ยนฉู่และเริ่นเสี่ยวซู่ตาทอประกาย “หรือว่าเป็นแผนที่ในเขาจิ้งซาน!”

“อะ” ลั่วซินอวี่ว่า “ดูสิ มีอะไรเขียนไว้ด้วย”

เพราะกระบวนการย่อยสลาย แผ่นพลาสติกเลยดูซีดเหลืองไป หลังจากลั่วซินอวี่ตั้งใจสำรวจดู พวกเขาก็เห็นว่าใต้สัญลักษณ์ชวนพิศวงนี้มีตัวอักษรเล็กๆ เขียนอยู่

เริ่นเสี่ยวซู่ค่อยๆ อ่านเสียงดังว่า “โปรดสแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อชำระเงิน?”

ทุกคนนิ่งไป “คิวอาร์โค้ดคือ? แล้วพวกเราต้องจ่ายเงินให้ใคร”

“หา? คือพวกเราต้องจ่ายเงินถึงจะผ่านเขาวงกตไปได้เหรอ”

หลังผ่านมาหลายรุ่น อารยธรรมมนุษย์ล้วนสูญหาย ยุคก่อนภัยพิบัติเป็นอย่างไรไม่มีใครรู้ได้ วิทยาการบางอย่างก็ถูกมนุษย์ทอดทิ้งเพราะไร้ค่า ส่วนที่เหลือบ้างก็ถูกหลงลืมในยุคมืดแห่งการเอาตัวรอด

ของนี้ในป้อมปราการก็ไม่เคยเห็น ในเมืองก็ไม่เคยเห็น หลักการใช้งานใดล้วนมืดแปดด้าน

แต่มองไปมองมาแล้ว ก็คงไม่ใช่แผนที่เขาวงกต

เริ่นเสี่ยวซู่หันไปมองสูเสี่ยนฉู่ “แน่ใจนะว่าที่นั่นมีเมืองลับแลจริงๆ แล้วความลับของการวิวัฒนาการก็อยู่ที่นั่นจริง”

“ถ้าไม่ใช่อย่างนั้น แล้วนายจะอธิบายการเปลี่ยนแปลงในเขาจิ้งซานยังไง” สูเสี่ยนฉู่ถาม

“ก็จริง…” เริ่นเสี่ยวซู่ว่า “เขานั่นแฝงด้วยความลับมากมาย แต่รู้สึกแหม่งๆ ว่าเมืองนั่นคงไม่ได้วิเศษวิโสอะไร…”

“ไปกันเถอะ เดี๋ยวได้เจอด้วยตาตัวเองก็รู้เองแหละ” สูเสี่ยนฉู่เก็บใบคิวอาร์โค้ดลงกระเป๋าเสื้ออย่างระมัดระวัง กลัวว่าตัวเองจะไปทำมันเสียหายเข้า

“พวกเราต้องเอาตุ๊กตาขาดรุ่งริ่งนี่ไปด้วยไหมน่ะ” หลิวปู้เอ่ยถาม

“เอาไปก่อนแล้วกัน อาจจะมีประโยชน์ก็ได้ ใครจะไปรู้” สูเสี่ยนฉู่ตอบ